Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
น้ำลายแตกฟอง
•
ติดตาม
30 ก.ย. 2020 เวลา 08:52 • บันเทิง
*โรงเรียนของหนู*
ผมนั่งนึกถึงบทสนทนากับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาลัย เพราะช่วงนี้มีข่าวเรื่องครู กับนักเรียนที่เป็นข่าวดัง ณ ตอนนี้
" ที่โรงเรียนมึงสมัยก่อนเป็นไงบ้างวะ เพื่อนในวงสนทนาคนหนึ่งเปิดคำถามขึ้นมา"
ต่างคนต่างผลัดกันเล่า พอถึงคิวผมบ้าง ผมรีบบอกเพื่อนๆในวงสนทนาว่า" เรื่องมันยาวนะ'พวกมึงพร้อมจะฟังป่าว"
หลังจากนั้นผมเริ่มเปิดภาพในสมัยเป็นนักเรียนม.ต้นให้กับเพื่อนได้ฟังกัน
โรงเรียนที่ผมไปเรียน เป็นโรงเรียนที่อยู่เขตทุ่งครุ เปิดสอนในระดับ ชั้นประถม-ม.3
ผมเองเป็นเด็กต่างจังหวัดย้ายเข้าเข้ามาเรียนตอนม.2 ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้การย้ายเรียนล่าช้า
จนในที่สุดได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เพราะผ่านการเช็ค 'ผลการเรียน'จากครูใหญ่แล้วท่านได้รับผมเข้าเรียน
ท่านยังกำชับด้วยความเป็นห่วงให้ขยันเรียน กลัวจะเรียนไม่ทันเพื่อนๆเพราะโรงเรียนแห่งนี้ได้เปิดเรียนไปหลายวันแล้ว
ด้วยความที่เป็นโรงเรียนเอกชนขนาดไม่ใหญ่มากระดับชั้นเรียนจำนวนห้องเรียนก็ไม่เยอะ มีแค่สามห้อง ต่อห้องมีนักเรียน 40 กว่าคน
ผมเองได้เรียนอยู่ห้องม2/3 ซึ่งเป็นห้องที่มีเด็กค่อนข้างเกเรรวมกันอยู่ประมาณหนึ่ง
พอเรียนได้ สามอาทิตย์ เริ่มมีการสอบย่อย(ร.ร. มีการสอบ สี่ครั้งต่อเทอม สอบย่อย สอบกลางภาคสอบย่อย สอบปลายภาค)
ทุกครั้งที่มีการสอบต้องมีการเก็บค่ากระดาษสอบ สอบ สี่ครั้ง ต่อเทอมนี่ก็หลายบาท สมัยนั้นผมได้เงินไปโรงเรียน20บาท(ปี2531) ผลการสอบของผม ก็เอาตัวรอดมาได้แบบหวุดหวิด เพราะเรียนช้ากว่าเพื่อน
ช่วงพักกลางวันนักเรียนทุกๆคนจะต้องรีบกินข้าวเที่ยงแล้วไป 'ท่องงาน'ต่อหน้าครูประจำชั้นจนครบทุกคนซึ่งทำให้พวกนักเรียนต้องใช้เวลาในการกินข้าวด้วยความรวดเร็วเพราะกลัว ท่องงานไม่ทัน
ท่องงาน คือ การเรียนพิเศษจากทางโรงเรียนหลังจากการเรียนปกติจบลง ทุกเย็นครูประจำชั้นจะมีงานบนกระดานดำให้นักเรียนลอกตาม ทั้ง วิชาคณิตฯ วิทย์ ภาษาไทย สำนวนไทย อังกฤษ เรขาคณิต สังคม หรือประวัติศาสร์ (แถมต้องท่องสูตรคูณเดินหน้าถอยหลังด้วย)
ลอกให้ครบแล้วส่งให้ครูตรวจ จึงจะกลับบ้านได้ ส่วนไปถึงบ้านแล้ว'งานท่อง' จะต้องลอกลงในสมุดอีกชุดหนึ่ง เฉพาะโจทย์ เว้นช่องคำตอบเอาไว้ เพื่อไปท่องต่อหน้าครูในช่วงพักกลางวัน
เท่ากับว่านอกจากการบ้านที่มีเกือบจะทุกวิชาหลักๆแล้ว พวกเรายังมี งานท่องที่ต้องจด เขียนและต้องท่องให้ได้ เป็นการบ้านทุกๆวัน (กระเป๋าหนังสือต้องมีสองใบ ใบหนึ่งสำหรับสมุดหนังสือวิชาเรียนปกติ อีกใบสำหรับงานท่อง)
พอขึ้น ม.3 มีการเปลี่ยนแปลงห้องเรียนด้วยนักเรียนที่มีเกรดการเรียนดีของทั้งสามห้องจะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน เรียนดีมาอยู่3/1เกรดรองลงไปอยู่ห้อง3/2และห้อง3/3ตามลำดับ
ผมเองได้สิทธิ์อยู่ห้อง 3/1 แถมยังมีหน้าที่เขียนรายชื่อเพื่อนๆ ทุกๆห้อง เพื่อให้ครูประจำชั้นกรอกคะแนนเวลาสอบ(เพิ่มงานให้ตัวเองเพราะลายมือสวย)
ช่วงม.3 เป็นช่วงที่เรียนหนักมาก ผมกับเพื่อนรวม8 คนชาย4 คน หญิง4 คนเป็นตัวแทนของครูใหญ่ที่มาช่วยรับ 'ท่องงาน' จากเพื่อนๆ
ในทุกๆเช้าผมต้องไปถึงโรงเรียนตีห้าครึ่ง (ย้ำนะครับตีห้าครึ่ง กลับถึงบ้าน1ทุ่มตรง ทุกวันจันถึงเสาร์ นอนตีหนึ่ง ตื่นตีสี่มา 'ทวนงานท่อง' เพื่อไม่ให้พลาด) ทุกๆวันพร้อมกับเพื่อนอีก7คนเพื่อมาท่องงานกับครูใหญ่ให้เสร็จ พร้อมกับเขียนคำตอบลงในช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย
ท่องผิดถูกปรับคำละ10 บาทเพราะฉะนั้นห้ามผิดเด็ดขาดเพราะถ้าผิดหมายความว่า จะต้องอดข้าวเที่ยงทันทีเพราะได้เงินไปโรงเรียนแค่20 ค่ารถไป-กลับ4บาทแล้ว
(บางคนได้ค่าขนมไปโรงเรียน30มากสุดตอนนั้น50บาท)
พอผมและเพื่อนท่องงานและเขียนคำตอบจนเสร็จส่งให้ครูใหญ่ตรวจ พร้อมกับแยกย้ายนั่งรอเพื่อนๆมาท่องงานต่อหน้าพวกเรา ที่เป็นตัวแทนครูใหญ่
บรรดาตัวแสบๆ ทั้งหลายมันก็จะมาต่อแถวที่ผมเป็นคนรับท่องงานมัน เพราะถ้ามันท่องผิดกัน มันก็จะ' ส่งซิก' ให้ผมช่วยให้มันผ่าน( ผมช่วยเป็นบางครั้ง)
จนครูใหญ่สังเกตุเห็นว่าแถวผมทำไมถึงยาวกว่าเพื่อนคนอื่นๆท่านจึงตัดแถวให้ไปท่องงานต่อหน้าท่านด้วย
'ซวย' คือคำที่เพื่อนๆจะ' สบถ' ขึ้นมาทันที หากต้องไปท่องต่อหน้าครูใหญ่ บนโต๊ะที่ท่านนั่ง จะมีกระปุกออมสิน วางอยู่ สำหรับใครที่ท่องงานผิดจะต้องหยอดกระปุกทันที ผิดคำละสิบบาท
(ครั้งหนึ่ง ผมและเพื่อน ที่เป็นตัวแทนครูใหญ่ ถูกเรียกไปลงโทษด้วยการตีคนละครึ่งโหล หลังจากที่ครูใหญ่ ทำการทุบกระปุกออมสิน แล้ว พบกับ ใบไม้ แบงค์สิบ แบงค์ยี่สิบ ที่ถูกฉีกแล้วพับหลอกตาครูใหญ่ หยอดกระปุก ของเพื่อนตัวแสบทั้งหลาย แม้แต่งานท่องที่เป็นโจทย์เว้นคำตอบเอาไว้ พวกเพื่อนๆบางคนก็ใช้วิธีเอาดินสอเขียนจางๆเป็นคำตอบเอาไว้ เพราะเห็นว่าครูใหญ่ท่านสายตาไม่ค่อยดี )
หลังจากท่องงานเสร็จ7โมงเช้าพวกเราจะต้องเรียน' พิเศษ ' จากครูใหญ่1 ชม.แล้วค่อยแยกย้ายไปเรียนตามห้องของตัวเองในเวลา8โมงเช้า
พักเที่ยงตอนม.3 จะไม่มีงานท่องแต่จะมีงานบนกระดานดำสองกระดานที่ต้องรีบมาจดเพื่อเอาไว้เรียนกับครูใหญ่ในตอนเช้าอีกวัน
ดังนั้นข้าวเที่ยงพวกเราต้องรีบแบบชนิดที่ว่า5 นาทีกินให้เสร็จไม่งั้นงานบนกระดานดำจะจดไม่ทัน (ถ้าไม่ทันส่งตรวจตอนเย็นโดนตีอีก)
ช่วงบ่ายขึ้นเรียนตามปกติพอตกเย็นหลังเลิกเรียน ต้องลงมาเรียนรวมกันทั้งสามห้องเหมือนตอนเช้า เรียนจนหกโมงครึ่ง ถึงเลิกเรียน
ใครที่ไม่ตั้งใจเรียน หรือตอบคำถามที่พึ่งสอนไปเมื่อสักครู่ไม่ได้ จะถูกทำโทษด้วยการตี โดยใช้ไม้เรียว
ไม่เรียวนี้ เป็นทางเด็กนักเรียนอย่างพวกเราเอามาคนละ1อันเป็น 'กุศโลบาย' ของครูใหญ่ที่บอกพวกเราว่าเป็นไม้ที่เอามาชี้กระดานดำ 'ชี้เรขาคณิต'
แต่ นั่นคือไม้เรียวที่เอามาใช้ทำโทษพวกเราเอง
บทลงโทษที่พวกเราเจอ เนื่องจากห้องเรียนรวมจะมีเวทีสูงประมาณ1เมตรครูใหญ่ท่านจะยืนสอนด้านบน และมีโต๊ะ ที่ไม่สูงมากนัก แต่กว้างยาวพอนอนได้อยู่หนึ่งตัว
เวลานักเรียนหญิงโดนทำโทษจะต้องไปยืนเอาตัวชิดกับขอบเวที ครูใหญ่ใช้ไม้เรียวตีจากด้านบนแทยงลงมาพาดกลางหลังท่านเรียกว่า 'ท่าสะพายแล่ง'
ส่วนผู้ชายถ้าถูกลงโทษจะต้องขึ้นไปบนเวทีแล้วทำท่าเตรียมวิดพื้น แล้วครูใหญ่ท่านจะหวดไม้เรียวลงบนก้นตาม' โทสานุโทษ'ครูใหญ่เรียกท่านี้ว่า' เบนทดาวน์'
โดยส่วนมากบทลงโทษ จะนับเป็น' โหล' หรือ' ครึ่งโหล'
หากวันไหนมีนักเรียนถูกทำโทษเยอะจนครูใหญ่ตี ไม่ไหว ก็เรียกให้ ครูฝ่ายปกครองหรือครูพละมาช่วยตี (โหดสุด)
พวกเราก็หาทางป้องกันด้วยการเอาเสื้อที่หนายัดใส่ในกางเกง พวกนักเรียนหญิงก็เช่นกัน แถมพกยาหม่องด้วยสำหรับ 'ทาถูทาถู'
แต่ครูท่านก็รู้ทัน เลยเปลี่ยนจุดตีด้วยการ 'ตีที่น่อง' ดังนั้นเด็กนักเรียนโรงเรียนเรา ก็จะมีน่องที่ลายๆเป็นรอยจากการโดนไม้เรียวหวดกันเป็นแถบ
กุศโลบายของครูใหญ่อีกอันหนึ่ง คือทุกวันเสาร์พวกเด็กม.3 อย่างพวกเราต้องไปเรียน พิเศษ กับครูใหญ่อีกหนึ่งวัน
แต่คราวนี้นักเรียนชาย ต้องเอา' ฆ้อน'ไปด้วย
