14 ก.ย. 2020 เวลา 05:04 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
มนุษย์ต่างดาวโบราณ ตอนที่ 4: ไขปริศนาใครสร้าง มหาพีระมิด & พูมาพันกู หินโบราณที่เหมือนถูกตัดด้วยเลเซอร์!
พีระมิดคูฟู ภาพจาก wiki/Nina
คริส ดันน์ (Chris Dunn) วิศวกรรมผู้เชี่ยวชาญ ได้ใช้เวลาหลายทศวรรษในการค้นคว้าเครื่องมือ เพื่อหาว่าชาวอียิปต์โบราณนั้นได้ใช้แบบไหน โดยปกติแล้วเราถูกสอนโดยนักโบราณคดีว่า ชาวอียิปต์โบราณนั้นใช้เพียงแค่เครื่องมือง่ายๆในการสร้างวิหารหรือพีระมิด บ้างก็ว่าพวกเขาได้ใช้ก้อนหินทรงกลม, ท่อทองแดง, สิ่วทองแดง และทราย เพื่อตอกและเจาะรูหินแกรนิต และหินไดโอไรต์ ซึ่งหินพวกนี้เป็นหินที่มีความแข็งมาก แต่วิศวกร คริส ดันน์ กลับไม่เชื่อเช่นนั้น หลังจากใช้เวลามาหลายปีในการวิจัย จากข้อมูลก็ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เครื่องมืออย่างง่ายพวกนั้นแน่ๆ
ในอียิปต์ คริส ดันน์ สามารถเข้าไปตรวจสอบยังสถานที่โบราณแห่งนี้ได้โดยตรง สิ่งที่เขาค้นพบสามารถเป็นได้ทั้งข้อพิสูจน์ และข้อขัดแย้งไปในตัว
ถ้าคุณลองมองดูการจัดเรียงก้อนหินทั้งหมดภายในมหาพีระมิดกีซ่า (Giza Plateau) อันประกอบไปด้วยมหาพีระมิด (Great Pyramid) ,พีระมิดคาเฟร (Khafre Pyramid) และ พีระมิดเมนคูเร (Menkaura’s Pyramid) ก็จะพบว่าพวกพีระมิดเหล่านี้ก่อตัวขึ้นมาจากบล็อกหินเป็นจำนวนนับล้านก้อน
พวกเขามีความสามารถในการตัดก้อนหินได้อย่างช่ำชอง และมีขนาดที่พอดีสำหรับการจัดเรียง เหมือนราวกับมีใครบางคนได้พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ ฉันต้องการบล็อกหินที่มีขนาดเท่านี้” จากนั้นบล็อกหินดังกล่าวก็ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
และห่างออกไปไม่กี่ไมล์ (5 ไมล์ หรือ 8 กิโลเมตร) ทางตอนเหนือของกีซ่าเราก็จะพบเข้ากับสถานที่ๆเรียกว่า ‘อาบู โรช (Abu Rawash อ่านออกเสียในภาษาอารบิคว่า Abu Roach) คริส ดันน์ ได้พบเจอกับร่องรอยของหินแกรนิต ที่มีรอยบาดลึก
เขาบอกว่าครั้งแรกที่ได้เห็นมัน เขาไม่รู้เลยว่าอะไรที่ไปทำให้มันเป็นเช่นนั้น หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เหมือนมีบางสิ่งทำให้เขาได้ตื่นขึ้นในเวลา 03:00 ของเช้าวันใหม่ เขาเกาหัวตัวเองและก็ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ถึงเรื่องที่ว่าอะไรที่สามารถตัดก้อนหินได้เป็นรอยแผลเช่นนั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นได้ว่า มีเพียงทางเดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือ จะต้องมีใบเลื่อยขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 10 เมตร มาตัดพวกมัน
อย่างไรก็ตามแนวคิดของเครื่องมือชาวอียิปต์โบราณ ที่พวกเขาได้ใช้เลื่อยขนาดใหญ่มาตัดก้อนหินนั้น ได้ไปกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านอย่างมากจากนักโบราณคดีกระแสหลัก แต่ถึงกระนั้น คริส ดันน์ ก็ยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตน เขากล่าวว่าในอดีตที่ตนเองนั้นเคยเป็นช่างเครื่องมาก่อน เขาจะพยายามมองหาร่องรอยของเครื่องมือ และเขาก็ค้นพบมันอยู่ในทุกๆที่ๆสำรวจ แน่นอนว่าเมื่อคุณต้องการสืบหาสิ่งใด คุณต้องมองหาเบาะแสของมันให้ได้ก่อน นั่นก็คือร่องรอยของเครื่องจักร แต่ปัญหาคือเราไม่พบเจอเครื่องจักรเลยสักชิ้น
คริส ดันน์ เชื่อว่าพื้นที่ขนาดใหญ่บนพื้นดินที่กิซา ไม่ใช่หลุมเรือ (Boat Pits) อะไรตามที่นักโบราณคดีกระแสหลักอ้าง แต่อันแท้จริงแล้วหลุมนี้ไว้ใช้สำหรับเป็นตัวยึดใบเลื่อยขนาด 35 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) ต่างหาก! โดยใบเลื่อยแต่ละใบจะถูกติดตั้งเอาไว้อยู่ในหลุมเหล่านี้ และมีส่วนช่วยสำคัญในการเลื่อยบล็อกหินให้มีขนาดที่ต้องการ ก่อนที่จะนำไปใช้ก่อสร้างมหาพีระมิด
ถึงแม้ว่าเครื่องมือใบเลื่อยขนาดใหญ่นี้ อาจสามารถไขปริศนาในเรื่องของการตัดบล็อกหินต่างๆได้ แต่เราก็ยังพบเจอเข้าอีกหนึ่งความลึกลับนั่นก็คือ แล้วก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกตัดเหล่านี้ ชาวอียิปต์โบราณสามารถยกมันขึ้นไปเรียงต่อๆกันได้อย่างมีความแม่นยำได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าเป็นในปัจจุบันเราก็จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้ แต่ถ้าเป็นในอดีตนั้นกลับกลายเป็นเรื่องปริศนา
ยังมีบางสิ่งที่นักโบราณคดีไม่เคยได้พูดถึงก็คือหินที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งบนโลก ซึ่งถูกค้นพบในวิหารแห่งจูปิเตอร์ (Temple of Jupiter) ที่บาอัลเบกในเลบานอน (Baalbek in Lebanon) โดยหินแต่ละก้อนนั้นหนักประมาณ 1,000 ตัน! หรือ 2 ล้านปอนด์ ใกล้ๆกับเหมืองหินยังประกอบไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กว่าที่เรียกว่า ‘หินของหญิงตั้งครรภ์’ (Stone of the Pregnant Woman) โดยบล็อกหินสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์นี้มีน้ำหนักที่เหลือเชื่อมาก มันหนักประมาณ 1,200 ตัน ด้วยมวลขนาดนี้หากเราจะทำการเคลื่อนย้ายมัน เราจำเป็นจะต้องใช้รถเครนขนาดใหญ่มากถึง 25 คันเพื่อยกมัน
ดังนั้นการจะก่อสร้างอุตสาหกรรมอะไรบางอย่าง และยิ่งเป็นพื้นที่ในเขตภูเขาด้วยแล้ว เราจะขนเครื่องจักรทั้งหมดนี้ขึ้นไปได้อย่างไร ซึ่งพวกมันหนักมากจนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาพวกมันไปยังสถานที่ดังกล่าว
ย้อนกลับไปที่มหาพีระมิด ด้วยเครื่องมืออันทันสมัยในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะทำการตัดก้อนหินและเคลื่อนย้ายก้อนหินที่มีน้ำหนักเกิน 5 ตันได้สบายๆ แต่เราก็ยังนึกไม่ถึงอยู่ดีว่าผู้คนสมัยก่อนจะสามารถก่อสร้างพีระมิดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีล้อ, ลูกรอก หรือแม้แต่เหล็กได้อย่างไร
ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากการใช้กำลังคน, เส้นเชือก ซึ่งเป็นอะไรที่แสนโหดร้ายมากๆ และไม่สมเหตุสมผลต่อหลักฐานที่ปรากฏเลย
กล่าวคือมีผู้คนนับพันคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการก่อสร้างโครงการสุดยิ่งใหญ่นี้ได้ หากพวกเขาเลือกที่จะทำการเคลื่อนย้ายก้อนหินที่มีน้ำหนักเพียงไม่กี่ร้อยกิโลกรัม ไม่ใช่หนักเป็นพันกิโลกรัมหรือหลายตันเช่นนี้
และแน่นอนว่าเราสามารถใช้เชือกมาลากจูงก้อนหินเหล่านี้ได้ รวมถึงการใช้ข้อได้เปรียบเชิงกลอื่นๆเข้ามาร่วมด้วย แต่สำหรับอารยธรรมโบราณ ซึ่งไม่มีเครื่องจักรอันทันสมัย แล้วพวกเขาสามารถยกก้อนหินขนาดใหญ่พวกนี้ได้อย่างไร นี่เป็นปริศนามานานแล้วและยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน จนทำให้บางคนถึงกับเชื่อว่า นี่อาจเป็นเทคนิคการก่อสร้างที่ก้าวหน้าของสติทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกที่ได้มอบความรู้นี้ไว้ให้!
หากคุณต้องถามกับตัวเองว่า แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องลองทำในสิ่งที่ดูยากอย่างเหลือเชื่อเช่นนี้ คุณอาจจะได้คำตอบจากพวกเขาว่า “แล้วทำไมเราจะต้องทำอะไรในบางสิ่งที่มันไม่ได้ยากเกินกว่าความสามารถของเรา”
1
มีคำอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับวิธีการขนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้จากเหมือง ไปยังสถานที่ก่อสร้าง โดยผู้สร้างหลัก (The master builders) จะทำการใส่สารสีขาวบางชนิด ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติที่คล้ายกับกระดาษลงบนก้อนหิน แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ทำการขยับบล็อกหิน แล้วดันให้มันเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการได้ไกลถึง 6 ฟุต ราวกับว่านี่เป็นพลังจากเวทมนตร์ยังไงยังงั้น
ตกลงแล้วจริงๆมันเป็นเวทมนต์อย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นเทคโนโลยีอะไรบางอย่างที่พวกเขาได้ใช้ นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากจะหาคำอธิบายได้จริงๆ
มีอีกหนึ่งวิธีสำหรับการเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ที่หลุดโลกก็คือ พวกเขาทำให้ก้อนหินเหล่านี้ลอยได้ หรือทำอย่างไรก็ได้ให้มีสภาพไร้น้ำหนัก แล้วทำการเคลื่อนที่มันผ่านอากาศโดยอุปกรณ์บางชนิด ที่คาดว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์พกพาอย่างเช่น อาวุธลำแสง! (นี่มันคล้ายกับลำแสงลากจูงในสตาร์เทรคเลย ฮ่าๆ)
สำหรับวิธีการเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ของมนุษย์โบราณนั้นยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี ซึ่งยังมีอีกหลายๆเทคนิคของช่างหินที่เราอาจจะยังไม่เข้าใจอยู่ก็ได้
อารยธรรมยุคก่อนสามารถตัด และปรับแต่งก้อนหินได้อย่างมีความประณีต มีการออกแบบลวดลายต่างๆบนหินแกรนิตที่เราต่างก็ทราบกันว่ามันมีความแข็งแรงมาก
ช่างสลักหิน และปฏิมากร ‘โรเจอร์ ฮอปกินส์’ (Roger Hopkins) เขาคือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญมากในเรื่องการใช้เครื่องมือก้าวหน้าต่างๆมาตัดและปรับแต่งรูปร่างของหินแข็ง อุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญของเขาเลยก็คือ ลวดปลายเพชร (diamond-tipped wires) และเครื่องขัด (polishers) เครื่องทุ่นแรงเหล่านี้ได้ช่วยให้งานศิลปะแฟชั่นจากบล็อกหินแกรนิตขนาดใหญ่ออกมาได้อย่างสวยงาม อย่างไรก็ตามแม้จะมีเครื่องมือไฮเทคเหล่านี้มาคอยช่วยเหลือ แต่ฮอปกินส์ก็ไม่อาจสามารถเลียนแบบงานศิลปะของอารยธรรมโบราณได้อย่างสมบูรณ์ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่ะตกลงแล้วเอเลี่ยนได้เคยยื่นมือลงมาช่วยเหลือผู้คนในสมัยก่อนหรือไม่ เพราะงานของพวกเขาที่ออกมานั้นมีความแม่นยำอย่างที่ ฮอปกินส์ ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน!
