15 ก.ย. 2020 เวลา 03:14 • ปรัชญา
ep01/63
“ เครื่องอยู่ ปัจฉิมวัย ”
เช้าวันนี้ก็เหมือนกับทุกๆวัน ที่ลืมตาตื่นขึ้นมา
ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วลงมาข้างล่าง
เตรียมนึ่งข้าวเหนียว ไว้ให้คนงาน
เตรียมอาหารลูกป้อน ไว้ให้ “ เก็กฮวย” ซันคอนัวร์น้อย
เตรียมต้มอาหารสุนัข ไว้ให้ “ มัลลาร์ด” และ “เสือ”
จากนั้นก็อาหารเช้า สำหรับ “น้องภูมิ” และ “น้องเทียน”
ส่วนอาหารเช้าของผมและภรรยา เป็นน้ำเต้าหู้ ครับ เราต้มเอง
เสร็จเรื่องอาหารเช้า ก็ได้เวลาพา“ มัลลาร์ด” และ “เสือ”เข้ากรง และเปิดประตูรั้วบ้าน รอคนงานมาช่วยเปิดร้าน
ภรรยารับหน้าที่ส่งลูกไป โรงเรียน ส่วนผมดูแลร้าน ตั้งแต่เปิดตอนเช้า จนปิดร้านในช่วงบ่าย 4 โมงเย็น แล้วไปรับลูกๆที่โรงเรียน
2
ผมเปิดร้านค้าขาย มาสิบกว่าปีแล้วครับ เพราะพบว่าชีวิตที่ไปเรื่อยๆแบบนี้สุขและสงบกว่าสมัยที่เรียนจบออกมาทำงานเป็นวิศวกรตามไซท์งาน
รับเหมางานติดตั้งเครื่องจักรตามโรงงาน
ต้องเร่ร่อน ไปในจังหวัดต่างๆ
พอมีประสบการณ์บ้าง ก็เปิดบริษัทรับเหมากับน้องๆ รับงานเอง
 
ทำได้ 4-5ปี มีลูกน้อย สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา ต้องเลี้ยงดูเขา
มุมมองชีวิตจึงเปลี่ยนไป จากที่เคยชอบสนุกๆ ท้าทาย
ไปไหนไปกัน
เริ่มอยาก อยู่กับที่ เป็นหลักแหล่ง อยากมีชีวิตที่สงบ สันโดษ
อยู่กับลูก อยู่กับครอบครัว
1
พอดีภรรยา มีที่ดินจัดสรรอยู่บล็อคหนึ่งในชนบท เราจึงคิดเปิดร้านค้าขาย
ผันชีวิต จากมนุษย์เงินเดือน มาสู่วิถีพ่อค้า
หลีกหนีความวุ่นวาย ชีวิตที่ต้องมีกรอบระเบียบบริษัท
กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ ผมพอแล้วกับสังคมมนุษย์เงินเดือน
การเปิดร้านค้าขาย เป็นของตัวเอง เหนื่อยมากครับ ไม่มีเวลาว่าง
เหมือนตอนทำงานบริษัท ไม่มีวันหยุด หยุดไม่ได้
ต้องเปิดร้านขายตลอด เพราะต้องหมุนเงินทุน หารายได้เข้าร้าน
เหนื่อย แต่สนุกและสุขมากมาย เป็นชีวิตที่ “ ใช่ ” สำหรับผมเลยครับ
“น้องภูมิ” ลูกชายคนโต เรียนชั้นป.6
“น้องเทียน” ลูกชายคนเล็ก เรียนชั้น ป.4
เรามีลูก 2 คนครับ ทุกๆวัน เราเฝ้าเลี้ยงดูลูกๆ หวังให้เขา มีการศึกษาที่ดี
ให้โอกาสการเรียนรู้แก่เขา มากเท่าที่เราจะให้ได้ และมากเท่าที่เขาอยากจะเรียนรู้
โลกใบนี้
การมีลูก ให้ต้องเลี้ยงดู ทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่า
“พ่อ” และ “ แม่ ” ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต รวมลงที่ลูกๆหมด
ไม่คิดถึงตัวเองอีกเลย มันรวมลงไปที่ลูกๆหมดจริงๆ
เรียกว่า “ ชีวิต ” นี้ มอบให้ลูกๆไปหมดเลยทีเดียว เราเฝ้าดูการเติบโตของลูกๆ
ในทุกๆวัน เราจดบันทึกช่วงเวลาที่มีค่า ในทุกๆโอกาสของลูกๆ
เราเก็บสิ่งของชิ้นแรกของลูกๆไว้ ให้เขาได้ดูตอนโต
เราเก็บ“ฟันน้ำนม”ของลูกไว้อย่างดี
พร้อมกับเรื่องราวการผจญภัยของฟันซี่นั้นๆ
เพื่อสักวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะรู้เห็นคืนวันในอดีต
ให้เขามีประสบการณ์ชีวิตและช่วงเวลาที่น่าจดจำ
ความทรงจำสมัยเด็กๆของผม เลือนราง หายไปเยอะเลย
เพราะสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยี การถ่ายภาพที่ทันสมัย จึงไม่ค่อยมีรูปถ่ายเก็บไว้ ได้ฟังเรื่องเล่าจาก “แม่ ” และพี่ๆ สมัยเด็กเท่านั้น
บัดนี้ ผมมีโอกาสที่สามารถจัดเก็บ ช่วง “เวลา”ไว้ในรูปภาพ
วีดีโอและบันทึกได้ จึงไม่รอช้าที่จะลงมือทำ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ
สำหรับผม ที่ได้รับโอกาสอันดี ให้ทำหน้าที่เป็น “พ่อ” ของเด็ก 2 คน
เป็นเกียรติอันสูงส่งอย่างมากสำหรับผม ยิ่งกว่าตำแหน่งหน้าที่
การงานใดๆ
“ น้องภูมิ” ฝันอยากเป็นวิศวกรหัวรถจักรไอน้ำ เขาชอบรถจักร
ไอน้ำมาก ได้แรงบันดาลใจ
จากเรื่อง Thomas and friends ที่เขาดูจากแผ่นซีดีตอนเด็กๆ
“ น้องเทียน” ฝันอยากเป็น นักประดิษฐ์ เขาชอบต่อ เลโก้
ชอบต่อโมเดลของเล่น ชอบทำงาน DIY. ประดิษฐ์ของเล่นเอง
การได้เห็น “จังหวะเวลาชีวิต ” ของลูกๆ มันช่างมีความสุข
จริงๆครับ เหมือนได้เห็นตัวเองสมัยเด็กอีกครั้งหนึ่ง เสียงหัวเราะและร้องไห้
ของเด็ก เป็นภาพที่สวยงามมากในสายตาของผม เพราะนั่นคือ
“ประสบการณ์ชีวิต” ในช่วงจังหวะเวลาหนึ่งของเขา
ผมเฝ้าเสพ ความสุข จากช่วงจังหวะเวลาที่ได้อยู่กับลูกๆ ทุกวี่วัน
ทุกโอกาสที่มี เพราะเวลาของลูกๆนั้นเดินไปข้างหน้า นับวันเจริญเติบโต
ดั่งเดินขึ้นสู่ ยอดภูสูง ส่วนเวลาของผมนั้น นับถอยหลัง ดั่งเดินลงจากภู
นับถึงศูนย์เมื่อไรก็จบ หมดเวลา
ผมสนุกและมีความสุขกับชีวิต แบบสันโดษ เรียบง่าย ไม่ยุ่งกับใคร
อยู่กับครอบครัว ไม่มีสังคมมนุษย์เงินเดือน เหมือนสมัยทำงานบริษัท
 
ในท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความสุขนั้น ผมเริ่มสังเกตเห็น
สังขาร ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพลง สายตายาว ต้องใส่แว่นตาทำงาน
หรือ อ่านหนังสือ หูเริ่มได้ยินไม่ชัดเหมือนก่อน แขนขาเริ่ม
เคลื่อนไหวเล่นกีฬาได้ไม่เหมือนเดิม เส้นผมหงอกขาวมากขึ้น
ฟันเริ่มโยกคลอน ความจำเริ่มหลงลืมอะไรๆได้ง่ายขึ้น
สัญญาณ
“ความชรา”
เริ่มดังขึ้นแล้ว ผมไม่นึกถึงความแก่ชรามาก่อน ยังคิดว่าเรายังหนุ่มๆอยู่เลย
บางครั้งเผลอไปยกของหนัก จนปวดเอวปวดหลัง ต้องไปหาหมอ ฉีดยา
พักรักษาอยู่หลายวันกว่าจะหาย
นั่งมองวิถีชีวิตของลูกๆไป พิจารณาความแก่ชราที่มาเยือน
ทำให้คิดว่าชีวิตในวัยชรา เราควรเป็นอยู่อย่างไร
เราต้องเตรียมตัว อย่างไร
 
ได้เห็นวิถีชีวิตของคนชรา มีหลากหลายรูปแบบ
บางคนลูกหลาน พามาอยู่บ้านพักคนชรา หรือสถานดูแลผู้สูงอายุ
บางคนถูกทอดทิ้งให้อยู่เฝ้าบ้านหลังน้อย (ที่เคยเลี้ยงลูกๆจนเติบใหญ่ )
แต่เพียงผู้เดียว
บางคนโชคดี มีลูกหลานคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
บางคนหลงลืม ความจำเสื่อม เป็นภาระของลูกหลานบ้าง
ถูกทอดทิ้งเป็นคนชราอนาถาบ้าง
เมื่อครั้งไปเดินเที่ยวแถวเยาวราชในวัยเด็ก
ภาพ “อากง อาม่า ”นั่งอยู่หน้าร้านแถวๆเยาวราช มองดูผู้คน
และรถยนต์ที่สัญจรไปมา อยู่ในหัวผมตลอดมา ในแววตาของท่านนั้นดูเหงา
เศร้า และรอคอย คงรอคอยใครสักคน ที่อยากเจอใช่ไหมหนอ
หรืออาจ เฝ้าคิดถึง ใครบางคนที่จากไป ไม่หวนคืนมา
ชีวิตดำเนินไปวันแล้ววันเล่า มันผ่านไปเพียงแค่พระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ
และตก ลับ อัสดงหายไปในยามเย็นพลบค่ำ
รอเวลาที่จะได้พบกับแสงแรกของวันใหม่อีกครั้ง
เพียงเพื่อจะต้องไปนั่งรอคอย เฝ้ามองผู้คน และรถยนต์อยู่หน้าร้าน
ในวันรุ่งขึ้นต่อไป
ผมมักจะถามตัวเองเสมอๆ
“ เมื่อถึงเวลาที่ลูกๆสามารถก้าวเดินเลี้ยงชีพได้เองแล้ว
เราควรจะอยู่อย่างไร ”
ไม่คิดไม่คาดหวัง ว่าลูกๆ จะมาดูแล ยามแก่ชรา
ผมไม่คาดหวังจะอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่ที่ลูกสร้างขึ้น เพราะเข้าใจดีว่าคนแก่คนชรานั้น เป็นภาระของลูกหลาน หูตาฝ้าฟาง การเดินเหินไม่สะดวก
กลิ่นกายคนชราที่เด็กๆมักไม่ชอบ มองว่าไม่สะอาด
การเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเขา อาจเป็นเหตุให้ครอบครัวของเขาไม่มีความสุข
ตามที่เขาอยากจะเป็น อยากจะสร้าง
 
เมื่อหมดภาระหน้าที่ ในตำแหน่ง “พ่อ” ผมตั้งใจว่า คงอยู่
ตามลำพัง ณ วัดใด วัดหนึ่ง ที่สงบสัปปายะให้ได้ภาวนา สู่จุดหมาย
สูงสุดตามพระธรรม คำสอนแห่งองค์พระศาสดา
ขอศึกษาพระธรรมปฏิบัติตามคำสอน เพื่อหาความหมายของ
“ ชีวิต ”
ผมฝันว่าได้ “บวช” เป็นพระอยู่บ่อยๆ ฝันซ้ำๆ ว่าได้ห่มผ้าไตรจีวร
แต่ทุกครั้งมักมีอุปสรรค ต่อการบวชเสมอๆ เช่น ผ้าไตรหายไป หรือ ไม่ได้ฉันอาหาร หรือเครื่องบริขารหาย คงอยากบวชมากกระมัง
ผมอยากอยู่ “ ถ้ำ ” มาก มีความชอบ“ ถ้ำ ” ตอนเด็กๆไปเที่ยวถ้ำ
แล้วรู้สึกเย็น สบาย สงบ มีความสุขมากๆครับ ฝันอยากอยู่ “ ถ้ำ ”
บำเพ็ญภาวนา หาที่สุดของ “ใจ”
ผมศรัทธา นับถือศาสนาพุทธ ปฏิบัติตามคำสอนและแนวทางที่พ่อแม่
ครูอาจารย์ สอนและชี้หนทางปฏิบัติไว้ ผมเชื่อว่า คนเราเมื่อตายไปแล้ว
มีการเกิดใหม่แต่จะเกิดใหม่ในภพภูมิใด ขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำไว้
เชื่อเรื่องบาป-บุญ นรกและสวรรค์ เชื่อในคำสอนสูงสุด คือ “นิพพาน”
สภาวะหลุดพ้นจากวงจรการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก สักภพชาติหนึ่ง
ขอให้ได้เข้าสู่สภาวะ“นิพพาน” ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว
ผมมองดูรอบกายเรา ดูจะเห็นว่าทุกข์มากมาย สุขน้อยนิด
หรืออาจไม่สุขก็เป็นได้
แม้ยามได้เฝ้าดูลูกๆเล่นสนุก เสพเสียงหัวเราะของลูกๆดั่งเสียงสวรรค์
ก็เกิดความรู้สึกว่า สักวันหากต้องพลัดพรากจากกันไป
คงทุกข์ไม่น้อย เกิดความห่วงใย อาลัย จิตใจเศร้าหมอง
ทุกข์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พระธรรมคำสอน สอนให้เรารู้จัก ความจริง 4ประการ
“อริยสัจ4”
ว่าด้วยเรื่อง “ ทุกข์ ” จนถึงหนทางดับทุกข์ได้
“เครื่องอยู่”ในบั้นปลายชีวิตของผม คงอยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ
ตามแนวทางพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ศึกษาเรียนรู้ “จิตใจ” ตัวเอง
ทำความรู้จักกับตัวเอง ค้นหาตัวเอง ใน “ถ้ำ” สงบสงัดสักแห่ง
หากลมหายใจสุดท้าย จะสิ้นสุดลง ขอจบลงอย่างสงบแต่เพียงผู้เดียว ไม่ให้ใครยุ่งยาก ไม่เป็นภาระใคร จบไปดับไป เหมือนไฟเปลวเทียน
ท่านผู้อ่านล่ะครับ มีเครื่องอยู่ในปัจฉิมวัย หรือยังครับ
เทียนไข
14 /9/2563
เครดิตภาพ: pixabay
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังสารวัฏนี้เต็มไปด้วยเพลิงทุกข์
นานาประการ โหมให้ร้อนอยู่โดยทั่ว  สัตว์ทั้งหลาย ยังวิ่งอยู่ในกองทุกข์
แห่งสังสารวัฏ  
ใครเล่าจะเป็นผู้ดับ ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันดับทุกข์แห่งตน 
อุปมาเหมือนบุรุษสตรี ผู้รวมกันอยู่ในบริเวณกว้างแห่งหนึ่ง
และต่างคนต่างถือดุ้นไฟลุกโพลงอยู่ทั่วแล้ว  ต่างคนต่างก็วิ่งวนกันอยู่
ในบริเวณนั้น และร้องกันว่า ร้อน ร้อน
 
ภิกษุทั้งหลาย คราวนั้นมีบุรุษผู้หนึ่ง เป็นผู้ฉลาดร้องบอก
ให้ทุกๆ คนทิ้งดุ้นไฟในมือของตนเสีย  ผู้ที่ยอมเชื่อทิ้งดุ้นไฟก็ได้ประสบ
ความเย็น ส่วนผู้ไม่เชื่อ ก็ยังคงวิ่งถือดุ้นไฟพร้อมร้องตะโกน
ว่า ร้อน ร้อน อยู่นั่นเอง
ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้ทิ้งดุ้นไฟแล้ว และร้องบอกให้เธอ
ทั้งหลายทิ้งเสียด้วย  ดุ้นไฟที่กล่าวถึงนี้  คือ กิเลสทั้งมวล
อันเป็นสิ่งที่เผาลนสัตว์ให้เร่าร้อนกระวนกระวาย ”
( ความตอนหนึ่ง พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน )
ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อ่าน ที่อ่านบทความนี้จนจบ
ขอให้ท่านมีความสุข และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ
โฆษณา