' เพื่ออะไรวะ'ใช่ครับ เป็นคำถามของพวกเรานักเรียนชายทุกคนที่มีความสงสัยต่อ 'การครั้งนี้'
และยังบอกให้พวกเรานักเรียนชายเอาชุดฟุตบอลมาด้วย เพื่อจะให้พวกเราตั้งทีมเตะฟุตบอลกัน
' ร้อยวันพันปีกูไม่เคยเห็นครูใหญ่อยากให้พวกเราเตะบอลกันเลยว่ะ' คำถามจากพวกเรานักเรียนชายด้วยความสงสัย
'ใช่ แล้วยิ่งต้องเอาฆ้อนมาด้วยนี่ ยิ่งงงเลย'
พอพักเที่ยง หลังจากเรียนเสร็จ คำตอบที่พวกเราสงสัยก็เฉลยพร้อมกับความ'งงในงง'
นักเรียนชายเปลี่ยนชุดฟุตบอลเตรียมลงเตะด้วยความดีใจของพวกเรา ส่วนนักเรียนหญิง ให้ทำความสะอาดรอบๆโรงเรียนเสร็จแล้วให้กลับบ้านได้
แต่พอเราเปลี่ยนชุดบอลเสร็จ ครูใหญ่สั่งให้นำ 'ฆ้อน'ติดตัวพร้อมกับเดินข้ามถนน ไปฝั่งโรงเรียนแผนกอนุบาล
พร้อมกับเรียกให้' ช่าง'ที่กำลังก่อสร้างตึกอยู่มาสอนงานก่อสร้างให้พวกเรา ด้วยการให้ ถอนตะปูพร้อมดัดให้ตรงด้วยฆ้อน (เพื่อนำกลับมาใช้อีก) ถอดไม้แบบ ทุบปูนที่ไม่ใช้งานแล้ว พร้อมขนไปทิ้ง บางส่วนก็ไปผสมปูน
นั่นละครับ'คำตอบ'ที่พวกเราสงสัยกับชุดฟุตบอลกับฆ้อน
ชุดฟุตบอลที่เอามาใส่เพื่อไม่ให้เป็นชุดนักเรียนแล้วถูกใช้แรงงานมาทำงานก่อสร้าง 'เดี๋ยวเป็นข่าว'
ส่วนเรื่องการเรียน เด็กคนที่ไหนเกเรหน่อย ไม่สนใจเรียนครูใหญ่ก็จะขอผู้ปกครองให้มาเป็นเด็กประจำ คือมากินนอนที่โรงเรียน พร้อมกับ ดัดนิสัย ให้เข้ารูปเข้ารอย
ด้านผู้ปกครองที่ส่วนมากก็เคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่ไม่ขัดข้องที่จะให้ลูก-หลาน มาเป็นเด็กประจำ เพราะเข้าใจ' เจตนา 'ครูใหญ่ดี
และผู้ปกครองหลายท่านก็ไม่เคยมีปัญหามาฟ้องร้องว่าลูกถูกทำโทษจนแข้งขาเป็นรอยไม้เรียว
เวลาผ่านไปพวกเรามาเจอกันยังคงเข้าไปกราบไหว้และคิดถึงท่านและครูท่านอื่นๆ จนปัจจุบันครูใหญ่ท่านเสียชีวิตไปแล้วพวกเรายังคง นึกถึงคำสั่งสอนของท่านอยู่
" นี่แหละโรงเรียนกู ตอนม.ต้น" ผมเล่าจบ เพื่อนๆที่นั่งฟังเงียบกริบ จากที่มันบอกว่าโรงเรียนมันโคตรโหด
แล้วโรงเรียนของพวกเพื่อนๆในblockdit ละครับเป็นไงบ้าง เล่าสู่กันฟังหน่อยครับ
*ผมเองเคยถูกกะบะผสมปูนทับ จนหัวรองเท้าผ้าใบขาด เล็บนิ้วโป้งเปิดเห็นเลือดสีแดงสดไหลนอง ดีที่นิ้วไม่ขาด ขอกลับบ้านครูไม่ให้กลับ ให้นอนพัก แล้วให้เพื่อนมาใส่ยาให้ กินยา ตื่นมาค่อยปล่อยกลับบ้าน
#น้ำลายแตกฟอง
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย