Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
dhammatan
•
ติดตาม
14 ก.ย. 2020 เวลา 04:00 • ท่องเที่ยว
The Amazon
ผจญภัยในป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อตามหาความหมายของการใช้ชีวิต
The AmaZon
บนโลกเรามีป่าดงดิบอยู่หลายแห่ง แต่ไม่มีป่าดงดิบใดจะกว้างใหญ่ไพศาล ยังคง
ความบริสุทธิ์ และมีเรื่องราวหลากหลายซ่อนเร้นยิ่งไปกว่าป่าแอมะซอนแห่งอเมริกาใต้ ป่าแอมะซอนกินเนื้อที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่ง
ของบราซิล ที่เหลือนั้นแผ่เข้าไปในอีก 8 ประเทศใกล้เคียง และสิ่งที่แบ่งป่าออกเป็น ตอนเหนือกับตอนใต้ ก็คือแม่น้ํา แอมะซอน ตั้งแต่ตัดสินใจท่องโลกกว้าง ผมคิดเสมอว่าสักครั้งในชีวิตต้องเข้าไปผจญภัยในป่า แอมะซอน เพื่อค้นหาความท้าทาย อยากเห็นที่สุดก็คือปลาปิรันยา งูอนาคอนดา โลมาสีชมพู และถ้าโชคดีอีกสักหน่อยคงได้กินกาแฟอเมซอน การเดินทางจากไทยไปยังแอมะซอนนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร ด้วยระยะ ทางประมาณ 25,000 กิโลเมตร ไปแวะเครื่องที่ดูไบ จากนั้นก็นั่งเครื่องยาวไปยังเมือง รีโอเดจาเนโร และต่อเครื่องบินภายในประเทศกว่า 5 ชั่วโมงเพื่อไปยังเมืองมานาวส์
10 วันจากนี้ผมจะต้องเข้าไปผจญภัยในป่าความลึกหลายร้อยกิโลเมตร พร้อมกับ
อดีตทหารพราน ผู้นํา การผจญภัยครั้งนี้ พวกเราจะพักใกล้แม่น้ํา แอมะซอน แม่น้ํา ที่ยาว ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแม่น้ํา ไนล์ประเทศอียิปต์ แต่แม่น้ํา แอมะซอนเป็นแม่น้ํา ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บางช่วงของแม่น้ํา มีความกว้างถึง 200 กิโลเมตร และเต็มไปด้วย สัตว์อันตรายมากมาย ผมจะต้องเข้าไปอยู่ในป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แค่มองวิวจากเครื่องบินก็สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของแอมะซอนไปเรียบร้อย
พวกเราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการนั่งเรือเข้าสู่แม่น้ํา สายหนึ่งของป่าแอมะซอน
ที่ชื่อ แม่น้ํา เนโกร แม่น้ํา สีดํา สนิทอันเนื่องมาจากการทับถมของซากพืช เพื่อเข้าพักคืน แรกของที่นี่ ลึกเข้าไปในป่าประมาณ 80 กว่ากิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขนาบข้างแม่น้ํา
นั่งเรือประมาณ 2 ชั่วโมงผมก็มาถึง Ariau Amazon Towers ที่พักป้อมปราการ จะเดินไปไหนก็จะมีสะพานไม้กั้นไว้ เพิ่งเหยียบเข้ามาถึง ก็เห็นฝูงลิงนับ 10 วิ่งไปวิ่งมา และนกนานาพันธุ์ บอกให้รู้ถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ผู้นํา อดีตทหารพรานบอกกับพวกเราว่า “เดินไปไหนต้องระวังนะ จระเข้มันเยอะ แม้ป่าแอมะซอนจะอันตรายเพียงไร แต่ที่นี่ก็คือปอดของโลก ที่ที่อากาศบริสุทธิ์” ช่างเป็น คํา กล่าวที่เจือด้วยคํา ขู่ พร้อมๆ กับปลอบเราไปในตัว เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงน้ําหลาก น้ํา จะขึ้นจนท่วมชั้น 1 เราจึงต้องขึ้นไปพักอยู่ชั้นบนๆ และต้องปิดหน้าต่างให้มิดชิดไม่อย่างนั้นลิงป่าอาจย่องเข้ามาหาเมื่อไรก็ได้ ในป่าแอมะซอนนั้นมีสัตว์อาศัยอยู่หนาแน่นและหลากหลาย ทั้งในน้ํา และบนบก ในน้ํานั้นมีปลาปิรันยาสุดโหด และจระเข้หลากหลายสายพันธุ์
โรงแรมกลางป่า
ที่มีชื่อเสียงมากและเป็นปลาอันตรายอีกอย่างคือ ปลาอะราไพม่า (Alapaima) หรือบ้านเราเรียกว่าปลาช่อนแอมะซอน ปลาชนิดนี้มีลิ้นที่แข็งมาก สามารถบดอาหารด้วย
ลิ้นกับเพดานปาก และล้ํา ถึงขนาดกระโดดขึ้นมากินลิงหรือสัตว์ขนาดเล็กได้ ดีนะ ที่ตัวพวกเราไม่ใช่เล็กๆ พวกเราเดินทางด้วยเรือเล็ก ผู้นําทางของเราป้อนอาหารให้ปลาอะราไพม่าตอด ด้วย การผูกปลาที่ตายแล้วไว้ที่เชือกจากนั้นก็หย่อนลงผิวน้ํา จากนั้นพวกนั้นก็รุมมาจากใต้น้ํา ผมลองให้อาหารดูเป็นคนสุดท้าย เสียใจนิดหน่อยที่ไม่มีใครเตือนว่าปลาตอด แรงมาก ผมเกือบเสียการทรงตัวในท่านั่ง เรียกรอยยิ้มจากผู้นํา ทางและเสียงหัวเราะจาก เพื่อนๆ ได้ไม่น้อย
วันแรกในป่าแอมะซอนเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ด้วยการเดินป่า เรียนรู้ศาสตร์การเอาตัวรอด ในป่า เรียนวิธีการดูสมุนไพรป่าต่างๆ ที่นี่มีฟ้าทะลายโจรเหมือนบ้านเราด้วย สิ่งสําคัญที่สุดในการเอาชีวิตรอดในป่าก็คือ การหาแหล่งน้ํา โดยการหากิ่งไม้บางชนิด คล้ายๆ เถาวัลย์ เมื่อตัดกิ่ง จะมีน้ํา ไหลออกมาให้ดื่มได้ ตลอดทางเข้าป่าเราต้องเดินติดกัน ห้ามห่างกันโดยเด็ดขาด แค่เดินช้ากว่าเพื่อนไม่กี่เมตร อาจทํา ให้หลงได้ และถ้าหลงแล้ว ละก็ การค้นเจอแทบจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนผมนี่ไม่กลัว เพราะเดินแทบติดชิดผู้นํา ทาง หากขี่คอได้ผมคงทํา ไปแล้ว ป่า แอมะซอนนี้มันน่ากลัวมากสําหรับมนุษย์เมืองอย่างผม เพราะมันทั้งทึบและหนาแน่นไปด้วย ต้นไม้ บางช่วงไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์ เพราะต้นไม้แต่ละต้นต่างก็แย่งกันขึ้นสูงเพื่อ ที่จะได้รับแสงอาทิตย์ ตลอดทางมีต้นไม้ขึ้นชุกชุม มีฝนตกสลับหยุดอยู่ตลอดเวลา ยุงก็มาแมลงก็มี เสียงแมลงเสียงลิงสลับกับเสียงนกนั้น เป็นเสียงของธรรมชาติที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
คนท้องถิ่นชี้ให้เห็นหลายอย่างที่ทํา ให้ใจเต้นรัวเมื่อเข้าไปใกล้ เช่น แมงมุม งูพิษ แต่สิ่งที่ น่ากลัวที่สุดคือ มดดํา ยักษ์ คนท้องถิ่นบอกว่าหากโดนมันรุมกัด คือตายอย่างเดียว “พิษมันจะทํา ให้ตัวชา คนป่าที่นี่เลยเอามดดํา ยักษ์มาเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดด้วย ด้วย การให้มันกัดจุดที่จะผ่าตัด สักพัก ความชาก็จะเกิดขึ้น แบบเดียวกับการฉีดยาชา” การเดินป่าสิ้นสุดภายใน 3 ชั่วโมง เรานั่งเรือออกไปหาอาหารเย็นกัน นั่นก็คือ การไปตกปลาปิรันยา คนท้องถิ่นบอกไว้ว่า ช่วงน้ําหลากนี้ ปิรันยาจะไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร เพราะมันจะอยู่กันเป็นฝูงเล็กๆ ต่างกับช่วงน้ํา แล้งที่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ช่วงนั้นสัตว์ ไม่ว่าใหญ่แค่ไหนหากหลงเข้ามามันก็รุมกันไม่มีเหลือ แม้กระทั่งตัวพวกมันเอง ถ้าไม่มีอะไรกิน มันก็กินตัวที่เล็กกว่า
ตกปลาปิรันยา
คนท้องถิ่นตกปลาปิรันยาด้วยเบ็ดเล็กที่เกี่ยวเนื้อสดๆ ไว้แล้วหย่อนลงไป ไม่นานก็ได้ ขึ้นมาหลาย 10 ตัว แอบสงสัยเลยว่า ลึกลงไปในแม่น้ํา แห่งนี้ จะมีปิรันยามากมายเพียงใด เมื่อถึงคิวผมได้จับเบ็ดบ้าง ผมก็ตกปิรันยาได้มาตัวหนึ่ง และได้เห็นปลาปิรันยา แบบโคลสอัป ฟันคมและแหลมสะพรึงจนน่าตกใจ ผมตั้งใจว่าหากตกได้จะปล่อยมันกลับไป เลยพยายามแกะเบ็ดแล้วโยนปิรันยา ลงในแม่น้ํา แต่เพราะไปรังแกมันก่อน มันเลยดิ้นใหญ่ก่อนจะลงน้ํา ฟันปิรันยาเฉียดมา โดนปลายนิ้วผม เพียงนิดเดียวแต่เป็นแผลทันที แทบไม่อยากคิดเลยถ้าโดนรุมกัดจะเป็นไง ตกได้ไม่นาน เรือทั้งลํา ก็ได้ปลาปิรันยามา 10 กว่าตัวเป็นอาหารเย็น เรานั่งเรือ กลับที่พักกัน ระหว่างทางกลับ นอกจากจะเข้าไปตามดงไม้ คอยระวังว่า มีงูแฝงในดง ไม้ไหม บรรยากาศสองข้างทางเหมือนในหนังอนาคอนดาอย่างไรอย่างนั้น มีสายน้ํา น้อยใหญ่มากมาย จนงงว่าคนท้องถิ่นเขาจํา ทางกันได้อย่างไร ในเมื่อป่ามันเหมือนกันไป ทั้งหมดแบบนี้
กําหนดการวันนี้คือลงว่ายน้ํา ในแม่น้ํา แอมะซอน เพื่อที่จะไปดูโลมาสีชมพู
การที่สถานที่ที่เราจะลงน้ํา อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เราไปตกปลาปิรันยาก็น่ากลัวจะ
แย่อยู่แล้ว จระเข้มากมายที่พบเจอระหว่างทางก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
แน่นอนว่าครั้งนี้คือการลงน้ํา ที่หวาดระแวงที่สุดในชีวิต แค่เอามือแตะน้ํา จุดนี้ก็
ยังไม่กล้า คนท้องถิ่นที่พายเรือให้บอกผมว่า ไม่ต้องกลัว ปิรันยากับจระเข้มันไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวโดนโลมางับกิน แล้วตบท้ายด้วย Fun Fact ว่า อนาคอนดานั้น เป็นสัตว์ ที่ชอบอยู่ใต้น้ํามากกว่าบนบก คนท้องถิ่นเล่าให้ผมฟังว่าโลมาสีชมพูเป็นโลมาน้ํา จืดมาจากฝั่งแปซิฟิก อาศัยอยู่ ที่นี่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคที่แผ่นดินอเมริกาใต้ยังมีทางน้ํา เชื่อมกันอยู่ ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวและการดันตัวเองขึ้นของเทือกเขาแอนดีส เป็นเหตุให้ตัดช่องทาง เดิมของบรรพบุรุษพวกมัน นานวันเข้าพวกมันก็ปรับตัวและอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะมันไม่สามารถกลับลงสู่ทะเลได้ อดีตทหารพรานหยิบปลาที่ตายแล้ว ตีกับผิวน้ํา แล้วโยนไปรอบๆ แป๊บเดียว เราก็เห็นหลังปลาชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ํา เพื่อหายใจ โลมาสีชมพูค่อยๆ ว่ายเข้ามา หนึ่งตัว สองตัว
“ลงไปว่ายข้างโลมาเลย” คนท้องถิ่นบอกเราเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ ทํา ใจกันอยู่ครู่หนึ่ง ไหนๆ ก็ไหนๆ ลงก็ลง จังหวะที่ผมโดดลงนี่ใกล้โลมา แบบแทบจะขี่โลมาเลย
โลมานิ่ง ดูเป็นมิตรมาก และน่ารักมากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลิ่นปากของโลมา ก็เหม็นมากเช่นกัน โลมาสีชมพูแตกต่างจากโลมาทั่วไปตรงที่คอมันสามารถหักเลี้ยวได้เลย ดูในรูป จะเห็นเลยว่าคออ่อนมาก หลังจากได้ว่ายน้ํา กับโลมาสีชมพูเต็มอิ่มกว่า 2 ชั่วโมงที่ทั้งสนุกและเสียวมากไป พร้อมๆ กัน มีโลมามาว่ายเล่นกับพวกเราถึง 3 ตัว
วันนี้เรานั่งเรือกลับเข้าที่พัก แต่ระหว่างทางฝนลงหนักมาก เลยต้องจอดเรือพัก
รอเวลาจนถึงเวลาหัวค่ํา เราถึงจะแล่นเรือต่อได้ น้ํา ในแม่น้ํา ดํา สนิทและนิ่งเงียบ สะท้อนดาวนับล้านบนฟ้า กับเสียงสัตว์ป่าที่พา กันร้องระงม สวยงามจนหาคํา บรรยายไม่ได้เลย จนพวกเราขอให้ช่วยหยุดเรือเพื่อ ซึมซับบรรยากาศให้ยาวนานกว่านี้
รุ่งเช้าเราตื่นกันประมาณ ตี 5 แล้วเดินมาขึ้นเรือ เพื่อออกเดินทางไปดูพระอาทิตย์
ที่ขึ้นจากแม่น้ํา เรียบสงบ เรานั่งเรือออกไปสู่แม่น้ํา สายใหญ่ของแอมะซอน ที่บางช่วงมีความกว้างถึง 200 กิโลเมตร ลึกหลาย 10 กิโลเมตร ถ้ามีคลื่นสักหน่อย ก็กลายร่างเป็นทะเลได้เลย เมื่อได้จุดเหมาะๆ เรือก็จอดนิ่งแช่ไว้รอดูพระอาทิตย์ขึ้น บรรยากาศเงียบสงบมาก แม้น้ํา จะนิ่ง แต่เราจะเห็นหลังโลมาสีชมพูโผล่ขึ้นมาหายใจในระยะไกล แสงแรกของวัน ณ ป่าแอมะซอน เกิดขึ้นเวลาหกโมงเช้า เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น
ฝูงนก ฝูงลิง ก็พากันส่งเสียงออกหากินตามธรรมชาติ วันนี้เราจะล่องเรือลึกเข้าไปเพื่อ ค้นหาอนาคอนดา เข้าสู่แม่น้ํา แอมะซอนของจริงที่ไม่ใช่สีดํา แต่เป็นสีน้ําตาล สัตว์จะเยอะ ขึ้น แถมยังตัวใหญ่ขึ้น ครั้งนี้เราจะเข้าไปนานกว่า 5 วันไม่กลับออกมา
เพราะตรงที่พักเก่ามีน้ําท่วมขึ้นมา เรื่อยๆ ความอันตรายจากสัตว์ใต้น้ํา ก็เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน เราเลยต้องย้ายมานอนที่เรือแทน ระหว่างเดินทาง ผมก็นั่งฟังเรื่องราวความน่าเกรงขามของป่าแอมะซอนว่า ผู้มา เยือนลุ่มน้ํา แอมะซอน มักถูกกล่อมให้หลงใหลในสรรพชีวิตที่ไม่มีวันสิ้นสุดด้วยสี เสียงและกลิ่นที่ราวกับเชิญชวนให้เข้ามาในแดนสวรรค์ แต่ภาพลวงตาของสวนอันแสนสงบ กลับแฝงด้วยอันตราย สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบในป่าดงดิบต้องยืนหยัดต่อสู้แบบไม่มีวัน จบสิ้นเพื่อให้อยู่รอด แอมะซอนเป็นดินแดนที่ไม่มีความสะดวกสบายหรือไม่มีการเห็นอกเห็นใจกันแม้ แต่น้อย ในป่านั้นความเป็นจริงแห่งชีวิตช่างโหดร้าย ผู้อ่อนแอ ชราภาพ และเชื่องช้า จะตายได้โดยง่ายดาย หรือหากเผลอตัวแค่เพียงวินาทีเดียวก็อาจหมายถึงชีวิตได้ สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดคืออนาคอนดา ซึ่งมีอาณาจักรอยู่ในน้ํา คอยจู่โจมเหยื่อที่ ย่างกรายเข้ามา แล้วดึงลงไปใต้น้ํา ไม่เหมือนกับสัตว์ตัวใหญ่ชนิดอื่น อนาคอนดาสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมากใต้น้ํา ผสมกับแรงอันมหาศาล ทํา ให้แทบจะไม่มีสัตว์ชนิดใดในป่าแอมะซอนสามารถต่อกรกับมันได้
“ออกไปจับจระเข้กัน” ผู้นํา บอกกับเราหลังทานข้าวเย็นเสร็จ พร้อมกับนัดแนะ
เวลาให้มาเจอกันที่ท่าเรือ เหตุผลที่ต้องออกไปกลางคืนเพราะกลางคืนตาของจระเข้จะสะท้อนแสงไฟฉาย แต่พอเรารู้แล้วว่าจระเข้อยู่ตรงไหน เราจะดับเครื่องแล้วให้เรือค่อยๆ ไหลไปที่จุดจระเข้อยู่ ระหว่างที่เรือกํา ลังเข้าใกล้จุดที่เชื่อว่ามีจระเข้อยู่นั้น คนท้องถิ่นก็ทํา สิ่งที่ผมไม่คาด คิดมาก่อน นั้นก็คือจู่ๆ เขาถอดเสื้อออกแล้วกระโดดลงไปในน้ําท่ามกลางความมืด ผมตกใจ จนอุทานออกมา ไล่หลังไม่ถึงนาที เขาก็โผล่ขึ้นมาพร้อมโอบจระเข้ตัวน้อยไว้ เมื่อขึ้นเรือได้เขาก็ชูจระเข้น้อยในมือในระยะประชิดให้ทุกคนเห็นใกล้ๆ ไม่นาน นักก็ปล่อยลงน้ํา ไป ผมยังคงตกใจในสิ่งที่เขาทํา ความกล้าที่ผมจะเอานิ้วแตะแม่น้ํา นั้น ยังไม่มีเลยเพราะรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากมายซ่อนอยู่ใต้แผ่นน้ํา สีดํา นี้ แต่คนคนนี้ กลับกระโดดลงไปในยามที่มืดมิด พร้อมจับเอาจระเข้ขึ้นมาด้วย
คนท้องถิ่นเล่าว่า “จระเข้ที่นี่แบ่งชนิดออกเป็น 3 ชนิดนะ ตัวสีดําที่เห็นตรงหน้านี่
เรียกว่า Black Cayman จะมีขนาดใหญ่มากเมื่อโตเต็มวัย” ผมขอเขาว่า ขอจับเองได้ไหม จับจากบนเรือแบบไม่โดดน้ํานะ มาถึงจังหวะนี้ เพื่อนบนเรือทุกคนต่างมองหน้าผมอย่างกับกํา ลังมองคนไร้สติ มีเพียงผู้นําที่พยักหน้าจากนั้นก็ค่อยๆ ขยับเรือเข้าไปใกล้ “เอื้อมมือลงไปจับที่คอมันแล้วกระชากขึ้นมาเลย อีกมือหนึ่งต้องตั้งให้พร้อมเพื่อ รีบจับหางด้วย ไม่งั้นมันอาจจะฟาดได้” ผมทํา ตามที่ผู้นํา แนะทุกประการ แต่ด้วยแรงดิ้นของจระเข้ หนักหนากว่าที่ผม คาดการณ์เอาไว้มาก ผมเลยทํา จระเข้ตกลงในเรือ บรรลัยโดยไม่ได้นัดหมาย คนบนเรือแตกตื่นกันยกใหญ่ คนท้องถิ่นที่มากับเรา
ด้วย ถึงกับบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบเพราะอาจทํา เรือโคลงจนล่มได้ จากนั้นเขาจับจระเข้ ที่วิ่งเล่นบนเรืออย่างง่ายดายแล้วโยนกลับลงไปในแม่น้ํา
ผมขอโทษทุกคน และสัญญาว่าจากนี้จะอยู่นิ่งๆ รู้สึกผิดของจริง ระหว่างนั่งเรือกลับ ผมถามคนท้องถิ่นถึงเทคนิคการว่ายน้ํา ในแม่น้ํา แอมะซอน “ต้องพยายามขยับอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าลอยคอนิ่งๆ อย่างเดียว อาจโดนปิรันยา รุมกัดได้” เขาบอก
เป็นเทคนิคที่แค่ฟังก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัว วันต่อมา เราได้ร่องรอยของอนาคอนดาแล้ว ผู้นํา บอกข่าวดีให้เราฟังแต่เช้าว่า มีอนาคอนดาอยู่ในแอ่งน้ํา ไม่ไกลจากที่นี่นัก แต่ต้องจ้างคนชํานาญไปจับขึ้นมาให้ดูจากใต้น้ํา พวกเรารีบตอบตกลง ผมสวดภาวนาของให้อนาคอนดายังอยู่แถวๆ นี้ ระหว่างทางเข้าป่ามีเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งเสียงดังลั่นผืนป่า “มันคือลิงแดง” คนนําทางบอก “ตัวจริงมันไม่ใหญ่ แต่เสียงมันดูยิ่งใหญ่และดุร้าย มาก ว่าไหม”
อนาคอนดาเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยอยู่กับที่ ไม่ชอบลงหลักปักฐานสักเท่าไร มันจะ ชอบไหลไปตามแม่น้ํา แอมะซอน แต่โชคดีเราใช้เวลาค้นหามันอยู่ประมาณ 15 นาที ก็เจอ ตัวมันซ่อนตัวอยู่ใต้บ่อน้ํา ในป่า คนท้องถิ่นจับมันขึ้นมาพร้อมกลิ่นตัวอนาคอนดา
เหม็นสาบมากโชยมา ผมที่จับมันเพียงครั้งเดียว ต้องใช้เวลาล้างมือนับสิบครั้ง กลิ่นก็ยังไม่หายจากมือเลย “ตัวเล็กไปสําหรับการถ่ายทํา ” ช่างภาพเอ่ยขึ้นมา เราจึงเริ่มออกค้นหาตัวที่ใหญ่กว่า
“แถวนี้น่าจะมีตัวใหญ่อีก แต่ถ้าอยากเจอตัวใหญ่แบบเป็น 10 เมตรต้องเดินทาง เข้าไปลึกในป่าเป็น 10 วัน แบบที่เห็นในหนังในสารคดีนั้น เขาไปเจอตอนมันกํา ลังกินสัตว์ อะไรเข้าไปพอดี” ผู้นํา ทางบอกเรา ไม่นานเราก็เจออนาคอนดาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวแรก มันมีความยาวกว่า 5 เมตร แต่ตัวนี้ดุมาก ซูเปอร์ฮีโร่ของผมเท่านั้นที่รู้วิธีจับ เรามีเวลา อยู่กับมันสักพักมันก็เลื้อยลงแม่น้ํา แอมะซอน
ชนพื้นเมืองที่นี่มีคนป่าหลายกลุ่ม บางกลุ่มอาจถูกค้นพบแล้ว บางกลุ่มอาจจะ หลีกหนีเข้าไปในส่วนลึก และไม่ยอมออกมาสู่โลกภายนอก ด้วยขนาดป่าแอมะซอน ที่ใหญ่เกือบเท่าขนาดทวีปทั้งทวีปออสเตรเลีย จึงมีความเป็นไปได้ว่ายังมีคนป่าจํานวนไม่น้อยที่โลกเรายังไม่รู้ว่ามี
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนท้องถิ่นที่เขาเคยไปเจอคนป่าหมู่หนึ่ง มีธรรมเนียม ปฏิบัติประจํา ชนเผ่าคือ ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานเมื่ออายุได้ครบ 20 ปี ก็จะถูกชายใดก็ได้พาไปนอนด้วย แต่หากหญิงใดที่แต่งงานแล้วนั้นหมายความว่าต้องรักเดียวใจเดียว
ห้ามนอกกายเป็นเด็ดขาด จบการเดินทางในป่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับประสบการณืที่แสนประทับใจหากถามผมว่า ผมได้อะไรกับการมาที่นี้ผมบอกได้เลย ว่าความรู้สึกเหมือนได้เข้ามาเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มันสวย มันอลังการ และ มัน อันตราย
บันทึก
4
1
5
4
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย