14 ก.ย. 2020 เวลา 09:16 • ยานยนต์
น้ำยาหม้อน้ำ ใส่ผิดชีวิตเปลี่ยน!
สมัยก่อนมีวิศวกรบริษัทน้ำมันใหญ่คนหนึ่ง นำเสื้อสูบมาให้ซ่อม เนื่องจากเสื้อสูบถูกกัดจนเป็นรู เมื่อสอบถามจึงพบว่า เกิดจากการใส่น้ำยาหม้อน้ำเข้มข้นเกินขนาด เนื่องจากหวังว่าจะไม่ให้มีสนิมหรือขี้ตะกรัน
ผลก็คือ เสื้อสูบพัง เกือบเสียเงินหลายหมื่น!
น้ำยาหม้อน้ำในยุคปัจจุบัน ใช้น้ำยาหม้อน้ำแบบ Long Life Coolant (LLC) ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานได้ถึง 100000 กิโลเมตร ใส่แล้วขับไปเลยยาวๆ
จุดประสงค์ของการเติม LLC ลงในน้ำคือ
1. ป้องกันสนิมในชิ้นส่วนที่น้ำไหลผ่าน
2. ป้องกันไม่ให้น้ำเดือดเมื่อความร้อนสูง หรือแข็งตัวเมื่ออากาศเย็นจัด
3. มีสารยับยั้งการเกิดตะกรัน ช่วยยืดอายุหม้อน้ำและชิ้นส่วนภายใน
โดยปกติแล้ว บริษัทรถจะใส่น้ำยาผสมน้ำมาในอัตราส่วน 30-50% ซึ่งสเปคที่ความเข้มข้น 50% สามารถทนอากาศหนาวได้ถึง -35 องศาเซลเซียส ในขวดน้ำยาที่ผสมน้ำมาแล้ว (pre-mixed) ก็มักจะผสมแบบ 50% ออกมา เพราะใช้ได้ทั่วโลก
หากผสมโดยใส่น้ำยาน้อยเกินไป อาจะทำให้ประสิทธิภาพของน้ำยาลดลง หากใส่มากเกินไป อาจจะทำให้ความเป็นกรดในหม้อน้ำสูง จนไปกัดเซาะเสื้อสูบ ฝาสูบรั่วซึมได้
น้ำยาหม้อน้ำ ชนิดผสมเสร็จ (pre-mixed) ความเข้มข้น 50%
ตัวน้ำยาหม้อน้ำทุกชนิด ทุกแบบ จะมีพื้นฐานตัวเคมีเป็น glycol ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้น้ำเดือดหรือแข็งตัว แต่ข้อเสียของมันคือเมื่อใช้เป็นเวลานาน ตัว glycol จะสลายตัวเป็นกรด แล้วทำลายพื้นผิวโลหะ
ในน้ำยาหม้อน้ำรุ่นใหม่จึงได้พัฒนาใส่สารยับยั้งการสลายตัวของ glycol ไว้ ซึ่งมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค เช่น ภูมิภาคยุโรปมีปัญหาน้ำกระด้าง จึงต้องมีตัวยับยั้งการก่อตัวของหินปูนด้วย เป็นต้น จึงต้องมีการแบ่งสูตรด้วยสี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมรถแต่ละยี่ห้อถึงมีสีน้ำยาหม้อน้ำต่างกัน ตัวสีของน้ำยาจึงไม่สำคัญเท่าคุณภาพของน้ำยาเอง
ตารางรุ่นน้ำยาหม้อน้ำยี่ห้อหนึ่ง
โดยสรุปแล้ว หากเป็นรถใหม่ ใส่น้ำยายี่ห้อเดียวกับศูนย์ก็ปลอดภัยดี หรือถ้าเป็นรถเก่า ก็หาน้ำยายี่ห้อดีๆ เติมใส่ หากอยากประหยัด ผสมเอง ก็ใช้อัตราส่วนประมาณ น้ำยา:น้ำเปล่า 1:2 ก็จะได้ความเข้มข้น 33% แต่ที่ไม่แนะนำคือ น้ำยาหม้อน้ำเกรดต่ำ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว อาจจะทำร้ายรถของคุณอีกด้วย
โฆษณา