27 ก.ย. 2020 เวลา 16:45 • ข่าว
#ทรัมพ์ตัดงบนักรบไซเบอร์ฮ่องกง
#เกมคุมสื่อของทรัมพ์
เคนดิตภาพ Nikei Review
OMG กันทั้งบาง เมื่อมีข่าวว่าหน่วยงานสื่อสารมวลชนของรัฐบาลกลางสหรัฐ ที่ชื่อว่า US Agency for Global Media หรือ (USAGM) ได้พิจารณาระงับทุนช่วยเหลือ กลุ่ม NGO ของสหรัฐที่ชื่อว่า Open Technology Fund (OTF) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุน ช่วยเหลือกลุ่มนักรบไซเบอร์ในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง อิหร่าน และเบลารุส ในการทะลวงระบบเซ็นเซอร์ และ การตรวจสอบติดตาม จากรัฐบาลของประเทศนั้นๆในการต่อสู้เรียกร้องทางการเมือง หรือที่สื่อต่างชาติมักเรียกว่ากลุ่ม Pro Democracy
เครดิตภาพ The Guardian
เบื้องต้นมีรายงานว่า เพิ่งระงับทุนกว่า 2 ล้านเหรียญ ที่กลุ่ม OTF จะนำมาสนับสนุนกลุ่มนักรบไซเบอร์ในฮ่องกง โดยอ้างผลกระทบของกฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีนที่เพิ่งประกาศใช้บนเกาะฮ่องกงแล้วในปีนี้
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!!!
ดูผิวเผิน ก็อาจจะงงเล็กน้อยว่ารัฐบาลท่านเสี่ยทรัมพ์แกคิดอะไรของแก ดูจะขัดกับหลักการของรัฐบาลอเมริกัน ที่สนับสนุนเสรีภาพในการใช้สื่อออนไลน์ และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของม๊อบฮ่องกงมาโดยตลอด
แต่เราลองมาดูเบื้องหลังการก่อตั้งองค์กร Open Technology Fund (OTF) และความสัมพันธ์กับ US Agency for Global Media หรือ (USAGM) ก็อาจจะพอเห็นภาพว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องอื่นไกล แค่เป็นเรื่องการเมืองที่สวนหลังบ้านในทำเนียบขาวดีๆนี่เอง
หากจะเล่าคร่าวๆ ก็ต้องเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐที่เป็นต้นกำเนิดของ OTF นี่ก่อน ก็คือ US Agency for Global Media หรือ (USAGM)
เครดิตภาพ VoA
USAGM ที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐโดยตรง ซึ่งเคยมีชื่อเดิมว่า Broadcasting Board of Governors (BBG) ก่อตั้งในช่วงปี 1994 มีหน้าที่ดูแลสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของสหรัฐ ในการเผยแพร่ค่านิยมความเป็นอเมริกันผู้รักเสรี ที่ออกอากาศไปทั่วโลก
และสื่อในสังกัดของ USAGM ได้แก่
- Voice of America
- Current Time TV
- Radio Free Europe/Radio Liberty
- Radio Free Asia
- Middle East Broadcasting Networks
- Radio Sawa
- Cuba Broadcasting TV
เครดิตภาพ VoA
ต่อมาในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ก็เกิดไอเดียว่า เราน่าจะทำสื่อออนไลน์เชิงรุก สนับสนุนชาวไซเบอร์ในประเทศโลกที่สามที่ถูกปิดกั้นด้วยระบบของรัฐบาลเผด็จการ ก็เลยจัดให้มีหน่วยงานใหม่ ที่ชื่อว่า Open Technology Fund (OTF) ซึ่งแต่เดิมอยู่ในแผนกของ Radio Free Asia
โดยที่โปรเจ็ค OTF อยู่ในความดูแลตรงของรัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยนั้น นั่นก็คือ ฮิลลารี่
คลินตัน
เครดิตภาพ Wikiedia
เนื่องจากเป็นนโยบายของฮิลลารี่ ที่มุ่งเน้นการสร้างกระแสในสื่อโซเชียล ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดกลุ่มนักเคลื่อนไหวในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Green Movement ในอิหร่านช่วงปี 2009 หรือ กระแสอาหรับสปริงในหลายประเทศ ในย่านตะวันออกกลางช่วงปี 2010 - 2011
เมื่อเห็นว่าพลังในโลกไซเบอร์ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับที่สามารถรื้อถอนโครงสร้าง หรือจะพูดว่า "ล้มรัฐบาล" ได้เลยก็ไม่ผิดนัก โอบาม่าจึงได้อัดฉีดงบให้เพิ่ม แล้วจัดการแยก OTF ออกมาจาก Radio Free Asia กลายเป็นองค์กรอิสระ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี และจะได้งบช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐ ผ่านทาง USAGM
และต่อมาในปี 2014 OTF ยังทำงานร่วมกับ Google และ Dropbox ในการพัฒนา ระบบป้องกันความปลอดภัยของผู้ใช้ ชื่อ Simply Secure เพื่อปกป้องข้อมูลตัวตนของผู้ใช้งาน และยังมีโปรแกรมอีกเป็นจำนวนมากที่ OTF ได้ให้การสนับสนุนอยู่ อาทิ HackerOne Crytocat GlobaLeaks ที่ใช้เจาะผ่านระบบสอดแนม และเซนเซอร์ต่างๆ
จะเห็นได้ว่า OTF มีการเติบโตชัดเจน และไม่ได้มาเล่นๆ เพราะเป้าหมายของ OTF ไม่ได้แค่ต้องการสนับสนุนการใช้งานออนไลน์ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่สามารถกระจายความเห็นต่าง หรือนัดรวมพลทำกิจกรรมได้อย่างเสรี โดยไม่ถูกปิดกั้นจากรัฐบาลในประเทศเท่านั้น แต่ต้องมีความล้ำ นำหน้ารัฐบาลอยู่ก้าวหนึ่งเสมอเพื่อความได้เปรียบในกลยุทธการเคลื่อนไหว
เครดิตภาพ OTF
ที่ข้อมูลว่า ตอนนี้มีผู้ใช้ถึง 2 พันล้านบัญชี ที่เข้าถึง และใช้งานระบบโปรแกรมที่ OTF ให้ทุนสนับสนุนอยู่ โดยที่อาจจะรู้ หรือไม่รู้ก็ได้
และยังมีกลุ่มนักรบไซเบอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก OTF เสมอมา ก็คือ กลุ่มนักเคลื่อนไหวในฮ่องกง อิหร่าน และล่าสุด ที่เบลารุส
แต่ทว่างบประมาณจาก OTF มาจากรัฐบาลกลาง ที่ต้องผ่านการพิจารณาจากสภาคองเกรซ พอมาถึงยุคท่านเสี่ยอ่าง โดนัลด์ ทรัมพ์ เริ่มเข้ามาในปี 2017 แกก็เคยตั้งคำถามว่า ตกลงกลุ่ม OTF มีหน้าที่อะไรกันแน่
ใช่ว่าท่านเสี่ยแกจะไม่รู้ว่า OTF มีเป้าหมายอะไร แต่ในเมื่อหน่วยงานนี้เป็นรากเหง้าของรัฐบาลชุดเก่า โดยเฉพาะเป็นโปรเจคของป้า ฮิลลารี่ คลินตัน ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ได้ ท่านเสี่ยเห็นแล้ว แกคงเคืองสายตา อยากจะยุบๆทิ้งไป เหมือนโครงการ ObamaCare นั่นแล 😅
แต่ทั้งนี้ ถ้าจะตัดงบ OTF ก็ต้องผ่านบอร์ดของ USAGM เป็นผู้พิจารณา ซึ่งบอร์ดของ USAGM มี 9 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี 8 คนส่วน อีก 1 ที่นั่งเป็นของรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็แล้วแต่จะเป็นใคร ซึ่งจะมีวาระในตำแหน่ง 3 ปี
มาปีนี้ ท่านเสี่ยทรัมพ์เพิ่งมีโอกาสได้ดันคนของตัวเองไปนั่งในบอร์ด USAGM ได้ แล้วแกก็ส่ง ไมเคิล แพ็ค ที่เคยทำงานร่วมกับหัวหน้าทีมหาเสียงของแกเข้าไปนั่งเป็นประธานบอร์ด
ไมเคิล แพ็ค เครดิตภาพ Wikipedia
พอได้เข้าไปปุ๊บ หลายคนก็คาดว่า รายการดังประจำกรมอย่าง Voice of America อาจกลายเป็น Voice of Trump ในเร็วๆนี้
แล้วก็เป็นดังคาด เพราะเริ่มมีการตัดงบ และ เพิกถอนวีซ่านักข่าวต่างชาติของ VoA ที่มองว่าเป็นนักข่าวสายเดโมแครต โดยอ้างถึงข้อสงสัยเรื่องการเป็นสายลับ
รวมถึงตัดงบ OTF ที่จะมีผลกับนับรบไซเบอร์ในหลายประเทศที่พึ่งพาระบบเจาะข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจาก OTF
โดยเฉพาะกลุ่มนักเคลื่อนไหวในฮ่องกง ที่ OTF ได้เข้ามาสนับสนุนทุนในการพัฒนาระบบเจาะกำแพงให้ตั้งแต่แรกๆ ที่เป็นส่วนสำคัญในการกำเนิดกลุ่มปฏวัติร่มเหลืองตั้งแต่ปี 2014 ต่อเนื่องมาจนถึงกลุ่มเคลื่อนไหวปลดแอกฮ่องกงในปัจจุบัน
เครดิตภาพ CBC
โดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลจีนประกาศใช้กฏหมายความมั่นคงใหม่ที่ฮ่องกง จะมีทีมงานเข้ามาวิเคราะห์กำแพงสกัดข้อมูลอินเตอร์เนตที่รัฐบาลจีนจะนำมาใช้ แล้วพัฒนาเส้นทางลับในการลอดระบบสอดแนมของจีน
แต่เมื่อมีคำสั่งให้ระงับงบประมาณให้กับ OTF จึงมีผลกระทบโดยตรงกับทีมนักรบไซเบอร์ฮ่องกง ที่อาจต้องไปหาแหล่งทุนก้อนใหม่ ที่ก็จะทำได้ยากขึ้นเนื่องจากกฏหมายความมั่นคงของจีนจะตรวจสอบเส้นทางการเงินจากต่างประเทศอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลพวงจากนโยบายสกัดดาวรุ่ง คู่แข่งทางการเมืองของท่านเสี่ยโดนัลด์ ทรัมพ์ ที่กระทบหลายชิ่ง จากวอชิงตัน ดีซี สะท้านถึงฮ่องกง อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว
แต่ถามว่า ถ้าอย่างนี้หมายความว่ารัฐบาลของทรัมพ์ ไม่สนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกงแล้วอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าท่านเสี่ยแกก็ยังเชียร์ม๊อบฮ่องกงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนเดิมแหล่ะค่า แต่จะให้มายืมจมูกลูกน้องเก่าของ ฮิลลารี คลินตัน หายใจ คงไม่ใช่สไตล์ของแก
เพราะท่านเสี่ยทรัมพ์ แกถนัดเปิดหน้าท้าชนซึ่งๆหน้าไปเลย เหมือนอย่างที่แกดันกฏหมาย Hong Kong Human Rights and Democracy Act ให้ผ่านสภา คองเกรซ ประกาศให้โลกรู้ว่าต่อไปนี้อเมริกาจะขอสิทธิ์ปลูกเผือกที่ฮ่องกงอย่างเต็มตัวแล้ว ไม่ใช่จะมาแอบส่งท่อน้ำเลี้ยงกันลับๆล่อๆ อย่างที่ป้าฮิฯ แกชอบทำนาจ๊า
เครดิตภาพ The Telegraph
ก็เอาเป็นว่า สไตล์ใคร สไตล์มัน แต่ถึงแม้ว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐ จะมีสไตล์ในการวุ่นวายเรื่องชาวบ้านนอกประเทศไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายโลกก็ป่วนเหมือนกัน ประเทศเล็กๆ ก็คงได้แต่ทำใจหล่ะค่า 😱
แหล่งข้อมูล
โฆษณา