27 ก.ย. 2020 เวลา 14:00 • นิยาย เรื่องสั้น
[ เรื่องเล่าชมรมศิลป์ SPECIAL ]
Ep.1 : Another World with You - อีกโลกหนึ่ง กับใครอีกคนหนึ่ง
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องนอนชั้นสองที่เปิดม่านเอาไว้ครึ่งหนึ่ง บ่งบอกถึงความลังเลในการต้อนรับเช้าวันใหม่ แน่นอนว่าวันหยุดแบบนี้ สิ่งที่ผมอยากจะทำมากที่สุดคือการนอนตื่นสายแบบไม่อายตะวัน
แต่แล้วความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัว ก็กระตุกให้หนังตาเบิกกว้างแบบไม่ทันตั้งตัว
[ ถ้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็แปลว่าครั้งสุดท้ายที่เจอบ๊อบคือ…เมื่อสองวันก่อน ]
ผมพุ่งตัวลงบันไดพร้อมกับภาวนาในใจว่าขออย่าให้เจอภาพสยองขวัญที่คิดเอาไว้เลย
M.C. Esher, Another World (1947)
แทงก์น้ำขนาดใหญ่ที่ประดับพื้นด้านล่างด้วยหินและพืชน้ำเลียนแบบธรรมชาติ รวมถึงของตกแต่งทั้งหลายที่ดูเผิน ๆ ราวกับเขาวงกต ยังคงดูสวยงามด้วยแสงไฟจากโคม LED
สิ่งหนึ่งที่หายไปคือ บ๊อบ เจ้าปลาทองฮอลันดายักษ์สัตว์เลี้ยงหัวแก้วหัวแหวนของพ่อ
ขณะที่ผมกำลังใจแป้ว ในสมองจินตนาการไปถึงงานศพของบ๊อบ จู่ ๆ ปลายหางสีส้มเหลือบขาวของมันก็โผล่ขึ้นมาจากหอคอยจำลอง ให้ผมได้ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ผมเคยถามว่าทำไมพ่อต้องเอาของแปลก ๆ มาใส่ในตู้ปลา แต่พ่อก็แค่ขยิบตาแล้วบอกว่า
“มันก็ช่วยตั้งคำถามให้เราได้คิดดีไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆๆ อีกอย่างบ๊อบมันจะได้ไม่เหงาไง ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีความฝันที่จะขึ้นไปแหวกว่ายชมวิวบนที่สูงเหมือนนกบ้างก็ได้นะ”
อาชีพนักจิตวิทยาของพ่อ และการเป็นนักวาดภาพประกอบของแม่ ทำให้บ้านของเราเหมือนแกลอรี่ขนาดย่อม ๆ ไม่แปลกที่พวกท่านจะตั้งชื่อผมว่า ‘อาร์ต’ ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ โดยไม่ถามก่อนสักคำว่าผมชอบศิลปะรึเปล่า แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมโตมาในแนวทางนี้ แถมยังรั้งตำแหน่งหัวหน้าชมรมศิลป์มาตลอดชีวิตการเรียนจนมาถึงปัจจุบัน
“โทษทีนะเพื่อน”
ผมพึมพำขณะที่เทอาหารเม็ดให้ปลาทองยักษ์ที่ว่ายมาอย่างหิวโหย ปากกลม ๆ ของมันขยับไม่หยุดราวกับกำลังพร่ำบ่นซ้ำซาก [ บ๊อบ ๆ ๆ ๆ ๆ ] คงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเราถึงตั้งชื่อมันว่าบ๊อบ
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมเหลือบไปดูเงาตัวเองในกระจกแบบลวก ๆ สางนิ้วสองสามทีผ่านเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้พอดูได้ก่อนจะออกไปหน้าประตู
ที่ยืนอยู่ข้างรั้วคือคุณน้าบ้านตรงข้ามที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง
“สวัสดีครับคุณน้า” ผมยกมือไหว้แบบงง ๆ ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มใจดีพร้อมยื่นกล่องทัพเพอร์แวร์มาให้
“หวัดดีจ้ะอาร์ต เห็นว่าอาทิตย์นี้อยู่บ้านคนเดียว น้าเลยทำอาหารเช้ามาเผื่อ”
กลิ่นหอมที่โชยออกมาจาง ๆ ปลุกให้น้ำย่อยในท้องของผมเริ่มทำงาน
“ข้าวต้มปลาเก๋าน่ะ……อ้าว ไม่ชอบเหรอจ๊ะ”
สีหน้าแปลก ๆ และมือที่หยุดชะงักของผมคงชวนให้เธอสงสัย ผมรีบปฎิเสธพร้อมเล่าเหตุการณ์เกือบโศกนาฎกรรมของบ๊อบ เพื่อไม่ให้เธอเข้าใจผิด
“แบบนี้นี่เอง แหม โหมงานหนักจนลืมวันลืมคืนเหมือนลูกสาวน้าเลยนะ” เสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กเข้ามาแทนที่
“พ่อกับแม่เขาบอกน้าอยู่เหมือนกันว่าเสียดายที่วีคนี้อาร์ตติดงานเลยไม่ได้ไปเที่ยวสวนด้วยกัน”
“ใช่ครับ พอดีเมื่อวานมีเปิดตัวนิทรรศการใหม่ที่หอศิลป์เลยไปด้วยไม่ได้ เสียดายเหมือนกันครับ”
“เอางี้ ถ้าเย็นนี้ไม่ได้ไปไหน แวะไปกินมื้อเย็นที่บ้านน้าสิ จะได้เจอกับซายน์ด้วย ช่วงนี้มัวแต่ขลุกอยู่แต่ในห้องจะได้มีเพื่อนคุยบ้าง”
ผมยิ้มรับให้กับคำชวนที่เอื้ออารีนั้นพร้อมยกมือไหว้อีกครั้งก่อนขอตัวกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำและจัดการธุระส่วนตัว
คุณน้าและสามี สนิทสนมกับพ่อและแม่ของผมมาตั้งแต่สมัยที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าชั้นอนุบาลเช่นเดียวกับซายน์ ลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ "คู่หูจอมป่วน" คือฉายาจากความซนระดับลิงเรียกพี่ของพวกเราที่บรรดาผู้ใหญ่ตั้งให้ด้วยความเอ็นดู
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหรือความสนใจที่ค่อย ๆ ต่างกัน ทำให้ระยะห่างของเราเพิ่มขึ้นตามวัย บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเธอดูจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ผมว่าเธอก็น่ารักดีอยู่ไม่หยอก
หลังจากอาบน้ำแต่งตัว และกินมื้อเช้าฝีมือคุณน้าแล้ว ผมแว่บมาดูเจ้าบ๊อบอีกที พบว่าพุงกลม ๆ ของมันกระเพื่อมน้อย ๆ ดูมีความสุขดี ต่างจากซองอาหารเม็ดที่ดูแฟ่บไปถนัดใจ
[ เดี๋ยวไปซื้ออาหารไว้ให้ ถือเป็นการไถ่โทษละกันนะ ]
[ บ๊อบ ๆ ]
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้กับบทสนทนาของเราในจินตนาการ ก่อนจะสวมสนีกเกอร์คู่โปรดเตรียมออกจากบ้าน ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หรือว่าคุณน้าจะลืมอะไร…
“อ้าว”
ผมเผลออุทานออกมาเมื่อเห็นผู้มาเยือน หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีรูปร่างกระทัดรัด ผมรวบไว้พอหลวม ๆ ใบหน้าที่ดูน่ารักแม้ปราศจากเครื่องสำอางนั้นมีแววว้าวุ่นใจ สโลแกนบนเสื้อยืดเขียวพาสเทลที่เธอสวมอยู่ อ่านได้ใจความว่า [ Be Kind to Animals ] ผมแอบยิ้มในใจด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“เอ่อ”
“ครับ”
“เอ่อ อาร์ต”
“หืม?”
“เอ่อ”
“นี่ วันนี้เราจะรู้เรื่องกันมั้ยนะซายน์” ผมแกล้งถามขึ้นมาด้วยความอดขำในท่าทางอ้ำอึ้งของเธอไม่ได้
“คือว่าซายน์มีเรื่องจะให้อาร์ตช่วยหน่อยเกี่ยวกับภาพศิลปะเป็นภาพของคุณปู่น่ะ...... @#$%*&!@# ………อาร์ตช่วยซายน์หน่อยได้มั้ยขอร้องล่ะ!”
คำพูดรัว ๆ แบบไม่มีช่องไฟของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ทำเอาผมเกือบหลุดขำออกมา ดีที่เธอก้มหน้าหลับตาปี๋อยู่ จึงไม่เห็นยิ้มกว้างเกือบถึงใบหูของผม ก่อนจะพยายามเก๊กสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“เอ่อ ซายน์เงยหน้าขึ้นมาก่อนเถอะ เมื่อกี้อาร์ตฟังไม่ทันหรอกนะ แต่ถ้าซายน์มีเรื่องจะให้ช่วยอาร์ตก็ยินดี”
เธอลืมตาขึ้นมาตอบขอบคุณเบา ๆ และยื่นสมุดบันทึกปกหนังสีดำเล่มหนึ่งที่บอกว่าเป็นของคุณปู่ให้กับผม
คุณปู่…ใช่สิ นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ และซายน์แล้ว ในบ้านหลังนั้นยังมีสมาชิกอีกคนหนึ่ง คือคุณปู่ที่ท่าทางใจดี ผมจำได้ว่าเคยฟังนิทานสนุก ๆ จากปู่ของซายน์สมัยที่เรายังเป็นเด็ก แต่ช่วงหลังได้ยินว่าสุขภาพท่านไม่ค่อยดี จึงมักใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เจอท่านนัก
ทันทีที่เปิดหน้าสมุดบันทึก ผมก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นภาพร่างลายเส้นที่อยู่ข้างใน ภาพแล้วภาพเล่าล้วนเป็นของศิลปินคน ๆ เดียว
“เอ๊ะ ทั้งหมดนี่เป็นภาพของ M.C. Escher หมดเลยนี่ซายน์”
“คืออะไรเหรอ” คิ้วของเธอขมวดขึ้นด้วยความฉงน
“M.C. Escher เขาเป็นศิลปินที่ดังเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานแนวนี้มาก ภาพของเขาจะมีมุมมองที่แปลกแต่ก็ได้สัดส่วนเหมือนผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดี”
เธอดูจะอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่แปลกเพราะสำหรับเธอที่อยู่กับตรรกะและวิทยาศาสตร์มาทั้งชีวิต การพูดถึงงานศิลปะคงเหมือนกับการฟังบรรยายเป็นภาษาฮีบรู
“อาร์ตรู้ด้วยเหรอ”
“รู้สิ เรื่องแค่นี้เอง อาร์ตก็เหมือนซายน์นั่นแหละ เราสองคนแค่ถนัดและสนใจกันคนละด้าน แต่ความเก่งอาร์ตไม่แพ้ซายน์หรอกนะ”
ผมอดไม่ได้ที่จะแหย่เธออีกครั้ง แว่บหนึ่งเธอดูเหมือนอยากจะเปิดศึกปะทะคารมแต่ข่มเอาไว้ ก่อนจะชวนผมไปหาคุณปู่ด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านอยากคุยเรื่องงานศิลปะ อากัปกิริยาที่ดูตื่นเต้นของเธอทำให้ผมใจอ่อนตอบตกลง ขณะที่บอกเจ้าบ๊อบไว้ในใจว่าจะแวะไปซื้ออาหารให้ตอนขากลับแทน
ซายน์เดินนำผมเข้าไปในบ้านของเธอ ขณะที่ผ่านห้องนั่งเล่น ผมเห็นพ่อและแม่ของซายน์นั่งคุยกันอยู่ จึงรีบยกมือไหว้
“ขอบคุณสำหรับข้าวต้มปลาเมื่อเช้านะครับ อร่อยมากจริง ๆ”
คุณน้าผู้หญิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หัวเราะคิกคักชอบใจ ก่อนกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับคุณน้าผู้ชาย ซายน์หันมามองด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็แค่แป๊บเดียวเพราะความสนใจของเธอดูเหมือนจะอยู่กับเรื่องอื่น
ในที่สุดเธอก็พาผมมาที่ห้องหนึ่ง หลังจากเคาะประตูสักพักไม่มีเสียงตอบรับ ผมกำลังจะอ้าปากบอกเธอว่าเอาไว้วันหลังแล้วกัน มือของเธอก็ผลักประตูนั้นเข้าไปก่อน มันไม่ได้ล็อกเพียงแค่งับไว้เฉย ๆ จึงเปิดออกอย่างง่ายดาย
ที่มุมห้องมีเก้าอี้โยกตัวใหญ่ตั้งอยู่ และบนเก้าอี้ตัวนั้นคือร่างของคุณปู่ที่กำลังหลับสบายพร้อมส่งเสียงกรนเบา ๆ คุณปู่ดูเหมือนเดิมแทบจะทุกอย่างในความทรงจำอันเลือนลางของผม
สาวผมหางม้าทำสัญญาณบุ้ยใบ้ให้ผมตามเธอมาที่ผนังด้านหนึ่ง ท่าทางของเธอทำให้ผมต้องเดินย่องไปด้วยแบบไม่รู้ตัว
เบื้องหน้าของเราคือภาพพิมพ์ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงราว ๆ หนึ่งไม้บรรทัด ทันทีที่ผมเห็นก็นึกถึงสมุดบันทึกเล่มนั้น ท่าทางของซายน์เองก็ดูสนใจใคร่รู้ไม่น้อย
M.C. Esher, Another World (1947)
“ภาพนี้มีชื่อว่า Another World ของ เอ็มซี แอชเชอร์ (M.C. Escher) น่ะซายน์” ผมเริ่มอธิบายตามนิสัยของภัณฑารักษ์ “ดูเผิน ๆ เหมือนว่าเรากำลังมองวิวผ่านหน้าต่างห้องที่ก่อด้วยอิฐใช่ไหม…ข้างนอกนั้นซายน์คิดว่าคือที่ไหน”
สายตาของเธอเพ่งตรงไปข้างหน้า แน่นอนว่าคำถามนี้หมูมากสำหรับเธอ
“ผิวแบบนั้นน่าจะเป็นดวงจันทร์ แล้วนั่นก็เป็นอวกาศที่มีเนบิวลา…แต่มุมมองมันแปลก ๆ นะ”
“ใช่แล้วล่ะ จากจุดที่เรามองคือสามทิศทางในเวลาเดียวกัน คือด้านล่าง ด้านบน และตรงหน้า ลองดูจากทิศทางของหัวเสาสิ” ผมชี้ให้เธอเห็นภาพชัดขึ้น
“นี่มันขัดกับธรรมชาติชัด ๆ เรื่องรูปทรงอะไรถูกต้องหมด แต่เราไม่มีทางที่จะเห็นภาพมุมพวกนี้พร้อมกันเลยนะ” หญิงสาวส่ายหัวน้อย ๆ เป็นเชิงประหลาดใจ
ผมมองแต่ละองค์ประกอบในภาพอย่างละเอียดก่อนจะยิ้มออกมา…ยังไม่ทันที่ผมจะเล่าต่อ ซายน์ก็พูดขึ้นมาก่อน
“แล้วนกหน้าประหลาดตัวนี้ล่ะอาร์ต ซายน์ว่าคล้ายนกเป็ดน้ำเลยอ่ะ มีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”
ผมนึกขำในใจกับสายตาอันเฉียบคมของเธอที่ให้สมญานามกับสัตว์ที่ยิ่งใหญ่นี้ว่า…นกเป็ดน้ำ
“มีสิซายน์ นกตัวนี้พิเศษมากเลยนะ…มันมีชื่อว่า ซิเมิร์ก (Simurgh) เรื่องราวของมันในตำนานของเปอร์เซียเก่าแก่พอ ๆ กับนกฟินิกซ์เลยนะ ถ้ามองดี ๆ จะเห็นว่าตัวของมันคล้ายนกยูง แต่มีอุ้งเท้าแบบสิงโต และมีใบหน้าเป็นมนุษย์
ว่ากันว่าซิเมิร์กมีอายุขัยยาวนานมากเสียจนครอบครองความรู้ของทั้งจักรวาล และเคยผ่านเหตุการณ์ที่โลกถึงกาลสิ้นกาลปาวสานมาแล้วถึงสามครั้งสามครา…”
ผมเหลือบดูใบหน้าของผู้ฟัง สีหน้าของเธอดูอึ้งปนประหลาดใจ ก่อนจะเล่าต่อ
“ถ้าจำได้…ภาพนี้มีชื่อว่า Another World ใช่มั้ย ซิเมิร์กเองคือสัญลักษณ์แทนการมีอยู่ร่วมกันของแผ่นดินและผืนฟ้า และยังทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อและส่งสารระหว่างมิติทั้งสองยังไงล่ะซายน์”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปอึดใจก่อนจะเปิดสมุดบันทึกขึ้นมาพร้อมอ่านประโยคที่เขียนอยู่บนหน้ากระดาษช้า ๆ
“Only those who attempt the absurd... will achieve the impossible.”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ ภาพนั้นก็ดูมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ผมกระพริบตาถี่ ๆ บางทีผมอาจจะตาฝาดไป…แต่นกซิเมิร์กตัวที่อยู่ตรงกลางในภาพนั้น ดูเหมือนว่ามันจะลืมตาขึ้นและมองตรงมาทางนี้ ปีกของมันขยับขึ้นลงช้า ๆ และก่อนที่เราจะรู้ตัว ร่างนั้นก็บินขึ้นแล้วพุ่งทะยานออกมาจากภาพ
เราสองคนตกใจเอี้ยวตัวหลบไปคนละทาง หลังจากพุ่งออกมาอย่างเร็ว นกซีเมิร์กตัวนั้นก็หักปีกเลี้ยวอย่างสง่างาม ก่อนจะมาบินวนอยู่รอบๆ จนเกิดเป็นลมวนขนาดย่อมคล้ายพายุหมุน ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากอีกฟากว่า
“จับหางนกไว้ให้แน่น ๆ”
ด้วยสัญชาตญาณ ผมกับซายน์รีบคว้าหางนกไว้ รอบตัวเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นจนแสบตา พอรู้ตัวอีกทีก็ลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้า ด้านล่างเป็นภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคยเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสัดส่วนแปลกประหลาด ระหว่างที่กำลังมองเพลิน ๆ จู่ ๆ นกตัวนั้นก็หันหัวลง กระพือปีกเพิ่มความเร็วมุ่งสู่พื้น เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของซายน์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของนกตัวนั้นที่พูดขึ้นผ่านหัวที่เป็นมนุษย์ของมันว่า
“Welcome to another world พร้อมไปผจญภัยกันหรือยัง?”
สวัสดีครับทุกคน 💙
นี่เป็นซีรีส์ชมรมศิลป์นอกเวลา ตอนพิเศษ ที่เขียนร่วมกันกับเรื่องเล่าชมรมวิทย์นอกเวลานะครับ
ขอเชิญให้อ่านเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ‘ซายน์’ ได้ที่เพจ EveryGreen หรือคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ ;)
Photo: Wikimedia Commons
โฆษณา