3 ต.ค. 2020 เวลา 03:45 • ประวัติศาสตร์
การสังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาล
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาลขึ้นภายในพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นผลให้ กษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะ (Birendra Bir Bikram Shah Dev) และสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ (Aiswarya) เสด็จสวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกองค์สำคัญในราชวงศ์เนปาลทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวโลกตื่นตะลึง และยังความเศร้าโศกโกลาหลให้แก่ชาวเนปาลอย่างมาก
สำนักพระราชวังได้ประกาศสาเหตุของโศกนาฏกรรมว่า เกิดจากอุบัติเหตุพระแสงปืนลั่นโดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา (Dipentra) เป็นผู้ทำพระแสงปืนลั่นในขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์กำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ก่อนที่องค์มกุฎราชกุมารจะทำพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์เอง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักพระราชวัง และแหล่งข่าวหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าแท้จริงโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดจากการที่องค์มกุฏราชกุมาณทรงบันดาลโทสะในขณะทรงวิวาทกับพระราชมารดาเรื่องการที่องค์มกุฎราชกุมารทรงต้องการจะอภิเษกกับสตรีจากตระกูลรานา (Rana) ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมือง
ทำให้องค์มกุฎราชกุมาร ก่อเหตุกราดยิงสมาชิกพระราชวงศ์ทั้งหมดขณะกำลังร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ด้วยอาวุธปืนลูกซอง SPAS-12 และปืนกล M16, MP5 ก่อนจะปลิดพระชนม์ชีพพระองค์เองตาม
และแหล่งข่าวอีกหลายกระแส ตั้งข้อสงสัยว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงตกอยู่ในพระอาการมึนเมาจากน้ำจัณฑ์ (สุรา) และยาเสพติด
หลังจากจัดงานพระบรมศพเรียบร้อย ในวันที่ 3 มิถุนายน ทางการเนปาลก็ได้อัญเชิญให้มงกุฎราชกุมารดิเพนทรา ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่ในวันเดียวกัน พระองค์ก็สวรรคตลง ทำให้ทางการเนปาลต้องถวายการแต่งตั้งให้เจ้าชายชญาเนนทร (Gyanendra)
พระอนุชาของกษัตริย์พิเรนทรา (อาของมงกุฎราชกุมารดิเพนทรา) ซึ่งมิได้ประทับในพระราชวังกาฐมาณฑุขณะเกิดโศกนาฏกรรม
การสวรรคตของกษัตริย์พิเรนทรา ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศของเนปาลเกิดความปั่นป่วนขึ้นเกือบจะในทันที ประชาชนจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนประท้วงไปตามถนนในกรุงกาฐมาณฑุ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสืบหาความจริงของโศกนาฏกรรมโดยด่วน ประชาชนที่กำลังโกรธแค้นได้ทำลายสาธารณสมบัติ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย
ผู้เสียชีวิต
- สมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ (พระมหากษัตริย์; พระชนกของผู้ต้องหา)
- สมเด็จพระราชินีไอศวรรยา (พระราชินี; พระชนนีของผู้ต้องหา)
- มกุฎราชกุมารดิเพนทรา (ผู้ต้องหา, ภายหลังถูกยกเป็นพระมหากษัตริย์ และได้สวรรคตในเวลา 3 วันหลังก่อเหตุ)
- เจ้าชายนิรชัน (พระราชโอรส; พระอนุชาของผู้ต้องหา)
- เจ้าหญิงศรุติ (พระราชธิดา; พระขนิษฐาของผู้ต้องหา)
- นายธีเปนทระ ศาหะ (พระอนุชาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ ซึ่งถูกถอดพระอิสริยยศ)
- เจ้าหญิงชยันตี (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- เจ้าหญิงศานติ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- เจ้าหญิงศารทะ (พระพี่นางในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- นายกุมาร ขัทคะ (พระสวามีในเจ้าหญิงศารทะ)
ผู้ได้รับบาดเจ็บ
- เจ้าหญิงโศภา (พระขนิษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ)
- นายกุมาร โครัข (พระสวามีในเจ้าหญิงศรุติ)
- เจ้าหญิงโกมล (พระชายาในเจ้าชายชญาเนนทระ; ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งเนปาลคนสุดท้าย)
- นางเคตากี เชสเตอร์ (พระญาติในสมเด็จพระราชาธิบดีพิเรนทระ ซึ่งลาออกจากฐานันดรศักดิ์)
- เจ้าชายปารัส (พระโอรสในเจ้าชายชญาเนนทระ; ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมาร)
มีทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับปริศนาการสังหารมากมาย บ้างก็บอกว่าเป็นการวางแผนของเจ้าชายชญาเนนทร รวมถึงกลุ่มผลประโยชน์ที่อยากให้ระบอบกษัตริย์สิ้นสุดลง
ส่วนพระราชวังนารายันหิติ สถานที่เกิดเหตุ ปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
โฆษณา