24 ก.ย. 2020 เวลา 01:30 • ประวัติศาสตร์
“วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)” ผู้สร้างตำนานอาณาจักร “ดิสนีย์ (Disney)”
“วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)” ชื่อนี้มีมนต์ขลัง
เขาคือผู้ก่อตั้งอาณาจักรบันเทิงที่ยิ่งใหญ่และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นบริษัทบันเทิงที่เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก
ผมเคยเขียนเรื่องของเขาเป็นซีรีส์ แต่ก็นานแล้ว ประกอบกับตอนนั้น ผมยังเขียนไม่ดีนัก จึงอยากจะเขียนเรื่องราวของเขาอีกครั้ง เล่าเรื่องราวของเขาแบบเจาะลึกในบทความเดียว
“วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)” เกิดในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1901 (พ.ศ.2444) บนชั้นสองของบ้านในชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา
พ่อของวอลท์ คือ “อีไลอัส (Elias Disney)” ส่วนแม่ของเขาคือ “ฟลอร่า (Flora Disney)”
อีไลอัสและฟลอร่า
ฟลอร่า แม่ของวอลท์นั้นเคยเรียนและฝึกเป็นครูมาก่อน แต่ก็ได้ลาออกเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว และเธอยังเป็นคนที่ใจดี อบอุ่น ในขณะที่อีไลอัสนั้นเป็นคนเจ้าอารมณ์ เข้มงวด
ขณะมีอายุได้สี่ขวบ ครอบครัวดิสนีย์ก็เริ่มจะหากินลำบาก พวกเขาจึงย้ายไปยังฟาร์มในเมืองมาร์ซิลีน รัฐมิสซูรี่
วอลท์นั้นชอบบ้านใหม่ ถึงแม้เมืองนี้จะเล็ก แต่ก็น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับวอลท์ บ้านใหม่นี้ล้อมรอบด้วยธรรมชาติและสัตว์ตัวเล็กๆ
วอลท์ในวัยเด็ก
วอลท์ชอบที่จะขี่หมูเล่นไปรอบๆ และเขายังชอบขี่ม้าไปทั่วฟาร์ม เล่นสนุกสนาน
แต่พ่อแม่และพี่ๆ ของวอลท์ คือ “เฮอร์เบิร์ต (Herbert Disney)” “เรย์มอนด์ (Raymond Disney)” และ “รอย (Roy Disney)” ต่างก็ยุ่งกับงานในไร่จนไม่มีเวลาพาวอลท์ไปโรงเรียน กว่าเขาจะเริ่มเรียน อายุก็ปาไปจะเจ็ดขวบอยู่แล้ว
ในเวลานั้น น้องสาวของวอลท์ คือ “รูท (Ruth Disney)” ก็อายุได้ห้าขวบแล้ว และกำลังจะเริ่มเรียนเช่นกัน
วอลท์กล่าวว่า “การต้องเริ่มเรียนพร้อมน้องสาว เป็นสิ่งที่น่าอายที่สุด”
วอลท์และรูท
หลังเลิกเรียน วอลท์มักจะไปว่ายน้ำ และในฤดูหนาวก็ไปเล่นสเก็ต
สิ่งที่วอลท์ชอบอีกอย่าง คือการเอ็นเตอร์เทนผู้คน
ครั้งหนึ่ง ได้มีกลุ่มนักแสดงมาเปิดการแสดงเรื่อง “ปีเตอร์ แพน (Peter Pan)” และวอลท์ได้รับเลือกให้แสดงเป็นปีเตอร์ แพน
ขณะแสดงนั้น รอย พี่ชายของเขาได้ดึงเส้นลวดที่รัดวอลท์ไว้ เพื่อให้วอลท์นั้นบินเหนือพื้น ปรากฎว่าลวดขาด ทำให้วอลท์กระเด็น ตกลงไปในกลุ่มผู้ชม
ปีเตอร์ แพน (Peter Pan)
เมื่อวอลท์เริ่มจับปากกาและดินสอได้ สิ่งที่เขาหลงไหลก็คือ “การวาดรูป”
วอลท์จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ในการวาดรูป และเขาเคยถึงขั้นเอาน้ำมันดินมาวาดรูปบนกำแพงบ้าน ซึ่งลบไม่ออก
แน่นอนว่าพ่อแม่ของวอลท์ไม่ได้รู้สึกดีด้วยแน่ๆ
ชีวิตในฟาร์มนั้น สำหรับวอลท์เป็นชีวิตที่สนุกสนาน แต่กับอีไลอัส ผู้เป็นพ่อนั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก ฟาร์มของเขาเพาะปลูกไม่ดี เงินทองก็ไม่ค่อยจะมี
ด้วยความเครียดนี้เอง ทำให้อีไลอัสมักจะหงุดหงิดอยู่เสมอ ซึ่งวอลท์ก็พยายามจะเลี่ยงพ่อของตน และอยู่กับแม่มากกว่า
ต่อมา อีไลอัสล้มป่วยด้วยไทฟอยด์ ฟลอร่าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขายฟาร์มและย้ายไปอยู่ที่อื่น
วอลท์กับแม่และน้องสาว
ครอบครัวดิสนีย์ย้ายไปแคนซัส ซึ่งอีไลอัสก็ได้เริ่มต้นเป็นสายส่งหนังสือพิมพ์ “Kansas City Times”
วอลท์ในวัยเก้าขวบต้องช่วยครอบครัวทำงาน โดยเขาเริ่มต้นเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เขาต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเอาหนังสือพิมพ์ไปส่งตามบ้านต่างๆ
ในห้องเรียนนั้น วอลท์ก็ไม่ใช่เด็กเรียนดี
อาจารย์คนหนึ่งเรียกเขาว่าเป็น “เด็กที่โง่เป็นอันดับสองของห้อง” โดยวอลท์นั้นชอบที่จะฝันกลางวัน หรือไม่ก็คิดวิธีที่จะทำให้เพื่อนๆ หัวเราะ สนุกสนาน ไม่สนใจเรียนเท่าไรนัก
วอลท์ชอบวาดรูปต่างๆ บนกระดานดำ หรือไม่ก็หนังสือเรียน จากนั้นก็พลิกแต่ละหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อให้ดูเหมือนตัวการ์ตูนขยับได้
วอลท์ขณะเป็นนักเรียน
ความสามารถในการวาดรูปของวอลท์ ทำให้วอลท์ได้ตัดผมฟรี โดยวอลท์จะวาดรูปให้ร้านตัดผมแทนค่าตัดผม
ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) ครอบครัวดิสนีย์ต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง
ธุรกิจหนังสือพิมพ์ไม่สามารถทำเงินได้อย่างที่คาดหวัง อีไลอัสจึงตัดสินใจพาครอบครัวกลับชิคาโก้ ซึ่งเขาได้ลงทุนในบริษัทน้ำผลไม้และเยลลี่
ที่โรงเรียนในชิคาโก้ วอลท์รู้สึกเบื่อ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกชอบ นั่นคือการวาดรูป ดังนั้น เมื่อเรียนที่โรงเรียนใหม่นี้ได้ไม่ถึงปี วอลท์ก็ลาออก
วอลท์ขณะมีอายุได้ 17 ปี
ถึงแม้ว่าวอลท์จะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่เขาก็เชื่อมั่นในตนเอง
เขาเชื่อว่าตนเองต้องประสบความสำเร็จ บางทีอาจจะในฐานะของนักวาดการ์ตูน หรือไม่ก็อยู่ในธุรกิจบันเทิง
วอลท์นั้นลงเรียนศิลปะภาคค่ำที่โรงเรียนสอนศิลปะ และเขายังซื้อกล้องของตัวเองอีกด้วย
วอลท์กับเพื่อนได้ช่วยกันถ่ายหนังสั้นขึ้นมา โดยเป็นหนังตลกสั้นๆ แต่น่าจะแย่มาก เพราะเมื่อวอลท์และเพื่อนนำหนังไปเสนอให้เจ้าของโรงหนังดู พวกเขาก็ถูกไล่ออกจากโรงหนังทันที
วอลท์หาเงินด้วยการทำงานในที่ทำการไปรษณีย์
ขณะทำงานที่ไปรษณีย์ ก็เป็นช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 1 และพี่ชายของวอลท์ต่างก็เข้าร่วมกับกองทัพ
วอลท์รู้สึกว่าเขากำลังพลาดการผจญภัย และต้องการที่จะเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ด้วยความที่เขาอายุน้อยเกินไป เขาจึงต้องอ้อนวอนขอให้แม่ของเขาเซ็นอนุญาตให้เขาเข้าร่วมกับกองทัพ ทำหน้าที่ขับรถพยาบาล
เมื่อได้รับอนุญาต วอลท์จึงเดินทางไปประจำการที่ฝรั่งเศส โดยในตอนนั้น เขายังมีอายุไม่ถึง 17 ปี
วอลท์ขณะเข้าร่วมกับกองทัพในสงครามโลกครั้งที่ 1
แต่กว่าจะไปถึงฝรั่งเศส สงครามก็ได้จบลงแล้ว วอลท์จึงไม่เคยได้ลงไปสนามรบ เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ขับรถพานายทหารไปตามที่ๆ แต่ละคนจะสั่ง และก็ใช้เวลาว่างวาดรูป
วอลท์ได้กลับสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคม ค.ศ.1919 (พ.ศ.2462)
ในเวลานี้ เขาอายุเกือบ 18 ปีแล้ว และก็สูงขึ้นจนครอบครัวเกือบจะจำไม่ได้ อีกทั้งเขายังติดการสูบซิการ์ ซึ่งเป็นนิสัยที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
อีไลอัสต้องการให้วอลท์ทำงานในโรงงานเยลลี่ของตน หากแต่วอลท์ไม่สนใจ เขาตัดสินใจกลับไปแคนซัสและหางานทำ โดยเขาต้องการเป็นศิลปิน
ที่แคนซัส วอลท์ได้ร่วมทีมกับศิลปินอีกคนชื่อ “อับ ไอเวิร์คส์ (Ub Iwerks)”
อับ ไอเวิร์คส์ (Ub Iwerks)
อับนั้นต่างจากวอลท์ เขาเป็นคนขี้อายและจริงจัง แต่เขาก็เป็นคนมีความสามารถ
วอลท์และอับร่วมกันตั้งบริษัทของตน โดยรับทำโฆษณาและป้ายต่างๆ และทั้งคู่ก็มีไอเดียเพียบ
สิ่งที่ขาดคือ “ลูกค้า”
ภายหลังเปิดบริษัทได้เพียงเดือนเดียว บริษัทของทั้งคู่ก็ต้องปิดตัวลง
