27 ก.ย. 2020 เวลา 11:36 • การศึกษา
ทำไม..คนมีความแตกต่างกัน...????
#สุภมาณพ #โตเทยยบุตร
เรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่ม ซึ่ง มีความสงสัยว่า ทำไมคนเราถึงเกิดมามีความแตกต่างกัน บางคนเกิดมามีอาการ ครบ ๓๒ ประการ ...บางคนเป็นคนพิกลพิการร่างกายไม่สมประกอบ... บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ..บางคนมีปัญญาทราม ..ไม่เฉลียวฉลาด ...บางคนร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และบริวาร ในขณะที่อีกหลายคนไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่ใจปรารถนาอยากจะรวย อยากมีความสุขความสำเร็จสมหวังเหมือนกันทุกคน จึงได้ไปกราบเรียนถามกับพระพุทธ
เจ้า เรื่องราวเป็นอย่างไร เชิญติดตามกันได้เลยจ้า.....
สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวัน มหาวิหาร มีมาณพหนุ่มชื่อ สุภมาณพ โตเทยยบุตร เป็นชายหนุ่ม ที่เฉลียวฉลาด มีปัญญาหลักแหลม แต่ในใจของเขา มีปัญหา ที่ครุ่นคิดและสงสัยมานาน เขาเที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์ เพื่อแก้ข้อข้องใจ แต่ก็ยังไม่พบอาจารย์ที่สามารถจะแก้ปัญหาของเขาได้ เมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดาว่า พระพุทธองค์เป็นศาสดาเอกของโลก สามารถตอบปัญหาของสมณพราหมณ์ทุกหมู่เหล่าได้ จึงรีบเดินทางไปเฝ้าเพื่อทูลถามปัญหาว่า
5
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ทั้งหลายมีความแตกต่างกัน บางคนมีอายุสั้น บางคนมีอายุยืน บางคนมีโรคมาก บางคนมีโรคน้อย บางคนมีผิวพรรณหยาบกร้านไม่น่าดู ไม่น่าชม บางคนมีผิวพรรณดี ละเอียดอ่อนนุ่มนวล น่าดูน่าชม บางพวกมีศักดิ์น้อย บางพวกมีศักดิ์ใหญ่ บางพวกยากจนเข็ญใจ บางพวกอุดมสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์สมบัติ บางพวกเกิดในตระกูลต่ำ บางพวกเกิดในตระกูลสูง บางพวกมีปัญญาทรามไม่เฉลียวฉลาด บางพวกมีปัญญาหลักแหลมเฉลียวฉลาด ความแตกต่างกันเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ อะไรหนอเป็นเหตุให้เป็นอย่างนั้น"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับปัญหาของสุภมาณพ จึงมีพระดำรัสตอบคำถามด้วยพระมหากรุณาว่า....
 
"ดูก่อนมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษ หากเป็นคนเหี้ยมโหดมีมือเปื้อนเลือดชอบฆ่าสัตว์ ใจติดอยู่แต่เรื่องเบียดเบียนรบราฆ่าฟัน ไม่มีเมตตากรุณาต่อกัน เมื่อเขาตายไป ก็ต้องตกไปยังอบายภูมิ เพราะกรรมที่ทำเช่นนั้น ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดในที่แห่งหนตำบลใด เขาก็จะเป็นคนมีอายุสั้น
ส่วนใครก็ตาม จะเป็นหญิงหรือชาย ไม่เบียดเบียนสัตว์ ... ไม่ฆ่าสัตว์ ... เว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้วางศาสตราในสัตว์ ทั้งหลาย มีความละอาย เอ็นดู อนุเคราะห์เกื้อกูลในสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป จะไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน
ใครก็ตามในโลกนี้ เมื่อเห็นผู้อื่นได้ลาภสักการะ ..ได้ความเคารพนับถือ กราบไหว้ และการบูชา เป็นคนมีใจไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ในใจมีแต่ความชื่นชมอนุโมทนาปรารถนาดี เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะเป็นเหตุให้เป็นคนมีศักดามาก ใครเห็นก็ให้ความเคารพเกรงใจ ให้เกียรติ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม
คนบางคนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษ หากมีนิสัยไม่ชอบให้ทาน เช่น ไม่ให้ข้าว น้ำ ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นั่งที่นอน ที่อยู่อาศัย สิ่งที่ควรแก่สมณบริโภค ครั้นเขาตายไปจักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หากมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนที่มีโภคะน้อย มีความเป็นอยู่ที่อัตคัดขัดสน
