16 ก.ย. 2020 เวลา 16:44 • ธุรกิจ
"Work-Life Flow" คืออะไร และ "นักขาย" ต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง
เพื่อเข้ากับการทำงานแบบนี้
#justasalestory #เรื่องเล่านักขาย #WorkLifeFlow
"Work-Life Flow" คำๆ นี้หลายท่านคงได้ยินมาสักพักแล้ว แต่เพราะช่วง COVID-19 ทำให้คำๆ นี้ มีการพูดถึงกันมากยิ่งขึ้นไปอีก
"Work-Life Flow" is "how we are "Always on" and "Always accessible" but still able to blend "It" into our life" (meafordgroup.com)
คำจำกัดความ ตามความคิดของผมก็คือ การที่เราสามารถพร้อมที่จะทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งในสถานการณ์ COVID-19 เมื่อเกิดคำว่า "WFH" (work from home) แล้ว คำว่า "Work-Life Flow" ยิ่งสอดคล้องเข้ากับสถานการณ์และเป็นสิ่งที่คนทุกคนต้องปรับตัวกันยกใหญ่เลยทีเดียว
สำหรับ "นักขาย" แล้วนั้น การที่คุณจะ "Work-Life Flow" ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น คุณจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนที่ดีด้วย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
1.) Mobility Devices and Internet signal
"นักขาย" สมัยนี้โชคดีมาก มีอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ทันสมัย ช่วยให้เข้าถึงการทำงานได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น
- Mobile Internet signal: ปัจจุบันก็ 5G แล้วในบางพื้นที่ ซึ่งสัญญาณสูงสุดจะอยู่ที่ 20 Gigabits-per-second เลยทีเดียว ซึ่งเร็วกว่า 4G อยู่ถึงประมาณ 100 เท่าเลยทีเดียว เอาง่ายๆ โหลดไฟล์ใหญ่ๆ เสร็จได้ในไม่กี่นาทีนึกง่ายๆ หรือดูหนังออนไลน์ Graphic ดีๆ ลื่นปรื๊ดๆ เลยทีเดียว
- WiFi Hotspot available: เดี๋ยวจุดต่อ WiFi ฟรี แทบจะมีทุกร้านกาแฟ และตามห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป แถมเป็นแบบใช้ฟรีอีก เพียงแค่สั่งเครื่องดื่ม หรือขนมทานในร้านเท่านั้น และเดี๋ยวนี้สัญญาณในร้านเหล่านี้ก็แรงพอที่จะทำงานได้กันเลยทีเดียว
- Notebook: เดี๋ยวนี้ Spec เทพ ๆ ราคาหมื่นต้น หมื่นกลาง หรือหมื่นปลายเยอะแยะเลย เช่น Acer Spin5 ที่เป็น notebook และ tablet ในตัว ใช้งานสะดวกมาก, Lenovo Ideapad C340 หรือถ้าราคาถูก spec แรงก็ HP notebook 15 เป็นต้น
- Tablet: บางคนนอกจากมี Notebook ก็ยังมี Tablet เช่น Ipad บ่อยครั้งที่การติดต่อลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องนำเสนองานด้วย notebook เสมอไป อุปกรณ์พ่วงต่อจาก Ipad เข้าทีวีหรือโปรเจคเตอร์มีให้เลือกมากมาย หรือจะใช้แบบไร้สายก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ยาก ดังนั้น "นักขาย" ทำงานได้แบบไร้ข้อจำกัดเรื่องสถานที่ได้เลยทีเดียว
นี่แค่ตัวอย่างอุปกรณ์ 4 อย่าง สำหรับ "นักขาย" ในยุคปัจจุบัน คุณไม่สามารถหาข้ออ้างได้เลยว่า คุณอยู่ข้างนอกและไม่สะดวกในการทำงานเลยทีเดียว
2.) CRM system support
"CRM" โดยตัวของความหมายคือ Customer Relationship Management หรือระบบการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้านั่นเอง โดยใช้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน
ปกติ ถ้าบริษัทขนาดเล็กทั่วไป หรือบริษัทที่เริ่มต้นธุรกิจได้ไม่นาน ในการจัดระบบความสัมพันธ์กับลูกค้านั้น มักจะอยู่ในรูปแบบการจดบันทึก ไปจนถึงการกรอกข้อมูลในไฟล์ Excel
ปัจจุบันระบบ CRM เข้ามาช่วยทำให้การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ซึ่งจะมีประโยชน์หลักๆ กับ "นักขาย" อย่างไรบ้าง ได้แก่
- มีหมวดหมู่แบ่งแยกรายละเอียดของงาน ลูกค้า บุคคลที่ติดต่อชัดเจน รวมถึงสถานที่จัดส่งสินค้า เก็บเงิน ฯลฯ
- สามารถแบ่งระดับการเข้าถึงข้อมูลทำให้ "หัวหน้าทีมขาย" สามารถเข้าไปดู pipeline ของลูกทีมได้ตลอดเวลา ในขณะที่ลูกทีมไม่สามารถดูของเพื่อนร่วมทีมได้
- มีรายงาน performance report ทำให้ "นักขาย" ไม่จำเป็นต้องทำรายงานในการนำเสนอทีมขายหรือผุ้บริหาร ลดความซ้ำซ้อนของงานด้วยการทำงานจาก Excel ไปแปลงเป็นข้อมูล Powerpoint
- ป้องกันข้อมุลสูญหาย เนื่องจาก CRM ในปัจจุบันส่วนมากจะเป็นระบบ cloud มันจะมีระบบ auto save ช่วยป้องกันข้อมูล สูญหายได้อย่างดี และระบบ cloud ก็เป็นระบบที่ส่วนใหญ่ใช้กับระบบของ cloud platform ระดับโลก
- ทำให้ "นักขาย" สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา เช่นเดี่ยวกับ"หัวหน้าทีมขาย" ข้อจำกัดเรื่องการทำงานคนละสถานที่ หรือคนละประเทศหายไปทันที
- บางระบบสามารถเชื่อมต่อกับ contact list ทางโทรศัพท์ และระบบโทรศัพท์ รวมถึงระบบอีเมล ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหน้าจอการทำงาน เพิ่มความสะดวกในการทำงานแบบ all-in-one
3.) ระบบ Cloud platform
นอกเหนือจาก อุปกรณ์ และ ระบบ CRM ที่จะทำให้ "นักขาย" สามารถทำงานได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลาแล้ว ยังมีระบบอีกอย่างนั่นก็คือ ระบบ Cloud platform นั่นเอง
ระบบ Cloud platform ก็คือ platform ที่รวบรวมเอาความสามารถของ software หลายๆ ตัวให้มาอยู่ใน platform เดียวกัน และสามารถทำงานผ่านระบบ internet โดยไม่จำเป็นต้อง install software นั้น ๆ ลงในเครื่อง computer ของเราอีกต่อไป
แน่นอนว่า ข้อดีก็คือ ทำให้สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ และรองรับการทำงานกับ notebook ที่มี spec ไม่สูงนัก เช่น notebook ระดับราคาไม่เกิน 10,000 บาท เช่น มีหน่วยความจำน้อย มีพื้นที่การเก็บข้อมูลไม่มาก และเหมาะสำหรับ "นักขาย" หรือ "เจ้าของกิจการ" ที่ต้องการประหยัดงบประมาณในการลงทุนด้านระบบ software ที่ปกติต้องเสีย license ในการซื้อ program ก็เปลี่ยนมาเป็นการซื้อ Cloud license แทนซึ่งมีราคาถูกกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว
ตัวอย่างของระบบ cloud platform ที่ "นักขาย" สามารถใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและราคาไม่แพง เช่น
- Google G Suite (Cloud computing system and collaboration tools)
ตัวนี้สามารถใช้ฟรี ก็ได้จากการสมัคร Gmail และยังสามารถเข้าถึงการใช้งานไฟล์เอกสารต่างๆ ผ่านระบบอินเตอร์เนท เช่น Google doc = MS word, Google spreadsheet = MS excel, Google slide = MS powerpoint etc.
- Microsoft 365 (Cloud computing system and collaboration tools)
อันนี้ก็จะเหมือนกับ G Suite แต่เป็นคู่แข่งกันโดยตรงนั่นเอง
ข้อดี ของระบบ cloud platform หลักๆ เลย สามารถทำงานแยกหรือใช้ไฟล์เดียวกันทำงานร่วมกันได้ เช่น มีตาราง excel กลาง เซลล์ทุกคนสามารถเข้าไปทำการแก้ไขอัพเดตในส่วนที่เป็นช่องข้อมูลของตนเอง และจะมี historical record หรือ logs ที่จะเก็บและแจ้งว่าใครทำอะไรเมื่อไหร่หรือใครเข้าไปแก้ไขไฟล์ล่าสุด เป็นต้น ก็จะสะดวกในแง่การใช้งานและมีความปลอดภัยสุง
เห็นไหมครับ ว่าการทำงานแบบ Work-Life Flow ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป "นักขาย" ที่ดีต้องทำงานได้ทุกที่ ไม่มีข้อแม้นะครับ ไม่งั้นคุณจะถูกมองว่าเป็น "นักขาย" ตกยุคเอาได้
#justasalesstory #เรื่องเล่านักขาย #WorkLifeFlow
Credit picture by freepik.com
โฆษณา