วอลท์และอับ
ภายหลังจากที่บริษัทปิดตัว วอลท์และอับก็ได้เข้าทำงานในบริษัทผลิตแอนิเมชั่น
ที่บริษัทแอนิเมชั่นนี้เอง วอลท์ได้เรียนรู้เรื่องการทำแอนิเมชั่น และทำให้เขามองเห็นอนาคต
ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) การ์ตูนเป็นของใหม่ ผู้คนต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นรูปวาดขยับได้
ศิลปินต่างพยายามแข่งขันกันหาเทคนิคใหม่ๆ ในการทำการ์ตูน ซึ่งวอลท์เองก็คือหนึ่งในนั้น
เขาได้เข้าห้องสมุดและอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่น จากนั้นก็ได้ตั้งสตูดิโอของตนเองในโรงเก็บของหลังบ้าน
การ์ตูนในยุค 20
วอลท์ใช้เวลาทุกเย็นในการวาดการ์ตูน จากนั้นก็ถ่ายภาพการ์ตูนของตนจากหลายๆ มุม
การ์ตูนของวอลท์มีชื่อว่า “Laugh-O-Grams”
Laugh-O-Grams เป็นการ์ตูนตลก มีความยาวเพียงไม่กี่นาที โดยบางเรื่องก็เป็นเรื่องจากในเทพนิยาย แต่วอลท์จะเปลี่ยนโครงเรื่องบางส่วนเพื่อให้มีความสนุกมากขึ้น
วอลท์ได้ขาย Laugh-O-Grams ให้แก่โรงภาพยนตร์ Newman ในแคนซัส จากนั้นก็ได้ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อผลิต Laugh-O-Grams เพิ่มขึ้น
Laugh-O-Grams
ด้วยความที่งานมีมากขึ้น วอลท์จึงได้จ้างศิลปินเข้ามาช่วยวาดการ์ตูน แต่ฐานะทางการเงินของบริษัทก็ยังไม่มั่นคง ทำให้เขาไม่สามารถจ่ายเงินเดือนที่แน่นอนแก่ลูกน้องได้ เขาจึงขอจ่ายเป็นส่วนแบ่งกำไรจากการขายการ์ตูน
อับและคนอื่นๆ ได้เข้ามาทำงานกับวอลท์ โดยพวกเขาใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการวาดรูป คิดมุกตลก และเล่นกับกล้องในสตูดิโอ
วอลท์ได้ทำการผลิตภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ชื่อว่า “Alice’s Wonderland” หรือ “อลิซในดินแดนมหัศจรรย์”
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยนักแสดงเด็กชื่อว่า “เวอร์จิเนีย เดวิส (Virginia Davis)” โดยในเรื่อง อลิซซึ่งเป็นคน ได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกการ์ตูน
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเอาคน เข้าไปผสมกับการ์ตูน ซึ่งนับเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในเวลานั้น
Alice’s Wonderland
แต่ก่อนที่จะถ่ายทำ Alice’s Wonderland สำเร็จ บริษัทของวอลท์ก็เกิดล้มละลายซะก่อน ตัววอลท์เองถึงขั้นต้องขายกล้องถ่ายภาพยนตร์ของตน
ดูเหมือนว่าวอลท์จะรู้แล้วว่าแคนซัสนั้นไม่ใช่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมบันเทิง หากเขาอยากจะประสบความสำเร็จในวงการนี้ เขาก็ต้องไปยังที่ๆ มีการผลิตภาพยนตร์
นั่นคือ “ฮอลลีวู้ด (Hollywood)”
ฮอลลีวู้ด (Hollywood)
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮอลลีวู้ดก็กลายเป็นศูนย์รวมของบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่มากมาย และในเวลานี้ ภาพยนตร์ก็กำลังเป็นธุรกิจที่กำลังบูม
สิงหาคม ค.ศ.1923 (พ.ศ.2466) วอลท์เก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์วาดเขียนใส่กระเป๋า และซื้อตั๋วรถไฟ มุ่งหน้าสู่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งในเวลานั้น รอย พี่ชายของวอลท์ ก็ได้อาศัยอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย
เมื่อถึงแคลิฟอร์เนีย วอลท์ก็ได้ไปอาศัยอยู่กับลุง และก็วางแผนอนาคตของตนต่อ
วอลท์นั้นมีฝันใหญ่ แต่เขาดูไม่เหมือนคนที่ประสบความสำเร็จเลย เขานั้นผอมกะหร่องและใส่เสื้อผ้าเก่าๆ
วอลท์นั้นพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุดและเดินทางไปยังบริษัทภาพยนตร์ต่างๆ หวังว่าจะได้งานในบริษัทซักที่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย วอลท์จึงต้องกลับมาทำแบบเดิม
“เขาต้องผลิตและขายการ์ตูนของตนเอง”
วอลท์และรอย
ในเดือนตุลาคม โชคก็เริ่มเข้าข้างวอลท์
ได้มีหญิงชื่อ “มาร์กาเร็ต วิงค์เลอร์ (Margaret Winkler)” ได้เห็นการ์ตูน Alice’s Wonderland ของวอลท์และชอบมาก
วิงค์เลอร์ได้ขอให้วอลท์ทำการ์ตูนชุดนี้ออกมาเป็นตอนๆ โดยเธอจะซื้อการ์ตูนชุดนี้จากวอลท์ จากนั้นก็จะนำไปขายต่อให้โรงภาพยนตร์
มาร์กาเร็ต วิงค์เลอร์ (Margaret Winkler)
นี่เป็นข่าวดีของวอลท์ แต่ข่าวดีก็ตามมาพร้อมปัญหา
วอลท์มีเวลาสร้างการ์ตูนชุดนี้เพียงสามเดือน อีกทั้งเดวิส ซึ่งเป็นนักแสดงนำในการ์ตูนเรื่องนี้ก็อาศัยอยู่ห่างไกลในแคนซัส อีกทั้งวอลท์ก็ต้องหาเงินมาเป็นทุนสร้าง ซึ่งในตอนนี้ เขาไม่มีแม้แต่กล้องถ่ายภาพยนตร์ด้วยซ้ำ
วอลท์คิดออกแค่ทางเดียว นั่นคือหันไปหารอย ผู้เป็นพี่ชาย
รอยนั้นแก่กว่าวอลท์แปดปี อีกทั้งมีหัวการค้า และรอยก็ยอมจะร่วมหุ้น เปิดบริษัท “Disney Brothers Studio”
วอลท์และรอยเมื่อแรกเปิดบริษัท
วอลท์ได้ขอยืมเงินจากลุงและครอบครัว จากนั้นก็ตั้งออฟฟิศของตนเองขึ้น ซื้อกล้องถ่ายภาพยนตร์ และยังโน้มน้าวให้เดวิสและครอบครัวย้ายมาฮอลลีวู้ด
ในช่วงแรก วอลท์เป็นผู้ที่ทำการสร้างสรรค์ผลงานทั้งหมด ทั้งคิดเรื่อง กำกับ อีกทั้งยังเป็นคนวาดภาพและนำมาทำเป็นแอนิเมชั่นเองอีกด้วย
วอลท์นั้นทุ่มเทกับงานนี้มากจนสามารถผลิตการ์ตูนเสร็จก่อนกำหนด
แต่การผลิตการ์ตูนออกมาหลายตอนก็ดูจะเป็นงานที่หนักเกินไปสำหรับวอลท์เพียงคนเดียว เขาจึงจ้างผู้ชายอีกสามคนมาคอยควบคุมกล้องและช่วยในการทำแอนิเมชั่น และจ้างผู้หญิงอีกสามคนมาคอยลงสีการ์ตูน
หนึ่งในผู้หญิงสามคนที่วอลท์จ้างมาคือ “ลิลเลียน เบาน์ดส์ (Lillian Bounds)”
ลิลเลียน เบาน์ดส์ (Lillian Bounds)
ลิลเลียนนั้นมาจากไอดาโฮและย้ายมาฮอลลีวู้ดในปีค.ศ.1923 (พ.ศ.2466)
วอลท์นั้นชอบความเป็นธรรมชาติของลิลเลียน และมักจะขับรถคันใหม่ที่ตนเพิ่งซื้อไปส่งลิลเลียนที่บ้าน ซึ่งการขับรถไปส่งนี้ ทำให้คนทั้งคู่เริ่มได้พูดคุยและสนิทสนมกัน
ในที่สุด วอลท์ก็ชวนลิลเลียนออกเดท ซึ่งจะเรียกว่าเป็นเดทแรกก็คงได้
วอลท์นั้นอายุ 22 ปี เด็กกว่าลิลเลียนสองปี และเขาก็ยังไม่เคยมีแฟนอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน
13 กรกฎาคม ค.ศ.1925 (พ.ศ.2468) วอลท์และลิลเลียนได้แต่งงานกัน โดยภายหลังแต่งงาน ลิลเลียนได้ลาออกจากบริษัทเพื่อมาเป็นแม่บ้านให้วอลท์
วอลท์และลิลเลียน
วอลท์นั้นกังวลว่าการ์ตูนที่ตนเป็นคนวาดอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร เขาจึงติดต่ออับ ผู้เป็นเพื่อนเก่าที่เคยร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ให้ย้ายมาแคลิฟอร์เนียและเข้าร่วมกับบริษัทของเขา
อับยอมย้ายมาตามคำขอของวอลท์ ซึ่งอับนั้นก็เป็นศิลปินที่มีความสามารถ เขาสามารถผลิตการ์ตูนคุณภาพดีออกมาได้ปริมาณมากในเวลาสั้นๆ และในไม่ช้า อับก็เริ่มจะเป็นคนวาดการ์ตูนในบริษัทเกือบทั้งหมด ในขณะที่วอลท์เริ่มจะไปโฟกัสที่การคิดเนื้อเรื่องและกำกับ
วอลท์และอับร่วมกันสร้างตัวการ์ตูน “ออสวอลด์ เจ้ากระต่ายโชคดี (Oswald the Lucky Rabbit)” และสร้างเป็นตอนๆ
ออสวอลด์นั้นกลายเป็นการ์ตูนยอดนิยมในเวลาไม่นาน
ออสวอลด์ เจ้ากระต่ายโชคดี (Oswald the Lucky Rabbit)
บริษัทของวอลท์เริ่มจะขายการ์ตูนได้อย่างต่อเนื่อง และธุรกิจก็ไปได้ดีมาก มากจนวอลท์สามารถย้ายไปออฟฟิศที่ใหญ่ขึ้นได้
นอกจากนั้น วอลท์ยังตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัท แทนที่จะเป็น “Disney Brothers Studio” เขาเปลี่ยนชื่อเป็น “Walt Disney Studios” ซึ่งรอยเองก็ไม่ได้ว่าอะไร
ในเวลานี้ วอลท์กำลังรู้สึกกดดัน
เขาต้องผลิตการ์ตูนออสวอลด์ให้ได้ภายในเวลาอันสั้น
ความกดดันจากงานทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย และมักจะดุพนักงาน ทำให้พนักงานหลายคนทนไม่ไหวและลาออก
แต่วอลท์ได้ชื่นชมความสำเร็จของออสวอลด์ไม่นาน ก็ได้มีบางสิ่งที่แย่มากๆ เกิดขึ้นกับเขา
“ชาร์ลี มินทซ์ (Charlie Mintz)” เจ้าของบริษัทที่ซื้อการ์ตูนออสวอลด์จากวอลท์ ได้ทำการจ้างนักวาดของวอลท์จำนวนมาก ให้ย้ายมาทำงานกับเขาแทน
ในเวลานี้ มินทซ์เห็นว่าวอลท์ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ในเมื่อตอนนี้ศิลปินทั้งหมดของวอลท์มาเข้าร่วมกับเขาแล้ว เขาก็สามารถผลิตการ์ตูนชุดออสวอลด์ได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านบริษัทของวอลท์
ชาร์ลี มินทซ์ (Charlie Mintz)
สิ่งที่มินทซ์ทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ก็ถือว่าขี้โกงอย่างมาก
วอลท์นั้นทั้งโกรธแค้น ทั้งกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาเสียออสวอลด์ไปแล้ว และทางเดียวที่จะทำให้บริษัทของเขาไม่เจ๊ง ก็คือต้องสร้างตัวการ์ตูนใหม่ และต้องดังกว่าออสวอลด์ด้วย
วอลท์นั้นตรากตรำอย่างหนักเพื่อสร้างตัวการ์ตูนใหม่ขึ้นมา และเก็บตัวการ์ตูนนี้เป็นความลับ มีเพียงรอย อับ และลิลเลียนที่รู้ว่าตัวละครใหม่นี้คืออะไร
ตัวการ์ตูนใหม่นี้คือ “หนู”
ทุกๆ คืน วอลท์จะเล่าให้ลิลเลียนฟังว่าตัวการ์ตูนใหม่นี้เป็นอะไร และมีเรื่องเล่าว่า ในทีแรก วอลท์ตั้งใจจะตั้งชื่อหนูซึ่งเป็นตัวการ์ตูนใหม่ว่า “มอร์ติเมอร์ (Mortimer)” หากแต่ลิลเลียนไม่ชอบชื่อนี้ และแนะนำให้เปลี่ยนเป็น “มิกกี้ (Mickey)”
ตัวการ์ตูนใหม่ของวอลท์คือ “มิกกี้ เม้าส์ (Mickey Mouse)”
มิกกี้ เม้าส์ (Mickey Mouse)
ภาพยนตร์การ์ตูนที่เปิดตัวมิกกี้ เม้าส์ คือเรื่อง “Plane Crazy” เป็นภาพยนตร์การ์ตูนขาวดำ ไม่มีเสียง และออกฉายในปีค.ศ.1928 (พ.ศ.2471)
แต่ปรากฎว่า Plane Crazy นั้นไม่เป็นที่สนใจของโรงภาพยนตร์เลย
วอลท์พยายามจะนำ Plane Crazy ไปขายตามโรงภาพยนตร์ แต่ก็ไม่มีโรงภาพยนตร์ไหนสนใจจะซื้อเลย
วอลท์จึงมานั่งคิดว่าทำยังไง การ์ตูนของตนจึงจะน่าสนใจ ซึ่งวอลท์ก็ปิ๊งขึ้นมาได้ นั่นคือการใส่ “เสียง”
ในเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่วงการภาพยนตร์กำลังเปลี่ยนจากภาพยนตร์เงียบเป็นภาพยนตร์เสียง โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีเสียงพูด ได้ออกฉายในปีค.ศ.1927 (พ.ศ.2470) นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง “The Jazz Singer”
The Jazz Singer
แต่ยังไม่เคยมีการฉายการ์ตูนที่มีเสียงมาก่อน หากวอลท์สร้างการ์ตูนที่มีเสียง ต้องเป็นที่ฮือฮาแน่นอน
ภาพยนตร์การ์ตูนมิกกี้ เม้าส์ตอนต่อๆ มาอย่าง “Steamboat Willie” ได้มีการใส่เสียงมิกกี้ผิวปาก และใส่ดนตรีประกอบ
ในไม่ช้า โรงภาพยนตร์ในนิวยอร์กก็ได้ฉายการ์ตูนมิกกี้ และปรากฎว่าผู้ชมชอบมาก โรงภาพยนตร์อื่นๆ จึงขอซื้อการ์ตูนมิกกี้ เม้าส์ไปฉาย
ในที่สุด มิกกี้ เม้าส์ก็แจ้งเกิดได้สำเร็จ
Plane Crazy
Steamboat Willie
ในช่วงเวลานี้ ได้มีเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจและจุดประกายแนวคิดให้วอลท์
โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย ได้เชิญเด็กๆ มานั่งชมการ์ตูนมิกกี้ เม้าส์หลายๆ ตอน และเด็กๆ ที่มาดูก็ได้เป็นสมาชิกชมรมที่ชื่อ “Mickey Mouse Club”
ชมรมนี้มีทั้งการแข่งขันกินพาย แข่งขันดีดลูกแก้วและกิจกรรมต่างๆ
เมื่อวอลท์ได้ยินข่าวเรื่อง Mickey Mouse Club เขาก็ได้เดินทางมาดูชมรมนี้ และก็ได้เห็นว่าเด็กๆ ชื่นชอบมิกกี้ เม้าส์มากจริงๆ
วอลท์สั่งให้ตั้งชมรมอย่างนี้เพิ่มขึ้นอีกในเมืองต่างๆ ซึ่งยิ่งทำให้มิกกี้ เม้าส์โด่งดังขึ้นไปอีก
ในไม่ช้า การ์ตูนมิกกี้ เม้าส์ก็ได้ลงหนังสือพิมพ์ วางจำหน่ายทั่วประเทศ ทำให้เด็กๆ ยิ่งชื่นชอบมิกกี้ เม้าส์ และซื้อของที่ระลึกที่เกี่ยวกับมิกกี้ เม้าส์
ความฝันที่จะสร้างการ์ตูนที่โด่งดังของวอลท์สำเร็จแล้ว
ในช่วงเวลาที่วอลท์กำลังรุ่งอย่างสุดขีดนี้เอง ผู้จัดจำหน่ายเจ้าเล่ห์ที่หวังผลประโยชน์ ก็ต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์จากมิกกี้ เม้าส์
วอลท์นั้นเคยเสียออสวอลด์ไปแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก รอยจึงได้ทำสัญญา ระบุว่าบริษัทดิสนีย์จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิมิกกี้ เม้าส์
แต่ถึงจะเป็นเจ้าของมิกกี้ เม้าส์ แต่ผู้จัดจำหน่ายก็สามารถซื้อตัวอับ ไอเวิร์คส์ ไปจากวอลท์ได้
อับและวอลท์
อย่างที่ทุกคนทราบ อับนั้นอยู่กับวอลท์มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่วันที่วอลท์ ไม่มีอะไรเลย
แล้วทำไมอับถึงไปจากวอลท์ล่ะ?
อับนั้นมีปัญหากับวอลท์มานานแล้ว โดยอับนั้นกล่าวว่าวอลท์นั้นมักจะบ่นงานที่อับทำ และอับยังบอกว่าวอลท์นั้นวาดมิกกี้ เม้าส์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งขอให้วอลท์ช่วยวาดรูปมิกกี้ เม้าส์ และเซ็นลายเซ็น วอลท์จึงขอให้อับวาดมิกกี้ เม้าส์ และตนจะเป็นคนเซ็นลายเซ็น
เท่านั้นล่ะ อับก็หมดความอดทน เดินออกไปทันที
การสูญเสียอับทำให้วอลท์รู้สึกเจ็บ แต่เขาก็จ้างทีมงานใหม่เข้ามา และทีมงานใหม่นี้ก็เข้าใจแล้วว่า ถึงแม้ว่าวอลท์จะไม่ใช่คนวาดการ์ตูน แต่เขาก็สำคัญที่สุด เขาเป็นคนเลือกเรื่องที่จะเอามาทำ วางโครงเรื่อง และเป็นคนตัดสินใจในทุกขั้นตอน
ในต้นยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) Walt Disney Studios ได้ผลิตการ์ตูนสั้นออกมามากมายหลายเรื่อง และได้เริ่มผลิตการ์ตูนสี และถึงแม้ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ หากแต่บริษัทของวอลท์ก็ยังคงอยู่ได้
ทุกคนในบริษัทของวอลท์ทำงานหนัก แต่คนที่ทำงานหนักที่สุดคือวอลท์ เขาทำงานอย่างหนัก และเขาก็เครียดเรื่องไม่มีลูกและมีอาการซึมเศร้า
แต่ในที่สุด ลิลเลียนก็ท้อง และให้กำเนิดลูกสาวที่ชื่อ “ไดแอน มารี ดิสนีย์ (Diane Marie Disney)” ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ.1933 (พ.ศ.2476)
ไดแอน มารี ดิสนีย์ (Diane Marie Disney)
ต่อมา ค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) ครอบครัวดิสนีย์ได้รับอุปการะเด็กหญิงอีกคน ชื่อ “ชารอน เม ดิสนีย์ (Sharon Mae Disney)”
ชารอน เม ดิสนีย์ (Sharon Mae Disney)
วอลท์นั้นรักและทุ่มเทกับลูกและลูกเลี้ยง เขามักจะเล่านิทานให้ลูกฟัง และถ่ายวีดีโอลูกๆ เก็บไว้
วอลท์นั้นมักจะคิดต่างจากคนอื่น และพยายามหาทางทำให้การ์ตูนของตนนั้นแตกต่าง ซึ่งที่ผ่านมา เขาก็สร้างการ์ตูนที่มีทั้งภาพและสีได้แล้ว
เขาต้องทำอะไรที่แตกต่าง
ในปีค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) วอลท์ตัดสินใจจะสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว
ในสมัยนั้น การ์ตูนมักจะเป็นการ์ตูนสั้น ฉายก่อนภาพยนตร์เรื่องยาว แต่วอลท์ก็คิดว่าในเมื่อเด็กๆ สามารถนั่งดูการ์ตูนมิกกี้ เม้าส์หลายตอนเป็นชั่วโมงๆ ได้
ทำไมจะดูภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวไม่ได้ล่ะ?
การ์ตูนเรื่องยาวนี้จะอาศัยแค่มุกตลกไม่ได้ ต้องมีโครงเรื่องที่ดี ดึงดูดใจ และวอลท์ก็ตัดสินใจจะสร้างการ์ตูนจากนิทานเรื่อง “สโนไวท์ (Snow White)”
สโนไวท์ (Snow White)
วอลท์ใช้เวลาในการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้เป็นเวลานับปี ใช้ภาพวาดไปกว่า 250,000 ภาพ โดยภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้มีความยาว 83 นาที
ศิลปินของดิสนีย์ใช้เวลาในการผลิตสโนไวท์กว่าสามปี โดยคนที่ต้องรับงานหนักที่สุดก็คือรอย
รอยไม่ได้เป็นคนวาดภาพ แต่เขามีหน้าที่สำคัญ คือต้องหาเงินมาใช้ในการสร้างสโนไวท์ โดยบริษัทของวอลท์ได้กู้ยืมเงินมาสร้างสโนไวท์ไปแล้วกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 45 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่าการ์ตูนเรื่องใดในยุคนั้น และหลายคนก็คิดว่าต้องเจ๊งแน่
“สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs)” ได้ออกฉายในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) และก็ดังทะลุเพดาน ทำเงินไปมหาศาล และทำให้วอลท์ได้รับรางวัลออสการ์
สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White and the Seven Dwarfs)
ต่อมา บริษัทดิสนีย์ก็ได้ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวตามออกมาอีกหลายเรื่อง แต่ก็ไม่มีเรื่องใดประสบความสำเร็จเท่ากับสโนไวท์เลย
สโนไวท์สร้างผลกำไรให้บริษัทของวอลท์มาก มากซะจนวอลท์และรอยสามารถซื้อที่ดินจำนวน 130 ไร่ในเบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างสตูดิโอแห่งใหม่
ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) พนักงานดิสนีย์ได้ย้ายเข้าไปยังสตูดิโอแห่งใหม่ โดยในเวลานี้ บริษัทดิสนีย์ได้กลายเป็นบริษัทใหญ่ มีพนักงานนับร้อย มีการแยกส่วนการทำงานของพนักงานอย่างชัดเจน โดยวอลท์คาดว่าพนักงานน่าจะแฮปปี้ที่ได้ย้ายออกจากออฟฟิศเก่า ที่ทั้งแออัด ทั้งคับแคบ เข้ามาทำงานยังตึกใหม่ ทันสมัย ติดเครื่องปรับอากาศ
แต่วอลท์คิดผิด
ที่ผ่านมา พนักงานของดิสนีย์ทำงานใกล้ชิดกัน มีความสนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ในเวลานี้ แต่ละคนต่างแยกกันทำงาน การจะเข้าพบวอลท์นั้นก็ไม่ง่าย
ที่สำคัญก็คือ บริษัทเริ่มจะประสบปัญหาทางการเงินอีกครั้ง
รายได้หลักๆ ของบริษัทมาจากการขายการ์ตูนให้โรงภาพยนตร์ทั่วยุโรป แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482) ตลาดการค้าการ์ตูนของดิสนีย์ก็ต้องชะงักทันที
รอยจำเป็นต้องประหยัดงบด้วยการลดเงินเดือนพนักงาน ทำให้พนักงานโมโห และถึงแม้วอลท์จะพยายามเจรจา แต่ก็ไม่เป็นผล
29 พฤษภาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) พนักงานของบริษัทดิสนีย์นับร้อยได้ประท้วง นัดกันหยุดงาน และประท้วงอยู่ข้างนอกบริษัท
พนักงานดิสนีย์นัดประท้วง
การประท้วงกินเวลานานกว่าเก้าสัปดาห์ ซึ่งทำให้วอลท์เครียดและสุขภาพเริ่มจะทรุด
วอลท์ได้เดินทางไปอเมริกาใต้ และในช่วงที่วอลท์ไม่อยู่ รอยก็ได้หาทางทำข้อตกลงกับเหล่าพนักงาน จนในที่สุด การประท้วงก็ได้จบลง
แต่การประท้วงนี้ก็ได้ทำให้วอลท์เปลี่ยนไป เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าพนักงานจะพอใจกับชีวิตการทำงาน หรือจะคิดยังไงอีกต่อไป
ต่อมา “ดัมโบ้ (Dumbo)” ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวอีกเรื่องของบริษัทก็ได้ออกฉายในปีค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) และก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่วอลท์คาดหวัง
ดัมโบ้ (Dumbo)
ต่อมา เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐได้เข้ายึดครองสตูดิโอ บริษัทดิสนีย์ต้องผลิตภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อด้านการทหาร ซึ่งวอลท์นั้นไม่อยากทำ
วอลท์ได้นำการ์ตูนของตนเข้ารับใช้ชาติ ให้ตัวการ์ตูนต่างๆ อยู่ในช่วงของสงคราม และวางโครงเรื่องปลุกใจประชาชน
สงครามจบลงในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ทำให้วอลท์สามารถกลับไปผลิตงานได้ตามแบบที่ตนต้องการอีกครั้ง
บริษัทดิสนีย์ได้ผลิตภาพยนตร์จริงๆ ไม่ใช่การ์ตูนออกมาหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้รับความชื่นชอบเท่ากับสโนไวท์ และตัววอลท์เองก็ไม่ได้ทุ่มพลังไปกับภาพยนตร์เหล่านี้
หลายคนคิดว่าวอลท์อาจจะเริ่มเบื่อการสร้างภาพยนตร์ แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีโครงการใหม่ๆ ที่กำลังคิดจะทำ
วอลท์นั้นมีความรักสนุกเหมือนเด็ก
เวลาที่พาลูกสาวไปเล่นม้าหมุน วอลท์จะขึ้นไปนั่งบนม้าหมุนด้วย ที่บ้านของเขาก็มีรางรถไฟของเล่นและรถไฟจำลองไว้ในสวนหลังบ้าน
วอลท์จึงเริ่มคิด
มันน่าจะดีหากจะมีสถานที่ซักแห่ง ที่ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถมาสนุกด้วยกันได้ สถานที่คล้ายสวนสนุก แต่ดีกว่า ใหญ่กว่า ต้องมีทั้งร้านขายของที่ระลึก หมู่บ้าน มีรางรถไฟ โรงหนัง
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของวอลท์
แต่รอยนั้นไม่ได้ตื่นเต้นกับไอเดียนี้เลย จะเอาเงินที่ไหนมาสร้างล่ะ?
แต่ดูเหมือนวอลท์จะมีคำตอบ
ในเวลานั้น “โทรทัศน์” ได้กลายเป็นความบันเทิงใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม
บริษัทภาพยนตร์หลายแห่งมองว่าโทรทัศน์คือศัตรู มาแย่งผู้ชม แต่วอลท์นั้นมองต่าง เขาเห็นโทรทัศน์เป็นช่องทางในการทำเงินเพื่อนำมาสร้างสวนสนุกในฝัน
สถานีโทรทัศน์ “ABC” ได้เริ่มผลิตรายการที่ฉายการ์ตูนของดิสนีย์ โดยมีวอลท์เป็นพิธีกร และในไม่ช้า วอลท์ก็โด่งดังในหมู่เด็กๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่รู้จักวอลท์
รายการฮิตอีกรายการหนึ่งคือ “The Mickey Mouse Club” ซึ่งโด่งดังมาก และยังมีการสร้างซีรีส์เรื่องดังอย่าง “Davy Crockett” ออกมา และก็โด่งดังอย่างมาก เป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ
Davy Crockett
บริษัทดิสนีย์ทำเงินจากโทรทัศน์ได้มากมาย ทำให้วอลท์มีทุนในการสร้างโครงการ “ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)”
ดิสนีย์แลนด์ เปิดให้บริการวันแรกในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1955 (พ.ศ.2498) ที่แอนาไฮม์ แคลิฟอร์เนีย
ดิสนีย์แลนด์นั้นโด่งดังในทันที ผู้คนทั่วโลกต่างเดินทางมาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ โดยวอลท์นั้นมักจะปลอมตัว มาทักทายเด็กๆ ที่มาเที่ยว
ประชาชนที่มาในงานปฐมฤกษ์ดิสนีย์แลนด์
เมื่อประสบความสำเร็จจากดิสนีย์แลนด์ วอลท์ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เขายังคงมีโครงการใหม่ๆ ที่ต้องการจะทำอีกมาก
วอลท์คิดจะทำสวนสนุกอีก หากแต่วอลท์เริ่มล้มป่วย และแพทย์ก็ได้ตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งปอด
แม้แต่เวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล วอลท์ก็ยังไม่หยุดคิด
ในเวลาที่รอยมาเยี่ยมเขาในโรงพยาบาล วอลท์จะจ้องเพดาน และเอามือชี้ ทำไม้ทำมือ บอกให้รอยฟังถึงสวนสนุกแห่งใหม่ที่คิดจะทำ ซึ่งมีชื่อว่า “เอ็พค็อต (Epcot)”
15 ธันวาคม ค.ศ.1966 (พ.ศ.2509) วอลท์เสียชีวิต
ภาพตัวการ์ตูนดิสนีย์ที่กำลังเสียใจต่อการจากไปของวอลท์
วอลท์ไม่ได้อยู่นานพอที่จะเห็นดิสนีย์แลนด์แห่งใหม่ หากแต่รอยก็ได้สานต่องานสร้างสวนสนุกของวอลท์
วอลท์นั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว หากแต่ทุกวันนี้ บริษัทของเขายังอยู่ อยู่ให้ความบันเทิงแก่ผู้คนทั่วโลก
ทุกวันนี้ หากชมภาพยนตร์ของดิสนีย์ คุณอาจจะทราบแล้วว่า นอกเหนือจากความบันเทิงแล้ว บริษัทที่ผลิตภาพยนตร์ที่คุณกำลังชม เป็นบริษัทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลานาน ผ่านหยาดเหงื่อ หยาดน้ำตา และเรื่องราวที่เข้มข้นไม่ต่างจากภาพยนตร์ที่กำลังชม
และทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นได้โดยชายผู้เดียว
ชายผู้นั้นคือ “วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)”
โฆษณา