ส่วนใครชอบให้ทานแก่สมณพราหมณ์เป็นประจำ ไม่ตระหนี่หวงแหนทรัพย์ เห็นสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อโลก ต่อผู้ทรงศีลผู้มีกัลยาณศีลกัลยาณธรรม ได้ถวายปัจจัยตามสมควรแก่สมณะ เพื่ออนุเคราะห์ต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม เมื่อละโลกแล้วเขาจะไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นคนที่มีโภคะมาก เป็นมหาเศรษฐี ผู้สมบูรณ์ ด้วยทรัพย์สมบัติ"
ข้อคิดที่ได้ คือ การให้ เป็นทางมาแห่งสมบัติมหาศาล ถ้าอยากจะรวยก็ต้องให้ทาน หลักมีอยู่อย่างนี้ หวงคือไล่ ให้คือเรียก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่ว จะมีผลมาถึงตัวเราอย่างแน่นอน เหมือนปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา จากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสต่ออีกว่า
"ใครก็ตามในโลกนี้ จะเป็นสตรีหรือบุรุษ หากเป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่งจองหอง ไม่กราบไหว้ ไม่ลุกรับ ไม่ให้อาสนะ ไม่ให้ทาง ไม่ให้เครื่องสักการะ ไม่เคารพบูชา ต่อผู้ที่ควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้ ครั้นเขาตายไปแล้วจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะเกิดในตระกูลต่ำ
ใครก็ตามไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง รู้จักกราบไหว้บูชา นับถือคนที่ควรกราบไหว้บูชา ละโลกนี้ไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นผู้ที่ เกิดในตระกูลสูง มีแต่คน กราบไหว้เคารพบูชา
ใครก็ตามที่ไม่ชอบฟังธรรม ไม่เข้าไปหาสมณพราหมณ์ แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรที่เมื่อทำลงไปแล้วเป็นประโยชน์สุขตลอดกาลนาน ถ้าไม่เข้าไปถามอย่างนี้ก็ไม่เกิดปัญญารู้ผิดชอบชั่วดี จึงเผลอไปทำอกุศลกรรม ตายไปก็ตกไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนมีปัญญาทรามไม่เฉลียวฉลาด
แต่ถ้าใครหมั่นสอบถามปัญหากับผู้รู้ แล้วตั้งใจสั่งสมแต่กรรมดี ก็จะไปสู่สุคติภูมิ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนที่มีปัญญาหลักแหลม"
เมื่อตรัสเช่นนี้จบแล้ว พระองค์ยังตรัสสรุปอีกว่า "คนที่ปฏิบัติเช่นไรจะได้รับผลเช่นนั้น ชีวิตจะดีหรือไม่ดี จะประณีตหรือเลวทราม ด้วยการกระทำของตนเท่านั้น"
สุภมาณพฟังแล้วเกิดดวงปัญญาสว่างไสว หัวใจเอ่อล้นด้วยมหาปีติ ความสงสัยที่เป็นเหมือนเมฆหมอกอันมืดมิดที่ปิดบังดวงปัญญาในจิตใจ ก็ถูกแสงสว่างแห่งธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขจัดความไม่รู้ให้หมดไป ทำให้ความสงสัยที่มีมานานนั้น มลายหายสูญไปในพริบตา เหมือนหยาดน้ำค้างบนใบไม้ที่ต้องแสงอาทิตย์ฉะนั้น จึงกราบทูลด้วยความเลื่อมใสว่า....
"แจ่มแจ้งแล้วพระเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศพระธรรมได้ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย เหมือนหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ตามประทีปในที่มืด ขอพระองค์โปรดจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยไปตลอดชีวิต"
สรุปว่า ...ทุกชีวิตย่อมมีสิทธิ์เลือกว่า จะวางชีวิตของเราไว้ตรงจุดไหน จุดแห่งแสงสว่าง หรือจุดที่มืดบอด จุดแห่งบุญบารมี หรือจุดแห่งบาปอกุศล นักสร้างบารมีที่ดีต้องมีใจมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งการสร้างบารมี ตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมในจุดแห่งบุญบารมีเท่านั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราต้องเอา ชนะบาปอกุศลทั้งหลายให้ได้ ให้มีแต่บุญบารมีล้วน ๆ เพื่อชีวิตที่ดีตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
คัดบางตอนมาจากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๒ หน้า ๗๙ - ๘๖
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
จูฬกัมมวิภังคสูตร เล่ม ๒๓ หน้า ๒๕๑
โฆษณา