Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ปันสุข-ภูมิปัญญาสุขภาพไทย
•
ติดตาม
27 ก.ย. 2020 เวลา 00:27 • สุขภาพ
#กรดไหลย้อนหลังคลอด....
#ร้อยเรื่องเล่าจากหมอแผนไทย
#ถอดบทเรียนปัญญาปฏิบัติ
=======================
🏵️ขอบคุณ คำถาม Inbox....กรดไหลย้อน...ร่างกายแปรปรวนอย่างหนัก...หลังคลอดลูกไม่ได้อยู่ไฟ... จะทำอย่างไรดี.
ขอบคุณ อีกครั้งที่เล่าอาการโดยละเอียด น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายๆ กัน
🏵️ตอบยาวมากนะ....เพราะว่าร่างกายเสียหายหลายส่วน...
🍀"เป็นกรดไหลย้อนมา ๓ ปี ก่อนหน้านี้เคยเป็นโรคกระเพาะบ่อยๆ แสบร้อนในท้องตลอดเวลา... กินอะไรลงไปจะเรอ และรู้สึกโล่งสักพัก ไม่นานจะรู้สึกว่ามีอะไรมาจุกที่คอ กลืนน้ำลายไม่ลงแน่นขึ้นไปที่หัว
-อาการเป็นอย่างนี้ทุกเวลา ไม่ถ่ายไม่ผายลม
มักจะเรอบ่อยเรอขึ้นหัว เท้าชามือชาหนักในหัวตลอดเวลา
-ตอนนอนก็กลืนนําลายไม่ลง ตื่นเช้าก็รึสึกจะเรอ พอกดท้องปุ๊บก็เรอปั้ปแต่อาหารเหมือนไม่ย่อย เสียงในท้องดังครืดคราด ท้องอืดขึ้นมาเหมือนเดิม
-แน่นในกระเพาะอยู่ตลอดเวลา ด้านขวาล่างจะมีเสียงเหมือนน้ำเดือดๆ ตลอดต้องสวนล้างลำไส้ตลอด เพราะตลอดอาทิตย์ไม่ขั่บถ่าย ผิวแห้งร้อน และรู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง ไม่เต็มปอด
-แต่หลังจากหลังคลอดลูกแล้วเป็นปกติดี หลังคลอดงดแสลงมา ๒๐ วัน หลังจากนั้นก็ดื่มนำเย็นบ่อยๆ ชอบดื่มชาเขียว กินจุกจิก เริ่มไม่สบายเป็นไข้ไอหนักด้วย ต่อมารู้สึกแปลกๆ เริ่มเรอบ่อย ยังไม่รู้ตัว อีกหลังจากลูกได้ ๒ เดือน จุกคอกินยาไม่หาย ไปโรงบาลทุกวัน คิดมากนอนไม่หลับจนมาถึงลูก ๑๑ เดือน ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้...🍀
🌳🌳🌳
๑. อาการที่เล่ามาดังกล่่าวข้างต้น ในทางการแพทย์แผนไทย ถือเป็นกลุ่มอาการที่เรียกว่า "ตกสันนิบาต" แปลคือ พลังที่ขับเคลื่อนร่างกายทั้ง ๓ ส่วน อันประกอบด้วย >ปิตตะ (พลังงานความร้อน) >วาตะ (พลังงานลมในการไหลเวียน เคลื่อนไหว) >เสมหะ (พลังงานสารเหลว เลือด ต่างๆ) เสียหายร่วมกัน หรือเสียสมดุลทั้งระบบ จนพิการ (สูญเสียหน้าที่ไป ทำหน้าที่ไม่ได้) ทำให้กระทบไปในหลายระบบมาก จนอาการมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะปล่อยให้เป็นมานานเรื้อรังและมีพฤติกรรมการกิน การนอน การใช้ชีวิต ที่ทำให้ความรุนแรงของโรคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
๒. อาการเป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ในทางการแพทย์แผนไทย คือ ท้องอืด เฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว เพราะไฟย่อยอาหาร (ปรินามัคคี) พิการ (ทำงานไม่ได้ สูญเสียหน้าที่ไป) ทำให้การย่อยอาหารเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ หรือย่อยไม่หมด ก็จะเกิดตกค้างบูดเน่า ในกระเพาะลำไส้ นานวันเข้า ก็เกิดลมร้อนๆ ลอยขึ้นไปข้างบน ทำให้รู้สึกมีอะไรจุกที่คอตลอดเวลา และเมื่อมีลมร้อนมากๆ ก็จะลอยขึ้นไปคั่งที่คอ อก บ่า ไหล่ หัว ทำให้หนักหัว หัวร้อน ปวดหัว ไอ มีเสมหะอยู่ตลอดเวลา ยิ่งประกอบกับการขับถ่ายไม่ได้ ร่างกายก็จะดูดน้ำจากอุจจาระตกค้างกลับไปไหลเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ยิ่งเกิดภาวะเลือดลมมีของเสียหนักเพิ่มขึ้นอีกมาก
๓. สาเหตุสำคัญ มาจากพฤติกรรมการกินอาหารและการใช้ชีวิตเป็นหลัก เช่่นกินอาหารไม่เป็นเวลา กินอาหารเกินกำลังธาตุบ่อยๆ ดื่มน้ำเย็น น้ำสารพัดสีเย็นๆ อยู่เป็นนิจ ทำงานหนัก นั่งนิ่งเนิ่นนาน เครียด พักผ่อนน้อย ไม่กินผักผลไม้ที่มีกากใย ดื่มน้ำเปล่าสะอาดที่มีอุณหภูมิปกติน้อยกว่าวันละ 2-2.5 ลิตร ขับถ่ายไม่ได้ ประกอบกับช่วงตั้งท้อง อวัยวะน้อยใหญ่ ลำไส้ เส้นเอ็น พังผืด กล้ามเนื้อ ทุกส่วน ล้วนเคลื่อนย้ายออกจากที่เดิม เพื่อขยายให้ชีวิตใหม่ได้มีพื้นที่อาศัยในท้องแม่ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่นำมาซึ่งความเจ็บป่วยดังกล่าวทั้งสิ้น
๔.หลังคลอดแล้วมีอาการดีขึ้นระยะหนึ่งเพราะ เมื่อตั้งท้องและหลังคลอดลูก ในทางการแพทย์แผนไทยเชื่อว่า อวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายมีการเคลื่อนย้าย เส้นเอ็น พังผืด กล้ามเนื้อ จึงขยับขยายออกได้บ้าง รวมทั้งเด็กน้อยก็ถูกคลอดออกมาแล้ว การกดทับอวัยวะต่างๆ ในช่องท้องก็ลดลง ทำให้การไหลเวียนต่างๆ ดีขึ้นมาได้บ้าง
๕. กลับมามีอาการหนักขึ้นหลังคลอดได้ ๒ เดือน เพราะ เริ่มกลับมามีพฤติกรรมก่อโรคซ้ำๆ เดิมๆ อีกครั้ง และที่หนักหนาขึ้นคือ การคลอดลูกแล้วไม่ได้อยู่ไฟ หรือไม่ทานน้ำร้อน (อุ่นจัด) ต่อเนื่อง กินน้ำเย็น ของเย็นๆ มาตลอด ทำให้ กระบวนการขับน้ำคาวปลา และเลือดจากการคลอดลูกเกิดขึ้นได้ไม่ดี เกิดเป็นเลือดตกหมกช้ำอยู่ภายใน ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดลมไม่ดี ไหลไปหล่อเลี้ยงส่วนปลายมือปลายเท้าไม่ได้ เกิดอาการ มือเท้าเป็นเหน็บชา แต่ตัวจะร้อนและผิวแห้งอยู่ตลอดเวลา เพราะ เลือดลมร้อนๆ คั่งอยู่ในตัว ระบายออกภายนอกไม่ได้
๖.ภาพทั้งหมดความเจ็บป่วยเสียสมดุลร่างกายดังที่กล่าวมา สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือ ให้เวลากับการปรับพฤติกรรมตนเอง และทำแบบต่อเนื่อง ไม่เคร่งเครียด ทำพอที่ร่างกายปรับแล้วสบายขึ้น เพราะสาเหตุหลักๆ มาจากพฤติกรรมที่เราสร้างเอง โดย
๖.๑ ตื่นนอนขึ้นมา นอนชันเข่า นวดคลึงท้องตัวเองเบาๆ สัก ๕ นาที เพื่อช่วยให้ลำไส้ขยับตัวได้ดี และทำงานได้มากขึ้น ไล่ลมที่คั่งค้างในช่องท้องให้เคลื่อนไหวได้ (สืบค้นท่านวด ได้ในเพจ) และช่วงเย็นก่อนนอน ควรคลึงประคบท้องด้วยกระเป๋าน้ำร้อนห่อผ้าให้ทั่วๆ ท้อง จะช่วยให้อาการดีเร็วขึ้น
๖.๒ หลังจากคลึงท้องแล้ว ต้มน้ำขิงเจือจาง ใส่ ผงกล้วยดิบ ๑/๒ ช้อนชา ดื่มขณะอุ่นๆ (ผงกล้วยดิบ นำกล้วยดิบมาปอกเปลือกฝานบางๆ ตากแห้งแล้วบดให้เป็นผงกล้วยเก็บไว้ใช้ได้หลายวัน) สาเหตุที่ต้องใช้น้ำขิง และกล้วยดิบ เพราะ กล้วยดิบจะช่วยในส่วนการสมานแผลในกระเพาะ ขิงจะช่วยขับลม ให้ไม่ท้องอืด และฟื้นฟูไฟย่อยอาหาร
๖.๓ อาหารในช่วง ๓ วันแรก ควรทานน้ำต้มข้าวใส่ขิง และอาหารอ่อนๆ ร่วมกับผักบุ้งต้มให้สุก เท่าที่จะทานได้และไม่อึดอัด ทุกมื้อ เพื่อให้ระบบย่อยทำงานน้อยๆ มีเวลาฟื้นฟูตัวเอง เหมือนฝึกเด็กหัดเดินใหม่ และ ควรทานอาหารที่ปรุงออกรสเปรี้ยวที่มีความหวานเจือบ้างเล็กน้อย (เช่น น้ำมะขามเปียก) เพื่อช่วยในการขับถาย และงดน้ำเย็น น้ำสารพัดสี อาหาร หวาน มัน เค็ม เผ็ดจัด งดอาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ อาหารย่อยยากลงให้มากที่สุด และหลังทานอาหารแล้วอย่าดื่มน้ำตามทันที เพราะจะทำให้ไฟย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ทิ้งไว้ สัก ๒๐ นาทีค่อยดื่มน้ำ หากไม่ไหว ให้จิบๆ ทีละนิดพอไม่กระหาย
๖.๔ การดื่มน้ำ เปล่าไม่เย็นให้ได้วันละ ๒-๒.๕ ลิตรต่อวัน แบบทยอยดื่ม ทีละน้อย เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะจะทำให้การไหลเวียนเกิดขึ้นได้ดี และทำให้อุจจาระไม่หนืดแข็ง ลำไส้ไม่แห้ง ช่วยลดความร้อนในร่างกายลง และแนะนำให้ต้มน้ำตะไคร้ ใส่ใบเตยดื่มแทนน้ำ สัปดาห์ละ ๒ วัน (ตะไคร้ ๓ ต้น ใบเตย ๕-๗ ใบ) ใส่น้ำ ๒ ลิตร ต้มนาน ๕ นาที (ปิดฝาหม้อ) ทิ้งให้เย็นกรองเอาแต่น้ำดื่ม เพื่อขับลม และลดความร้อนในร่างกายลง
๖.๕ การขับถ่าย ควรฝึกขับถ่ายเอง การสวนล้างลำไส้บ่อยๆ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวได้น้อยลง และจะทำให้ขับถ่ายด้วยตนเองไม่ได้ระยะยาว สูตรที่ใช้ได้ดี คือ น้ำต้มขิง หรือน้ำต้มข่ากับ มะขามเปียก อย่างละ ๑ ขีด ต้มดื่มก่อนนอน ๑ แก้วใหญ่ และฝึกการเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาได้ (หากสามารถหาตรีผลาได้ ใช้สูตร มะขามป้อม ๓ ขีด สมอพิเภก ๒ ขีด และสมอไทย ๑ ขีด ต้มใส่น้ำ ๓ ลิตร ไฟกลางเดือด นาน ๒๐ นาที แล้วกรองเอาน้ำเก็บไว้ดื่ม เป็นสูตรใช้ระบายของเสียและลดความร้อนจากร่างกายได้ดี
๖.๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนในร่างกาย และขับเลือดเสีย ของเสียออกจากร่างกาย ให้อบสมุนไพร โดยใช้ ขิง ข่า ตะไคร้ ไพล ขมิ้น มะกรูด มะขามเปียก เกลือ (เท่าที่หาได้) อบสัปดาห์ละ 2 วัน ครั้งละ 10-15 นาที พอที่สบายตัว เพื่อขับเลือดลมเพิ่มเติม (วิธีการทำกระโจมอบสมุนไพร สืบค้นดูได้จากเพจ)
๖.๗ ยืดเหยียดร่างกายทุกส่วน และฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ เพื่อช่วยให้พลังชีวิตไหลเวียนไปได้ทุกส่วน จะฟื้นฟูร่างกายได้ดียิ่งขึ้น (สืบค้นวิธีการยืดเหยียดได้ในเพจ)
๖.๘ สังเกตร่างกายตนเอง หลังจากปรับพฤติกรรม สิ่งที่ควรจะเป็นคือ อาการจุกคอลดลง การย่อยอาหารดีขึ้น ตัวร้อนผิวแห้งลดลง ขับถ่ายได้ ปวดหัวลดลง หลับได้ดีขึ้น
#กรดไหลย้อน หลังคลอด
#ปันสุข By หมอ ปรางค์
หมอเวชกรรมแผนไทย, หมอผดุงครรภ์ไทย
#ปันสุข-ภูมิปัญญาสุขภาพไทย
#แก๊งค์ปันสุข
ขอบคุณภาพจาก Internet
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย