7 พ.ย. 2020 เวลา 19:13 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 6: เห็นชื่อตอนอย่างนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผมไปประสบพบเจอกับอะไรมา ผมกลายเป็นผู้ป่วยโรคโคโรน่าไวรัส หรือที่เราเรียกว่า COVID-19 ไวรัสตัวเล็ก ชื่อน่ารัก แต่ความรุนแรงของมันนั้นเรียกได้ว่าร้ายกาจเหลือเกิน เรียกได้ว่าเล่นเอาผมแง้มประตูสวรรค์ เจียนอยู่เจียนไปหลายรอบเหมือนกัน เกือบไม่ได้มาเขียน ‘เอ็น.วาย.กู.’ ต่อแล้ว 555
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ป่วยใหม่ ๆ 4-5 วันแรกนี่ เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลยว่า นี่ตกลงกูอาการดีขึ้นหรือว่าแย่ลงวะ จนลากมาได้สิบกว่าวันแล้ว อาการช่วงนี้ก็ค่อยพอเรียกได้ว่า ดีขึ้นตามลำดับ ถ้าเป็นภาษาหมอก็เรียกได้ว่า ‘ดูแล้วน่าจะรอด’ จะมีก็แค่อาการโดยรวมที่ยังทรง ๆ อยู่ อย่างพวกเหนื่อยตลอดเวลา กับไม่มีเรี่ยวแรงนี่แหละที่ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็พอจะเขียนหนังสือไหวก็เลยอยากจะเปิดบันทึกให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน เผื่อมีใครเป็นแบบผม อย่างน้อยก็มีข้อมูลอะไรให้ได้ศึกษา ดีกว่าไปหาข้อมูลเอาดาบหน้า แต่เชื่อผมเถอะ ว่าดูแลรักษาความสะอาด เว้นระยะห่าง ไม่จำเป็นก็อย่าออกไปเสี่ยง ฉีดวัคซีนได้ก็ไปฉีดเถอะ เอาวัคซีนที่ดี มีคุณภาพด้วยนะ เพราะเป็นทีนะ โคตรจะทรมาน!
วันที่หนึ่ง:
รู้สึกตัวตั้งแต่ประมาณแปดโมงเช้า พบว่าตัวเองมีไข้สูงมาก ไข้มาแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับอาการเจ็บคอสุด ๆ เหมือนมีแผลสดในช่วงคอ ตรงข้าง ๆ ลูกกระเดือก ทำให้ดื่มน้ำได้ยากมาก เรียกว่าแค่กลืนน้ำยังยากเลย เพราะคือสุดยอดแห่งเจ็บคอ มันแห้งผากเหมือนกับคอเป็นกระดาษทรายหยั่งงั้นเลย
จะว่าไปแล้ว อาการมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกมีอาการปวดหัวเบา ๆ แต่ไม่ได้เป็นหนักมาก ก็เลยกินไทลินอลก่อนนอนคิดว่าตื่นมาแล้วน่าจะโอเค แต่พอตื่นขึ้นมาวันนี้เท่านั้นแหละ รู้เลยว่า ณ โมเม้นท์นี้คือ ไม่ไหวแล้ว รีบส่งข้อความบอกพี่ในร้าน ฝากเปิดร้านให้หน่อย กะว่าตอนเย็นหลังจากได้พักผ่อน ได้กินยา อาการน่าจะดีขึ้น (ตอนนั้นยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นโควิท) ก็จะไปเข้าร้านต่อตามเดิม แหม่ กูนี่คือ เครื่องจักรทำงานจริง ๆ ตอนนั้นคิดว่าเจ็บคอมาก แต่ไม่อยากกินยาอม็อคซี่ (ยาปฏิชีวนะ) เพราะกลัวว่ามันจะไปฆ่าภูมิคุ้มกันของเราเองด้วย ทั้ง ๆ ที่ปรกติแล้ว ถ้าตื่นมาเจ็บคอแบบนี้ ซัดอม็อกซี่ทันทีแน่นอน
แต่เหมือนพระเจ้าจะบอกว่า มึงป่วย! จงพักผ่อนซะ! เพราะว่าตื่นมาตอนเย็นแล้วพบว่า ไข้ไม่ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว แถมกลับขึ้นสูงมากอีกต่างหาก ก็กิน Tylenol กะว่าจะลดไข้ซะ ก็เหมือนจะได้ผล คือ สักพักเหงื่อออก ไข้เหมือนจะลด แต่พอเวลาผ่านไปสักชั่วโมงสองชั่วโมง ไข้ก็กลับมาใหม่ และมาแบบสูงเหมือนเดิม อืม...ตอนนั้นใจเริ่มคิดว่า ซวยแล้วกู หรือเราจะติด Covid-19 แล้ววะ
อาการอื่น ๆ คือ มีอาการถ่ายต่อเนื่อง ไม่รุนแรงมาก แต่บ่อยมาก วันแรกก็ซมซานเข้าห้องน้ำไป ประมาณ 6 ครั้ง ทุกครั้งสีดำเข้ม กระเพาะกับลำไส้คงใกล้พังเต็มแก่ อ่อ นึกได้ว่า ก่อนหน้าจะเจ็บคอหนัก ๆ เราเหมือนจะมีอาการไอแบบแห้ง ๆ มาก่อนซักสามสี่วัน เราก็นึกว่าเพราะทำงานหนัก ไม่ค่อยได้พักผ่อน ก็กินชาร้อน จิบยาแก้ไอน้ำดำชวนป๋วยปีแป่กอเอา คิดว่าเอาอยู่ ปรากฏว่าเอาไม่อยู่แล้วครัชชช... เขื่อนแตก 555
แต่ตอนนี้ยังไม่ปักใจว่าเป็นโควิทหรือเปล่านะ (หรือพยายามหลอกตัวเองว่า ไม่เป็นก็ไม่รู้ 555) แม้ว่าที่นิวยอร์กขณะนี้ (4/22/2020) จะเป็นเมืองที่มีคนติดเจ้าโควิทสูงสุดในโลกแล้วก็ตาม และงานในร้านอาหารที่ผมทำ ก็ทำให้เจอคนมากหน้าหลายตา ไอ้ที่ดูป่วยก็มีบ้าง ไอ้ที่ไม่ค่อยเต็มก็เยอะ แต่ก็คิดว่าเราเป็นคนที่เจ็บคอ หรือป่วยออกจะบ่อยนะ อาจจะไม่เป็น COVID-19 ก็ได้ อาจเป็นแค่อาการป่วยตามปรกติเท่านั้นเอง แต่เราก็ไม่ประมาท เริ่มทำการสังเกตตัวเองอย่างมีสติ กับศึกษาอ่านตามเว็บไซด์ ก็รู้มาว่าอาการของคนติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะมีอาการไอ ไข้ขึ้นสูง เหนื่อยง่าย เมื่อยตัวและก็หายใจสั้น เอิ่ม....แบบว่า ณ วันแรกนี้รู้สึกว่า กูมีครบหมดเลยจ้า แต่หายใจสั้น ถี่ๆ รู้สึกเหมือนจะยังไม่ชัดเจน คือเราว่า เรายังหายใจยาวเป็นปรกติอยู่ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถามแฟนแล้วนางบอกว่า
"ไม่ ยูหายใจสั้นและถี่มาก" คุณแฟนบอกเสียงเข้ม
แต่คิดว่าถ้าเป็นก็ช่างแม่ง เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว ที่นิวยอร์กเรียกได้ว่า มันระบาดหนักโคตร ๆ เมืองแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง สิ่งที่เราทำได้ ณ ตอนนี้คือ แยกตัวเองออกจากรูมเมททุกคนในบ้านแล้วและก็บอกให้เขารู้ว่าเราป่วยนะ อาจจะไม่ใช่โควิทก็ได้ แต่คิดว่าน่าจะเป็น อย่างไรให้ระวังไว้ สภาพตอนนั้นนี่คือแบบว่า แค่จะเงยหน้าพูดยังทำไม่ได้อ่ะครับ เรี่ยวแรงมันไม่มี ไม่รู้มันไปไหนโหม๊ดดด...
ยิ่งเมื่อพยายามจะพูด ก็จะไอไม่หยุดเลย เจอหน้าคนในบ้านเค้าก็ถามเป็นไงมั่งพี่ อาการดีขึ้นไหม เราก็ได้แต่ส่ายหัวตอบไปเป็นภาษาใบ้ว่า ไม่โอเคเลยตอนนี้ แต่ขอให้ระวัง ๆ กันเอาไว้ด้วย ดูสภาพเราซะก่อน แหะ ๆ ส่วนห้องก็พยายามเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเข้าออกได้สะดวก ไม่ร้อนไม่เย็นเกินไปกับเริ่มซัดไวตามินซีแบบผงที่ชื่อ Emergen-C ที่เป็นไวตามินซี 1000mg ผสมน้ำดื่มซดได้เลยทันที และใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา กลัวว่าเดี๋ยวไอแล้วจะไปติดคนอื่น
วันที่สอง:
วันนี้ไข้สูงตามเดิมและ Tylenol ที่มีอยู่หมดแล้ว พระเจ้าช่วย! ซมซานไปเปิดตู้ยาเจอซาร่าของไทย อ๊ะ! พาราเซตตามอลเหมือนกันนิ ก็เลยเอามาทานแก้ขัดไปก่อน (น้ำตาจิไหล) ตอนนี้ผมแจ้งเรื่องการป่วยของตัวเองให้คุณอาที่เป็นเภสัชกรที่นิวยอร์ก กับพี่สาวที่เป็นหมอที่ไทยให้ได้รู้แล้วล่ะว่า อาการของผมมันไม่ไหวแล้ว ไม่ชอบมาพากลแล้วเพราะอาการเจ็บคอมันออกมาเต็ม ๆ เลย วันนี้นี่แย่กว่าวันแรก เพราะพูดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แค่คิดจะพูดก็ไอแบบหูดับตับไหม้ไปเลย แถมแฟนบอกว่ายูหายใจถี่ขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วยนะ ซึ่งผมก็สังเกตมาวันนึงก็ยอมรับว่าจริงว่ะ แบบนี้ผมก็ได้แต่ร้องอุทานว่า...ไอ้เรือหาย!
มารู้ทีหลังจากพี่สาวที่เป็นหมอว่า Tylenol ของเขาดี เพราะมันเป็นพาราแท้ ๆ ฉะนั้นถ้าเลือกได้จงกินไทลินอลก่อนซะ 555 อืมมม แล้วถามพี่สาว แล้วซาร่าล่ะแท้ไหม พี่สาวก็ตอบมาว่าแท้เหมือนกัน ตึ่งโป๊ะ! (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) แต่แท้ไทยนะ แล้วแท้ไทยกับแท้ฝรั่งนี่มันยังไงหว่า แต่เราก็ไม่ปัญญาจะไปสนใจ ช่างแม่ม! ตอนนี้ต้องเอาตัวเรา เอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนล่ะวะ คุณอาบอกว่าอย่ากินพาราเกิน 4000mg ต่อวันก็แล้วกัน มันไม่ดีต่อสุขภาพ ปรกติเม็ดนึงคือ 500 mg กินครั้งละ 2 เม็ด เท่ากับว่า หนึ่งวันไม่ควรกินเกิน 4 ครั้ง หรือ ทุก ๆ 6 ชั่วโมง ผมก็ปฏิบัติตามนั้น
ช่วงนี้กินซาร่าครั้งล่ะสองเม็ด 1000 mg กินเสร็จก็ห่มผ้าห่มสองชั้น ซักพักประมาณสิบห้านาที ตัวผมก็จะร้อนผ่าว เหงื่อแตกแบบชนิดที่เสื้อผ้าและที่นอนเปียกชุ่มไปหมด ไข้ลด กลับมาสดชื่นขึ้นนิดนึง แต่พอผ่านไปสักสองสามชั่วโมงไข้ก็ขึ้นใหม่ เป็นแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ทรมานสัส!
มาที่เรื่องของท้องเสีย สรุป วันนี้ไม่มีอะไรให้ถ่าย เพราะคงหมดตัวไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน 555 แต่อาการของโควิทนี่มาครบ ไข้สูง คอเจ็บ ปวดตัว หายใจถี่และที่เพิ่มเติมมาคือ เจ็บหน้าอก! แบบแปร๊บ ๆ แทบจะทุก ๆ เวลาที่หายใจประมาณนั้นเลย ไม่เหมือนตอนอกหัก เพราะอันนั้นจะรู้สึกโหวง ๆ 555 พยายามคิดบวกว่าไว้หายเมื่อไหร่ ร่างกายกรูมี Immunity เต็มสิบแน่ ๆ สบาย เพราะฉะนั้นอดทนเอาไว้
วันนี้คุณแฟนเริ่มจัดของเสริมให้ล่ะ นอกจากไวตามินซีที่ดื่มเช้าเย็นแล้ว ไวตามินบีก็มาจ้า หน้ากากอนามัยเริ่มใส่ตั้งแต่เมื่อวานล่ะ เปลี่ยนทุก 12 ชั่วโมง เพื่อความสะอาดและสดใหม่ เพราะไอแทบจะตลอดเวลา หน้ากากน่าจะปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคสุด ๆ ไม่รู้จะว่าไงดี คือ ตอนก่อนป่วย มีซื้อหน้ากากอนามัยมา กล่องนึง 50 ชิ้น ราคา $60 ชิ้นละ 40 บาทไทยนะ กรมควบคุมราคาไม่เห็นมาตรวจสอบเลยวะ!
ตอนนี้เราก็เริ่มห่วงแฟนเราแล้วล่ะว่านางจะติดโควิทจากเราไหม อ่อ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันที่ผมทำการแยกตัวเองออกจากเหล่าปุถุชนในบ้าน ตอนนี้ก็บอกให้ทุกคนรู้กันเลยว่า เราน่าจะเป็น COVID-19 100% พี่ ๆ รูมเมทบอก พวกกูรู้ตั้งนานแล้ว ดูสภาพมรึงซิ! 555 เราก็เลยบอกทุกคนว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปนอกบ้านกันเลย ขอร้องเถอะ ทุกวันเห็นออกจากบ้านไปทำงานกันทุกคนเลย บอกตรง ๆ คือ ไม่ได้กลัวว่าพวกพี่ ๆ จะป่วยหรือจะตายหรอกนะ แต่กูกลัวว่าพวกมึงจะไปพาเอาไวรัสเข้าบ้านมาด้วยต่างหากล่ะโว้ย เขาออกข่าว ประกาศกันโครม ๆ บอกให้เก็บตัวอยู่ในบ้านกัน ยังจะออกไปแรดทำงานร้านอาหารกันอีก เฮ้อ กรูล่ะเพลีย!
วันที่สาม:
วันนี้ไข้ยังคงมีอยู่ สูงเหมือนเดิมแต่ไม่เท่าวันแรกๆ กินยาลดพาราลดไข้ประคองไปตามเคย ถามอาว่าทำไมบางทีเรากินไปก็เหงื่อออก บางทีก็เหงื่อไม่ออก
"แล้วเรากินไปที่กี่มิลิกรัมล่ะ" อาถาม
"กิน 1000 mg คับ แต่บางทีก็กินที่ 500 mg" ผมตอบ
"โอ๊ย นั่นน้อยไป" อาบอกก่อนที่จะอธิบายต่อ
"ควรกินที่ 750 ถึง 1,000mg นั่นคือ ปริมาณที่แนะนำ แถมเราตัวใหญ่ด้วย กินแค่ 500 mg มันเอาไม่อยู่หรอก น้ำหนักเราเยอะด้วย" อาเสริม หลังจากนั้นก็ถึงบางอ้อ เข้าใจเลยว่า ถามผู้รู้จริงดีที่สุดนะ เข้าใจซะทีว่า เรากินพาราน้อยไปนี่เอง ปรกติ คือกินพาราครั้งละ 1000 mg นะ แต่ว่าผ่านมาหลายวัน กินจนหัวมันปวดไปหมดแล้ว ก็เลยลดลงมากินที่เม็ดเดียว 500mg เพราะคิดว่าคงได้อยู่ แต่จริง ๆ มันไม่ได้ มันน้อยไป ก่อนที่อาจะเสริมต่อว่า
"พวกไข้หวัด ถ้าเป็นแล้วไม่หายนี่ก็น่ากลัว อาจจะเหมือนไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ถ้าเรื้อรังก็อันตรายมากทีเดียว นี่เป็นมาสามสี่วันแล้ว ไข้ยังไม่ลดลงเลย ระวังเอาไว้ด้วยนะ" อาบอก
ผมก็ได้แต่รำพึงกับตัวเองว่า สงสัยจะแย่แล้วเรา แล้วก็ปรึกษาอาเรื่องกินยาอมอกซี่ ยาปฏิชีวนะนั่นแหละ ใจจริงไม่อยากกินเลย แต่คอที่มันเจ็บแสบไปหมด แถมแห้งเป็นผงแบบนี้ ถ้าไม่กิน ไข้ก็คงจะกลับมาเรื่อย ๆ เพราะต้นสาย อาการอักเสบมันยังอยู่ อาบอกว่ากินอม็อกซี่ได้เลย แต่อย่าลืมกินให้ครบโดสมันด้วย สำคัญมาก ๆ จะห้าวันสิบวันก็ว่าไปแล้วแต่ วันละสองครั้ง ยาที่อาฝากไว้ให้ชื่อ Augmentin เริ่ม 10 โมง อาบอกว่า รอบแรกทานสองเม็ดไปเลย เรียกว่าเป็น Big hit กินให้มันแรงไว้ก่อน จากนั้นก็กินครั้งละเม็ด ทุก 12 ชั่วโมง แล้วก็ทานไทลินอลต่อ นอนอบตัวให้เหงื่อออก แล้วก็สลบไปรอบนึง ฟื้นขึ้นมาตอนเย็นเริ่มรู้สึกว่า คอที่เจ็บเริ่มดีขึ้น ไม่ขนาดแห้งเป็นผงอะไรขนาดนั้นแล้ว กับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีแรงมากขึ้นนิดนึง คิดว่าน่าจะตัดสินใจถูกที่กินยา Augmentin ไป
แต่ตอนนี้ที่ทรมาน คือ โคตรจะปวดหัวมาก หัวมันระบม ร้าวไปหมด คิดว่ามาจากยาไทลินอลกับซาร่าที่กินไปนั่นแหละ และก็น่าจะเพราะนอนเยอะด้วย คือ มันทำอะไรไม่ได้นอกจากนอน นอนแล้วก็นอนอีก เปลี่ยนท่านอนก็แล้ว เปลี่ยนหมอนก็แล้ว เปลี่ยนมานอนพื้น เปลี่ยนทุกอย่างก็ยังปวดหัวทุกที เหลือแค่เปลี่ยนหัวที่เปลี่ยนไม่ได้ แถมสมองมันก็เหมือนกับเพ้อเพราะพิษไข้ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่หยุดไม่จบสิ้น ควบคุมสมาธิตัวเองไม่ได้เลย เหมือนสติมันไม่อยู่กับตัว มันลอยล่องไปทุกแห่งหนแบบนี้ บางทีก็ฟุ้ง ๆ มาเรื่องครอบครัว แฟนใหม่ แฟนเก่า เพื่อน อะไรต่อมิอะไรเลอะเทอะไปหมด เรียกว่าจิตไม่สงบจริง ๆ
อาการแบบนี้ เชื่อว่าใครไม่เคยเป็นคงไม่เข้าใจ มันเหมือนกับว่าเราจะเป็นบ้า ธาตุไฟแตกประมาณนั้นเลยนะ แต่ก็พยายามเรียกสติตัวเองกลับมา ข่มตา ท่องในใจพุทโธ ๆ ตลอดเวลาที่นึกออก เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้จิตหลุดอันตรายมาก ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่ก็ต้องพยายามทำ ท่องพุทโธไปได้สองสามครั้ง สมองมันก็พาเราเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็กลับมาท่องพุทโธใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ สรุป ท่องทั้งคืนยันสว่างคาตาเลย เพราะมันนอนไม่หลับ
สรุปกว่าจะหลับ ก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงเช้า ทั้ง ๆ ที่เริ่มเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม แถมไอ้ที่หลับไปได้ตอนเก้าโมงเช้าเนี่ยคือ หลับไปเพราะว่าเพลียจัด ๆ ร่างกายมันแบบว่าไม่ไหวแล้ว Auto Shutdown ไปเอง ไม่ใช่ว่าหลับลงได้ตามปรกติหรอกนะ เฮ้อ! วันที่สาม ผ่านไปได้ซะที
วันที่สี่:
วันนี้ตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ไข้ขึ้นเบา ๆ แต่เรียกได้ว่าดีกว่าสามวันแรกอย่างเห็นได้ชัด เพื่อน ๆ เริ่มรู้แล้วว่าเราป่วยเป็น COVID-19 บางคนส่งลิ๊งค์ตรวจออนไลน์มาให้ราคา $180 ขุ่นพระ! ก็เลยตอบไปว่าไม่ต้องตรวจหรอก เสียเงินเปล่า ๆ กรูเป็น 100% ถ้าใครอยากพนันด้วย ก็พร้อมจะขายบ้าน ขายรถ จำนองแม่ยาย เอาเงินมาแทงได้เลย ถูกหมดทุกข้อหมดแล้วตอนนี้ ไอแห้ง ปวดหัว ไข้สูง เจ็บคอ ปวดตัวล้าไปหมด ถ่ายบ่อย หายใจถี่ แถมที่เพิ่มเติมมาคือ เพิ่งจะรู้ว่าความสามารถในการรับรู้กลิ่นจะเสียไปด้วย อันนี้รู้มาจากตอนที่คุณแฟน นางพ่นแอลกอฮอล์แถว ๆ เตียงเรา ซึ่งปรกติเราจะได้กลิ่นฉุน แล้วก็บอกนางว่าให้เบา ๆ หน่อย ปรากฏว่าคราวนี้ไม่ได้กลิ่น นางเลยเอะใจลองด้วยการพ่นน้ำหอม ก็ไม่ได้กลิ่นอีก 555 ยังมีอะไรให้ Surprise อีกไหมเนี่ย!
แต่อาการเริ่มดีขึ้น คือ คอเจ็บน้อยลงนิดเดียว และมีช่วงเวลาที่ไข้ลดต่ำลงบ้าง แต่ทำยังไงก็ไม่หมดไข้เสียที ตอนนี้นอกจากห่วงตัวเองแล้ว ก็เริ่มเป็นห่วงคุณอามาก ไม่อยากให้แกออกไปทำงานเลย แถมมีพี่ชายที่ร้านอาหารเก่าที่เคยทำงานด้วย เพิ่งเสียไปเพราะโรคแทรกซ้อน COVID-19 บวกเบาหวานเสียด้วย เรายังหนุ่มยังแน่น ออกจะแข็งแรง แต่พอป่วยที ยังเจียนอยู่เจียนตายขนาดนี้ กลัวเหลือเกินว่า หากอาต้องออกไปทำงานเป็นเภสัชอยู่ มันเสี่ยงมากไป ยิ่งในช่วงวิกฤตแบบนี้ เรามองไม่เห็นเชื้อโรค เราอาจจะระวังตัวเองได้ แต่เราไม่สามารถระวังคนทุกคนที่เข้ามาหาเราได้ตลอด นั่นแหละที่มันยิ่งน่ากลัว
นึกว่าวันนี้จะโอเคขึ้น เพราะตอนเช้าหลังจากตื่นมาแล้ว อาการเหมือนจะดีขึ้น แต่สรุปว่า มันไม่จริง ขุ่นพระช่วย! เพราะพอตอนกลางคืนนี้ หนังคนละม้วนชัด ๆ เข้าใจสำนวนที่เคยได้ยินมาว่า 'เทียนไขก่อนจะดับ มันจะส่องสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง' ไอ้ที่เห็นเหมือนอาการจะดีขึ้นเมื่อตอนเช้านะ นั่นน่ะมันแค่วูบสุดท้ายก่อนที่เทียนจะดับ แล้วกูก็เป็นเทียนไขเล่มนั้นซะด้วยซิ นี่เป็นเรื่องราวอาการป่วยที่เข้าใกล้กับความตายมากที่สุดของผมแล้ว
มันเกิดจากการที่เราคิดว่ากินพารา ลดไข้กินมาสี่วันติดแล้ว ไข้มันก็ลดบ้าง ขึ้นบ้าง กลับไปมา ๆ อยู่ตลอด ก็เลยว่าจะลดการกินพาราลง ประกอบกับ อาบอกว่า การเช็ดตัวก็ลดไข้ได้นะ ก็เลยคิดว่าการให้ร่างกายเราได้ต่อสู้กับไวรัสเชื้อร้ายเองบ้าง น่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น และน่าจะเป็นความคิดที่ดี ก็เลยลองดู
ตอน 8 โมงเย็น เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า ไข้เริ่มกลับมาแล้ว แต่เลือกที่จะใช้วิธีเช็ดตัวเอา ไม่กินยาพารา พอเช็ดตัวเสร็จแล้ว อาการไข้ที่รุม ๆ ก็เบาลง ก็คิดว่า เออเว้ย มันเวิร์คว่ะ แบบนี้ไม่กินยาดีกว่า แล้วก็นอนห่มผ้าสองชั้นเหมือนเดิม กะให้เหงื่อออกตามปรกติ ผ่านไปสักหนึ่งชั่วโมง ตัวเริ่มรุมใหม่ ไข้เริ่มมาอีกครั้งนึง เราก็ใช้แผนเดิม คือ การเช็ดตัว อาการตัวรุม ๆ มันก็เบาลงอีก แต่มันก็ไม่หายตัวร้อนนะ แต่ก็ลดลงไปมากทีเดียวแหละ ตอนนั้นใจคิดเลยว่า ดีว่ะ ต่อไปไม่กินพารามันล่ะ ใช้เช็ดตัวเรื่อย ๆ ก็พอ จะได้หายปวดหัวด้วย
จากนั้นก็กลับมานอนห่มผ้า อบตัวใต้ผ้าห่ม แต่พอเวลาผ่านไป ปรากฏว่าเหงื่อมันไม่ค่อยออก และตัวเราเหมือนมันระอุขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เหมือนกับตอนกินพารา ที่แป๊บเดียวเหงื่อออกเต็มผ้าห่ม พอเราเหงื่อไม่ออกมันก็เลยเหมือนความร้อนมันระอุอยู่ใต้ผ้าห่ม มันจะระอุกับอะไรล่ะนอกเสียจากตัวผม แต่ตอนนั้นผมยังทนได้อยู่ คิดว่าร้อนระอุขนาดนี้ เดี๋ยวเหงื่อคงออก ปรากฏว่าสามชั่วโมงผ่านไปจ้า เหงื่อมันไม่ออก! มีแต่ความร้อนระอุที่มันแผดเผาอยู่ใต้ผ้าห่มจนนอนก็นอนไม่ได้
พอเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกลางคืน จู่ ๆ หน้าอกก็ปวดแปร๊ปขึ้นมาแบบเฉียบพลันเลย หายใจแล้วเจ็บมาก คิดในใจว่าเรือหายอีกแล้วกรู (รอบนี้เรือดำน้ำเลย) ร่างกายมันเหมือนน็อตหลุด พังครืนลงทันที ที่ไม่มีแรงอยู่แล้ว เหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ รีบตัดสินใจกินไทลินอลทันที 750 mg ไม่ถึงสิบนาที เสื้อเสว็ตเตอร์ที่ใส่เปียกแฉะ เหงื่อออกแบบที่นอนเปียกไปหมด อาการเจ็บที่หน้าอกก็เบาลงนิดนึง ไข้ลดลงด้วย
แต่สภาพในหัวนี่คือ ทุกอย่างมันหมุนไปหมด แบบภาพลอยเคว้งคว้างเหมือนที่เราเห็นในหนังเลย หัวมันเลอะเทอะเละเทะไปหมด มันไม่เหมือนกับเมื่อวันที่สามที่อันนั้นเหมือนจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำเอาเราหลับไม่ลงยันสว่าง แต่ตอนนนี้นั้นมันไม่สามารถหยุดคิดกับเรื่องอะไรได้เลย เหมือนเราไม่มีสติติดตัว เรื่องสารพัดประดังเข้ามาเต็มไปหมด เรื่องร้าน ครอบครัว พี่น้อง เพื่อน แฟน เพลง สังคม การเมือง มันมาโครมเดียว อารมณ์เหมือนเครื่องคอมโดนไวรัส โดน Trojan แล้วแบบหน้าจอใหม่เด้งมาไม่หยุดอ่ะ คือจิตไม่สงบมาก ๆ อีกนิดเดียวเชื่อว่าสติแตก
ตอนนั้นรู้เลยว่าพิษไข้นี่ร้ายแรงมาก พยายามใช้สติที่มีอยู่น้อยนิด ท่องพุทโธ ๆ ในใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออก แต่ก็ทำได้แบบสั้นมาก ครั้งสองครั้งก็สติหลุด หลุดไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ พอรู้ตัวก็ดึงสติกลับมาท่องพุทโธใหม่ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ทั้งคืนยันเก้าโมงเช้า (อีกแล้ว) แต่ครั้งนี้แย่กว่าวันก่อน คือเหมือนเราตกลงไปในหลุมดำ หัวมันหมุนติ้วๆ แล้วพยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่างเพื่อดึงสติเราไว้ก็ไม่เจออะไรเลย
พอแฟนตื่นขึ้นมาดูอาการเรา เห็นเรายังนอนตาไม่หลับ นางเลยรู้ว่าเรายังไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ก็เล่าให้น่าฟังถึงเรื่องเมื่อคืน นางตกใจบอกว่า วันหลังปลุกฉันด้วยนะ เธอไม่สบายมากและไม่ควรต้องอยู่สู้กับมันคนเดียวแบบนี้ อยู่ช่วยกันสองแรงง่ายกว่า นางก็เอามือแตะหน้าผากให้กำลังใจเรา ปรากฏว่าได้ผลครับพี่น้อง เหมือนคนปิดสวิตช์ไฟอ่ะ แปะปุ๊บเราก็วูบลงไปเลย อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลีย ความเหนื่อยล้าจากการพยายามตั้งสติมาทั้งคืนก็เป็นได้ เรียกได้ว่าเป็นคืนที่คิดว่าเฉียดตายมากที่สุดแล้ว
สรุปผ่านมาสี่วัน อาการเหมือนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวตามสภาพอย่างช้ามาก ๆ ไข้ที่มีก็เป็น ๆ หาย ๆ อาการเจ็บคอไอแบบแห้ง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแบบมีเสมหะบ้าง แต่อาการปวดเมื่อยตามตัวนี่ยังอยู่เต็ม จุดที่หนักที่สุด คือ ที่ก้านคอกับหลังที่ตึงไปหมด หัวยังคงปวดแปล๊บ ๆ ตลอดเวลา สังเกตตัวเองได้เลยว่าหายใจสั้นลงจริง ๆ สั้นแบบหายใจเข้าแค่วินาทีเดียว ตอนนี้แค่สูดลมหายใจลืก ๆ ยังทำไม่ได้ กลั้นหายใจนี่เลิกคิดไปเลย มันจะไอตลอด
พี่สาวบอกว่าลองฝึกหายใจดู วิธีก็คือ ให้สูดลมหายใจเข้าแล้วนับเลขในใจ หนึ่ง สอง สาม แล้วกลั้นเอาไว้ นับสี่ ห้า หก เจ็ด ในใจและก็ปล่อยออกที่แปดนะครับ เผื่อใครอยากลองดู ผมก็พยายามทำครับ ปรากฏว่าไอตั้งแต่สูดลมหายใจเข้าตอนนับสองแล้ว 555 ส่วนจมูกก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย และไม่มีความรู้สึกอยากกินข้าวเลยแม้แต่นิดเดียว พยายามกินข้าวต้ม กินอะไรก็ได้ ที่เป็นน้ำ ๆ ร้อน ๆ แต่ก็กินได้แค่สองสามคำเท่านั้นเองต่อมื้อ แม้ว่าอาการจะยังดูร่อแร่มากในสี่วันแรกนี้ แต่ว่าก็ยังมีสัญญาณที่ดีอยู่คือ อาการมันเหมือนจะดีขึ้นเบา ๆ ถึงแม้ว่าจะเบามาก ๆ แต่การที่มันไม่แย่ลงไปกว่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับตัวของผมล่ะใช่ไหม
ส่วนแรกที่น่ากลัวที่สุดก็ช่วงสี่วันแรกนี่แหละครับ ตอนหน้ามาต่อตอนจบของการรักษาตัวเอง กับ COVID-19 หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้ประโยชน์บ้างจากเรื่องนี้นะครับส่วนแรกที่น่ากลัวที่สุดก็ช่วงสี่วันแรกนี่แหละครับ ตอนหน้ามาดูกันต่อเถอะครับว่า ผมกับ COVID-19 ใครจะอยู่ใครจะไปก่อนกัน...
หากคุณผู้อ่านชอบใจ สามารถกดไลค์ Comment ให้กำลังใจ ติดตาม Update เรื่องราวตอนอื่น ๆ ของ เอ็น.วาย.กู. NYKU: New York Kitchen University เรื่องวุ่น ๆ ของมนุษย์ห้องครัวในมหานครนิวยอร์ก หรือ Podcast (Blockdit) ได้ ได้ที่
#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity #คนไทยในนิวยอร์ก #มหาลัยห้องครัว #ชีวิตเด็กเสิร์ฟ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา