27 ก.ย. 2020 เวลา 17:54 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
"นอร์แมน บอร์ลอก (Norman Ernest Borlaug)"ชายผู้ช่วยชีวิตชาวโลกกว่าพันล้านคนด้วยการ "ปฏิวัติเขียว“!!!
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้คนทั้งโลก ถ้าเราไม่สามารถผลิตอาหารได้มากพอที่จะเลี้ยงดูผู้คนได้อย่างเพียงพอ สงคราม ความขัดแย้ง และสันติภาพที่สั่นคลอนคงจะตามมาในไม่ช้า แต่โลกทุกวันนี้สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอที่จะเลี้ยงดู (ถึงขั้นเหลือ) ให้กับประชากรทุกคน เคยสงสัยกันมั้ยครับเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร???
นั่นก็เพราะเกิดการปฏิวัติภาคการเกษตรและเทคโนโลยีในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1960-1970 ที่เรียกว่า "การปฎิวัติเขียว (Green revolution)" ซึ่งเปลี่ยนโฉมการเกษตรสู่การเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตสูง รวมทั้งสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า และประมาณการณ์กันว่าความสำเร็จจากการปฏิวัติเขียวสามารถช่วยเหลือประชากรโลกรอดพ้นจากความอดอยากได้มากกว่าพันล้านคน [1][2]
ความสำเร็จทั้งหมดนี้เราคงต้องยกให้ชายผู้หนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่า "บิดาแห่งการปฏิวัติสีเขียว" ในฐานะที่เป็นผู้นำการคิดค้น และนำเสนอเทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตอาหาร รวมถึงปรับปรุงพันธุ์พืชอาหารที่สำคัญแก่ชาวโลก เขาคือ "นอร์แมน เออร์เนสต์ บอร์ล็อก (Norman Ernest Borlaug)"
จนเริ่มต้นเล็กๆและพันธกิจที่ยิ่งใหญ่!!!!
นอร์แมน บอร์ลอก (25 มีนาคม ค.ศ. 1914 - 12 กันยายน ค.ศ. 2009) เกิดในครอบครัวผู้อพยพชาวนอร์เวย์ที่เติบโตในสหรัฐฯ ในวัยเด็กเขาเรียนด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน ก่อนเข้าศึกษาต่อที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา (University of Minnesota) หลังจบการศึกษาก็ได้ทำงานชั่วคราวที่บริษัทดูปอง (DuPont) ก่อนที่จะลาออกมารับทุนของมูลนิธิรอคกีเฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) เพื่อเป็นนักวิจัยในโครงการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืชอาหารของมูลนิธิที่ประเทศเม็กซิโก
การทำงานในเม็กซิโกนี้เองที่ช่วยจุดประกายความคิดในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวสาลีและข้าวโพดของบอร์ลอก ระหว่างทำงานในปี ค.ศ. 1944-1960 เขาเริ่มพัฒนาสายพันธุ์ข้าวสาลีที่มีความยืดหยุ่นต่อโรคและในเวลาเดียวกันก็ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ดีขึ้นมาก หมุดหมายสำคัญของบอร์ลอกคือต้องการข้าวสาลีที่ผลิตแป้งมากขึ้น เมล็ดมีขนาดใหญ่ แต่เขาสังเกตว่าพันธุ์ข้าวสาลีพวกนี้มักจะมีลำต้นสูง ทำให้ล้มง่ายเวลาเก็บเกี่ยว แล้วทำอย่างไรจะแก้ปัญหานี้ได้หล่ะ??
จากการทำงานอย่างหนักในช่วงหลายสิบปี ในที่สุดบอร์ลอกก็ได้พัฒนาพันธุ์ข้าวสาลีต้นเตี้ยแต่ให้ผลผลิตสูงที่มีชื่อว่า "Pitic 62 และ Penjamo 62" ขึ้นได้ที่สถานีวิจัยกัมโปอาติซาปัน (Campo Atizapan) จากการผสมข้ามสายระหว่างพันธุ์ข้าวสาลีต้นสั้นสายพันธุ์ "Norin 10" จากญี่ปุ่นและสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้นยาวจากสหรัฐฯอย่าง "Brevor 14" ในปี ค.ศ. 1953 ผลที่ได้คือลูกผสม Norin 10/Brevor 14 ที่ต้านทานโรค ต้นเตี้ย ให้ผลผลิตสูง แถมยังเร่งเติบโตได้ดีเมื่อให้ปุ๋ยไนโตเจนสังเคราะห์ ก่อนที่จะพัฒนาพันธุ์ต่อจนได้ Pitic 62 และ Penjamo 62 ที่มีความนิ่งของพันธุ์
สถานีวิจัยพันธุ์ข้าวสาลีและข้าวโพดของมูลนิธิรอคกีเฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ในเม็กซิโกคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บอร์ลอกสนใจพัฒนาพันธุ์พืชในช่วงการปฎิวัติเขียว
ในท้ายที่สุดบอร์ลอกได้ตั้งศูนย์ปรับปรุงข้าวโพดและข้าวสาลีนานาชาติ (International Maize and Wheat Improvement Center) ในเม็กซิโก เพื่อส่งต่อข้อมูลและสายพันธุ์ข้าวสาลีนี้ให้แก่นักวิจัยทั่วโลก หลังจากนั้นเขาได้นำข้าวสาลีและข้าวและข้าวโพดที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์คล้ายๆ กันมาเผยแพร่ทางเอเชียใต้ ภูมิภาคตะวันออกกลาง อเมริกาใต้และแอฟริกา
ความสำเร็จในการเพิ่มผลผลิตอาหารของข้าวสาลีในภูมิภาคที่แตกต่างกันและสภาพอากาศที่แห้งแล้งของบอร์ลอก ส่งผลอย่างยิ่งต่อประเทศปากีสถานและอินเดียที่ได้ประโยชน์มหาศาลจากมัน ว่ากันว่าภายในไม่ถึงสิบปีพันธุ์ข้าวสาลีแบบใหม่ช่วยเพิ่มผลผลิตของทั้งสองประเทศเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่า [3][4] ช่วยเหลือประชากรที่อดยากหลายร้อยล้านคนของอนุทวีปอินเดียให้มีอาหารอย่างพอเพียง อีกทั้งทำให้พวกเขาเปลี่ยนจากผู้นำเข้าข้าวสาลีเป็นผู้ส่งออกช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศเติบโต
ผลผลิตของข้าวสาลีต่อเฮกตาร์ในประเทศเม็กซิโก อินเดีย และ ปากีสถาน ระหว่างปี ค.ศ.1944 ถึง ค.ศ. 2004 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอานิสงค์ของการปฏิวัติเขียวในทศวรรษที่ 1960 จากผลงานของ นอร์แมน บอร์ลอก
ความสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์ข้าวสาลีที่ช่วยหล่อเลี้ยงผู้คนทั่วโลกในยุค 1960 นี้ในยุค 60 เกิดขึ้นเพียงไม่นานนักหลังจากผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์เตือนถึงสิ่งที่เรียกว่า "ระเบิดของประชากร (population bome)" เมื่อผู้คนผลิตอาหารไม่เพียงพอต่อการเพิ่มจำนวนประชากร อาจทำให้เกิดภาวะอดอยากขยายวงกว้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ไปทั่วทั้งโลก แต่ดูเหมือนว่าบอร์ลอกจะช่วยให้โลกผ่านวิกฤตนี้มาได้
ประชาการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จนแตะระดับพันล้านคน ทำให้เกิดความกังวลเรื่องผลผลิตอาหารที่ไม่เพียงพอจนนำไปสู่สงคราม และ การแย่งชิงทรัพยากร
ความสำเร็จที่โดดเด่นในการเพิ่มผลผลิตอาหารเพื่อประทังชีวิตคนทั้งโลกจาผลงานของบอร์ลอกทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี ค.ศ.1970 ในฐานะผู้สร้างนวัตกรรมที่หยุดความหิวโหยและช่วยชีวิตผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งช่วยสร้างสันติภาพที่แท้จริงให้กับโลก เหมือนคำกล่าวในวันรับรางวัลของเขาที่ว่า
"เราต้องระลึกถึงความจริงว่า อาหารที่เพียงพอเป็นเพียงความต้องการแรกของชีวิต เพื่อชีวิตที่เหมาะสมและมีมนุษยธรรม เรายังต้องให้โอกาสทางการศึกษาที่ดี การจ้างงานที่ให้ผลตอบแทนสูง บ้านพักอันสะดวกสบาย มีเครื่องนุ่งห่มที่ดี และมีการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและความกรุณา" บอร์ลอกกล่าวระหว่างขึ้นรับรางวัลโนเบล
หลังจากเกษียณตัวเองจากสถาบันวิจัยในเม็กซิโก บอร์ลอกมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนนำเพื่อกดดันให้รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกเห็นถึงความสำคัญของการกำหนดนโนบายที่เป็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจต่อเกษตรกร และช่วยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้เข้าถึงการตลาดได้ ซึ่งจะช่วยลดความเหลี่ยมล้ำ ทำให้โลกพัฒนาอย่างยั่งยืน
ช่วงหลังจากนั้นตั้งแต่ปี 1984 ถึงปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่เขาเสียชีวิต บอร์ลอกได้ทำงานเป็นศาสตราจารย์ที่ Texas A&M University Norman Borlaug Institute for International Agriculture ก่อนที่จะเสียชีวิตในบ้านพักอย่างสงบ เหลือทิ้งไว้เพียงคุณงามความดีและผลงานที่ช่วยเหลือมนุยชาติให้ระลึกถึงเสมอ
หากใครสนใจอยากทราบว่าชีวิตของบอร์ลอกผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงจุดนี้ สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมในหนังสืออัติประวัติชีวิตของเขาอย่าง "ชายผู้เลี้ยงคนทั้งโลก" (The Man Who Fed the World) นี้ล่ะครับคือเรื่องราวของชายตัวเล็กๆผู้ช่วยคนกว่าพันล้านคนด้วยวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ !!!!
โฆษณา