2
จะว่าไปมันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะทำมันขึ้นมาด้วยมือ แต่นั่นก็จะต้องใช้เวลาที่นานมาก นอกจากนี้แล้วคุณยังต้องมีประสบการณ์หลายปีจึงจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ฮอปกินส์เชื่อว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีต่างดาวอย่างแน่นอน ดูได้จากเทคนิคการตัดก้อนหินของคนโบราณ ที่แม้แต่ในทุกวันนี้เราก็ยังไม่สามารถเรียนแบบพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์
สถานที่แห่งนี้คือ ‘พูมาพันกู’ (Puma Punku) มันคือวิหารสลับซับซ้อนขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาในโบลิเวีย นักโบราณคดีกระแสหลักได้ประเมินเอาไว้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่สมัยก่อนไม่มีภาษาเขียนหรือแม้แต่ล้อเลื่อนเลย อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ได้สร้างสิ่งที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกขึ้นมาได้
นักทฤษฎีมนุษย์ต่างดาวโบราณมองว่า Puma Punku นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่อธิบายถึงอิทธิพลที่ได้รับมาจากมนุษย์ต่างดาว
ซากหลักฐานทางโบราณคดีของ Puma Punku นั้นอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมมาก ที่น่าสนใจก็คือ เราจะพบเห็นการเรียงตัวของก้อนหินแต่ละก้อนอย่างสมบูรณ์แบบไม่มากนัก แต่ที่นี่คุณจะได้รับประสบการณ์ที่สุดยอดของการรับชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ คุณจะพบว่าก้อนหินพวกนี้ไม่ธรรมดา พวกมันถูกออกแบบขึ้นมาตามหลักคณิตศาสตร์เหนือกว่าสิ่งอื่นใดที่เราได้ใช้กันในทุกวันนี้
ซึ่งในอดีตสถานที่แห่งนี้อาจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางสิ่ง เช่นเดียวกับที่เราสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้งานเฉพาะด้าน
เป็นไปได้หรือไม่ ที่ Puma Punku ในพื้นที่ราบสูงของโบลิเวีย จะเป็นอะไรที่มากกว่าแค่บล็อกหินธรรมดาๆ เพราะแต่ละก้อนหินเหล่านี้ถูกตัด และปรับแต่งอย่างปราณีมาเป็นเวลานานกว่า 5,000 ปี!
จะบอกได้ว่ามันแทบไม่น่าเชื่อ แต่ก้อนหินเหล่านี้มันถูกตัดได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ ซึ่งบางก้อนมีรอยบากบางส่วนด้วย มันคือการปรับแต่งภายในที่ยากที่จะทำได้จริงๆ ในความหมายก็คือมันยากมากๆที่เราจะมีเครื่องมืออะไรมาเลียนแบบงานสร้างที่มีความแม่นยำเช่นนี้
(ข้อมูลต่อไปนี้มาจาก travel.trueid.net/detail/ObngkBD7gJO)
พูมาพันกู (Puma Punku) ซากปรักหักพังของกำแพงขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารขนาดมหึมา ติวานากู (Tiwanaku) ในประเทศโบลิเวีย คาดกันว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ ไอมารา (Aymara) ก่อสร้างเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของอาณาจักรอินคา
พูมาพันกู มีความหมายว่า ประตูแห่งเสือพูม่า เป็นแนวกำแพงหินขนาดใหญ่ ลักษณะการสร้างคือใช้หินบล็อกมาวางต่อๆ กัน
กำแพงฝั่งทิศเหนือ-ใต้ มีความยาว 167.36 เมตร ฝั่งทิศตะวันออก-ตะวันตก ยาว 116.7 เมตร โดยหินแต่ละก้อนไม่มีชิ้นไหนหนักน้อยกว่า 1 ตัน และก้อนที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีน้ำหนักถึง 131 ตันเลยทีเดียว ทีนี้ลองซูมเข้าไปดูใกล้ๆ กับก้อนหินทรงตัว H ดูบ้าง จะเห็นได้ว่ารอยตัดนั้นช่างราบเรียบราวกับถูกตัดด้วยของมีคม ไม่มีกระทั่งรอยแตกรอยร้าวสักนิดเดียว เหมือนเอาเส้นด้ายไปตัดก้อนเต้าหู้ยังไงยังงั้น ยังไม่รวมถึงการวางสลักหินแต่ละก้อนนี้เข้ากันได้แม่นยำราวจับวาง
เคยมีการทดลองตัดหินให้เรียบเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ด้วยการใช้ความร้อน และน้ำ ก็พบว่ารอยตัดที่ทำได้ก็ยังไม่เรียบเนียนเท่ากับที่ชาวอินคาทำไว้เลย นักวิทยาศาสตร์ได้แต่ลงความเห็นกันว่าคงต้องใช้เทคโนโลยีเลเซอร์เท่านั้น ถึงจะตัดหินได้เนี้ยบ และสัดส่วนเที่ยงตรงได้ขนาดนี้ (แต่ก็ไม่แน่ คนสมัยก่อนอาจจะมีวิธีที่ฉลาดกว่านี้ก็เป็นได้)
สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าหินเหล่านี้สร้างยังไง ขนมาจัดวางได้ยังอย่างไร วัตถุประสงค์คืออะไร ก่อนจะจากกันไปเพียงเท่านี้ เราได้รวมข้อเท็จจริง 8 ข้อ เอาไว้ให้คุณได้ตัดสินใจเองดีกว่า ว่าพูมาพันกูน่าจะสร้างโดยชาวอินคา หรือมนุษย์ต่างดาวจริงๆ
พูมาพันกู เป็นอารยธรรมโบราณที่สร้างความฉงนให้นักโบราณคดีมากที่สุด เพราะแทบจะหาคำตอบอะไรไม่ได้ซักอย่าง ขนาดที่มหาพีระมิดแห่งกิซา เราเองยังพอจะบอกได้ว่าสร้างมาเพื่ออะไร สร้างอย่างไร ฯลฯ
ถ้าลองมองดูการแกะสลักลวดลายเข้าไปในหินแต่ละก้อน จะเห็นว่าทำได้เนียนเหมือนมีแม่พิมพ์ออกมาจากบล็อคเดียวกัน ดูดีเกินกว่าจะใช่การแกะสลักทั่วไป
หินส่วนใหญ่ถูกตัดออกมาจากเหมืองที่อยู่ห่างจากวิหารไปราว 60 ไมล์ เทียบเป็นกิโลเมตรจะเท่ากับ 96 กิโลเมตร ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าขนกันมาด้วยวิธีไหน
พูมาพันกู นั้นอยู่บนพื้นที่สูง 12,800 ฟุต (3.9 กิโลเมตร) ไม่มีต้นไม้ใหญ่ในแถบนั้นที่จะถูกตัดเพื่อเอามาทำล้อเลื่อนในการขนย้ายก้อนหินได้เลย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เมืองโบราณ เทียฮัวนาโค (Tiahuanaco) ที่อยู่ห่างออกไปจากพูมาพันกูไม่ไกลนักน่าจะเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมในแถบนี้ มีประชากรราว 40,000 คน
จากการขุดสำรวจโครงกระดูกของชาวเทียฮัวนาโค พบว่าสภาพกระโหลกนั้นมีหลายรูปแบบ ที่มาจากคนหลากหลายเชื้อชาติมารวมกัน ทั้งกะโหลกที่มีผ้าโพกหัว กะโหลกแบบที่มีความยาวมากกว่าปกติ แบบที่มีโครงจมูกกว้าง แบบที่มีจมูกบาง แบบที่มีปากหนา ฯลฯ
วัตถุโบราณอีกชนิดที่พบในเทียฮัวนาโค และพูมาพันกู ก็คือชามโบราณ ‘เฟินเต แมกนา’ (Fuente Magna) ที่มีตัวอักษรรูปลิ่ม หรือ คูนิฟอร์ม ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย ในยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาล
พูมาพันกู เป็นหนึ่งใน ‘สิ่งก่อสร้างจากหิน’ Megalith ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Megalith เป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ เช่น สโตนเฮนจ์ ประเทศอังกฤษ, โมอาย เกาะอีสเตอร์ , หรือ นาบตา พลายา อียิปต์ เป็นต้น
โฆษณา