3 ต.ค. 2020 เวลา 09:58 • ประวัติศาสตร์
ในรอบปีที่ผ่านมา ผมดูหนังมาหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ดูแล้วจิตหลุดมากขนาดนี้ ผมดูจบตี 2 แต่นอนหลับไม่ลงจน 10 โมงเช้า นี่คือสารคดีใน Netflix ที่ชื่อ American Murder : The Family Next Door (ฆาตกรรมสะเทือนขวัญอเมริกา : ครอบครัวใกล้ตัว)
5
ในสารคดีชิ้นนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ถ่ายทำด้วยภาพจริง 100% หนังมีความยาวประมาณ 1.20 ชั่วโมง
ถ้าใครอยากดูสารคดี จากบรรทัดนี้ปิดเลยนะครับ เปิดดูจาก Netflix ได้เลย เพราะผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวแบบการอ่าน ก็เริ่มต้นในบรรทัดต่อไปได้เลยครับ
1
ย้อนกลับไปในปี 2018 ที่เมืองเฟเดริค รัฐโคโลราโด้ มีครอบครัววัตส์ สามีชื่อคริส วัตส์ (33 ปี) ทำงานเป็นช่างเครื่องโรงกลั่นน้ำมันดิบ การงานมั่นคงดี แต่งงานกับภรรยาสาวที่ชื่อ แชนแน่น วัตส์ (34 ปี) ทำงานเป็นเซลส์ ทั้งคู่รักกันดี และมีลูกสาวสองคน คนโต 4 ขวบ ชื่อเบลล่า และลูกสาวคนเล็ก 3 ขวบ ชื่อเซเลสเต้
13 สิงหาคม 2018 แชนแน่น กลับมาจากการไปคุยงานที่รัฐแอริโซน่า ถึงบ้านประมาณตี 2 โดยเพื่อนสนิทของเธอ ยูทอฟต์ แอตกินสัน เป็นคนไปรับจากสนามบิน โดยคริสก็อยู่กับเด็กๆ ตามปกติ
เหตุการณ์ผ่านไป เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ช่วงเที่ยงแอตกินสันติดต่อแชนแน่นไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงจึงแวะไปดูที่บ้าน ปรากฎว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลย เธอเข้าใจว่าคริส คนสามีต้องไปทำงานที่โรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่ตี 5 แต่แชนแน่น กับลูกสาวทั้ง 2 คน ก็น่าจะอยู่บ้านสิ
สรุปแล้ว เธอไปเคาะประตูบ้านอยู่นาน ก็ไม่เห็นใคร จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึง ก็เดินวนรอบบ้าน ยังไม่สามารถเข้าบ้านได้ ซึ่งสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดีแล้ว แอตกินสันจึงโทรหาคริสที่ทำงานอยู่ ให้รีบกลับมาโดยด่วน
1
เมื่อคริสมาถึง เขาตกใจมาก ที่ภรรยากับลูกสาวหายตัวไป คริสบอกว่าเขาไม่รู้เลยว่าเธอไปไหน เพราะเขาพยายามติดต่อเธอเช่นกัน ทั้งโทร ทั้งแชท แต่แชนแน่นก็ไม่ติดต่อกลับ
1
นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ามึนงงมาก เพราะแชนแน่นหายตัวไปโดยทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ส่วนลูกสาวก็หายไปด้วย โดยไม่ได้หยิบผ้าห่มผืนโปรดที่ลูกๆต้องเอาติดตัวไปด้วยเสมอ คือหายไปเลยดื้อๆ แบบไร้ร่องรอย
1
สิ่งที่ตำรวจเจอในบ้าน คือแหวนแต่งงานที่แชนแน่นถอดไว้ที่หัวเตียง ซึ่งจุดนี้ ทำให้ตำรวจเริ่มถามว่า คริสกับแชนแน่น มีอะไรทะเลาะกันหรือเปล่า ทำไมเธอถอดแหวนแต่งงานไว้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน บางคนก็อาจจะชอบถอดแหวนก่อนนอน ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
นี่คือเรื่องใหญ่ เพราะเมืองเฟเดริค เป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรประมาณ 8 พันคน ไม่เคยมีเหตุรุนแรงอะไรเกิดขึ้น แต่อยู่ๆมีคนหายตัวไปถึงสามคนพร้อมกัน และไม่มีใครรู้เลยว่าไปไหน
ขณะที่คริสคนเป็นพ่อ อยู่ๆภรรยา และลูกๆหายตัวไป ทำให้เขาว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกว่า คริสไม่เคยรู้สึกอะไรมากขนาดนี้ตั้งแต่เขารู้จักมา
หลังคดีเกิดขึ้น 1 วัน เจ้าหน้าที่ FBI จึงถูกเรียกมาจากหน่วยสืบสวนกลาง เพื่อให้คลี่คลายคดี ซึ่งคนแรกที่ FBI เดินหน้าสอบถามคือสามี คริส นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคดีลักษณะนี้ ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกย่อมต้องเป็นคนในครอบครัวอยู่แล้ว
1
14 สิงหาคม 2018 FBI โทรหาหัวหน้างานของคริสที่บ่อน้ำมัน ว่าวันที่ภรรยาหายตัวไป คริสทำอะไรอยู่ ซึ่งหัวหน้าก็บอกว่าคริสมาทำงานตามปกติ เขาเข้ากะที่เซอร์วี่แรนช์ บ่อน้ำมันที่อยู่กลางทะเลทราย และขลุกอยู่ตรงนั้นทั้งวัน จนเพื่อนของภรรยาโทรมาหา ว่าภรรยาหายไป เขาจึงขอตัวกลับบ้าน
1
ตำรวจโคโลราโด้ แจกใบปลิวกันอย่างเต็มที่ และมีการลงพื้นที่หากันแบบปูพรม ซึ่งเมืองเล็กๆอย่างเฟเดริคแป้บเดียวก็หาทั่วทั้งเมืองแล้ว แต่ก็ไม่เจอร่องรอยทั้งสามคน มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า ทั้งภรรยา และลูกๆ อาจหนีข้ามรัฐกันไปช่วงเช้าหลังคริสไปทำงาน แต่คำถามคือจะไปยังไงล่ะ? รถก็อยู่ในโรงจอด ไม่ได้ขับไปไหน ไม่มีการเรียกแท็กซี่เกิดขึ้น แล้วใครบ้างจะหนีไป โดยไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไป
1
เรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอน เพราะมันไม่มีอะไรปกติเลยสักอย่าง
15 สิงหาคม 2018 หลังทั้ง 3 คน หายตัวไป 2 วัน FBI เรียกคริสมาสอบปากคำ และให้ตรวจโดยเข้าเครื่องจับเท็จ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตอนที่ตำรวจป้อนคำถามเช่น "คุณรู้เห็นเรื่องการหายตัวไปของภรรยาหรือเปล่า" และ "คุณโกหกในคำให้การหรือเปล่า" คริสตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
1
บทสรุปคือคริสไม่ผ่านเครื่องจับเท็จ
1
เมื่อคริสไม่ผ่าน ทำให้คราวนี้ FBI เห็นความผิดปกติอย่างชัดมาก พวกเขาไปสืบค้นข้อความในมือถือของแชนแน่น เจอหลักฐานใน whatsapp ปรากฎว่า มีความห่างเหินกันของสองคน มีข้อความหนึ่งเธอพิมพ์หาแอตกินสันเพื่อนสนิทว่า "ฉันกำลังจะไปทำงานที่ต่างเมือง ฉันจูบเขา แต่เขาไม่จูบกลับ ไม่กอด ไม่จับก้น ไม่ทำอะไรเลย"
1
จากนั้นก็มีอีกข้อความที่ย้อนกลับไปไกลอีกหน่อย แชนแน่น พิมพ์บอกแอตกินสันว่า "ตอนนี้เด็กๆนอนแล้ว ฉันอาบน้ำเตรียมพร้อม คือฉันอยากมีเซ็กส์กับเขาน่ะ และเขาก็รู้ดี แต่เขากลับเลือกจะไปแข่งวิดพื้น แทนที่จะมานั่งคุยกัน หรือมามีเซ็กส์กับฉัน"
คราวนี้เมื่อ FBI พบร่องรอยความห่างเหิน แน่นอนว่าเหตุผลมีไม่มาก ส่วนใหญ่ ก็จะเกิดขึ้นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคนอื่น FBI จึงไปสืบในที่ทำงาน และพบว่า คริส มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว กับพนักงานใหม่ของออฟฟิศ ที่ทั้งสาว ทั้งเด็ก และหุ่นดีมาก ชื่อนิโคล เคสซิงเจอร์
4
คริสถือเป็นคนบุคลิกดี และเขากับนิโคลก็คลิกกันอย่างรวดเร็ว คริสบอกว่าเขามีลูกสาวสองคน แต่กำลังจะเลิกกับภรรยาแล้ว ตอนนี้แยกกันอยู่ (ซึ่งไม่เป็นความจริง) นิโคลก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร เธอเชื่อ แล้วก็แอบคบกันมาเรื่อยๆ ประมาณ 2 เดือน
นิโคลบอกว่า เธอไม่เชื่อว่าคริสจะเป็นคนร้าย เพราะตอนที่ไปเที่ยว และมีเวลาด้วยกัน เขาก็เป็นผู้ชายดีๆคนหนึ่ง เพียงแค่มีปัญหากับภรรยาเท่านั้น
1
ตอนนี้ ความตื่นตะลึงของเนื้อข่าว เข้มข้นมากขึ้น เพราะเอกสารการแพทย์ระบุว่า นอกจากเบลล่า และเซเลสเต้ ลูกสาวทั้งสองคนแล้ว แชนแน่นยังตั้งครรภ์ลูกอีกคนในท้อง ซึ่งมีอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ และเธอได้แอบตั้งชื่อเรียบร้อยแล้ว คือ นิโค ซึ่งเป็นลูกชาย
2
เท่ากับว่าคนที่หายไปไม่ได้มีแค่ 3 ชีวิต แต่มี 4 ชีวิต
FBI จี้ถามคริส 5 ชั่วโมงติดต่อกัน สร้างความบีบคั้นอย่างรุนแรง คือถ้าดูจากการวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้น คนที่จะก่อเหตุฆาตกรรมหรือเอา 3 คนไปซ่อนได้ มีแค่คนเดียวเท่านั้นคือตัวคริสเอง
วิธีที่เป็นไปได้สูงสุด คือคริสเอาทั้งสามคนขึ้นไปรถคันใหญ่ของเขาที่ขับไปทำงาน จากนั้นเอาไปอำพรางศพ หรือไม่ก็เอาไปขังไว้ที่ไหนสักแห่ง
FBI ถามคริสว่า ลูกสาวคุณหายตัวไปสองคน แต่คุณไม่มีน้ำตาสักหยด มันเป็นไปได้ยังไง คริสตอบว่า เพราะผมยังหวังว่าจะได้เจอพวกเขาที่ไหนสักที่ ซึ่งตำรวจไม่ปักใจเชื่อ ถ้าพ่อแม่ปกติลูกหาย ต้องร้องไห้จนเป็นสายเลือดอยู่แล้ว
จากนั้น FBI บอกคริสว่า อย่ามามัวเล่นเกมอยู่เลย คุณก็รู้ดีว่าทั้ง 3 คน ไม่มีวันกลับมาแล้ว เรามาทำให้ทุกอย่างจบลงดีๆเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยื้อ จะช้าหรือเร็วก็ต้องได้คำตอบอยู่ดี ซึ่งถึงจุดนี้ คริสบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว และขอคุยกับคุณพ่อของเขา นั่นคือ รอนนี่ วัตส์
1
รอนนี่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาคุยกับลูกชายได้ และถึงตรงนั้นทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา โดยคริสนั้นระบายความรู้สึกกับพ่อหมดทุกอย่าง โดยตำรวจได้ตั้งกล้องบันทึกเหตุการณ์เอาไว้
คริส บอกว่า หลังจากที่แชนแน่น กลับมาจากแอริโซน่าราวๆ ตี 2 จากนั้นตอนตี 5 ทั้งคู่ได้คุยกัน โดยคริสขอเลิกกับแชนแน่น เพราะในใจมีคนอื่นแล้ว ซึ่งทำให้อารมณ์ของทั้งสองคนมีความรุนแรงมาก คริสเล่าต่อไปว่า แชนแน่น หายออกไปจากห้อง แล้วไปห้องลูกสาวทั้งคู่ จากนั้นฆ่าลูกทั้งสองคนตาย เพราะถ้าสามีกล้าเลิกก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตอย่างมีความสุขจากนี้ไป ซึ่งทำให้คริสน็อตหลุดไปเลย เขาจึงเดินไปบีบคอเธอตายไปอีกคน
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนั้นทำให้มีสามศพที่บ้าน และคริสด้วยความสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอำพรางคดี และทำเป็นเหมือนว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
คำสารภาพจากคริส อย่างน้อยก็ชัดเจนว่า เขามีส่วนกับการฆาตกรรมแน่นอน ไม่ใช่คนที่ไม่รู้เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด
ถึงตรงนี้ ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะดูจากโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ จะเห็นว่าแชนแน่นรักลูกทั้งสองคนมาก คือตัวติดกันตลอด ตรงข้ามกับพ่อ ที่ดูห่างเหินไม่อ่านนิทานให้ฟัง ไม่ยอมเล่นด้วยกัน ดังนั้นคนที่รักลูกมากขนาดนั้น แถมยังมีเด็กในครรภ์อีก จะคิดฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอจริงๆหรือ
1
ครอบครัวของแชนแน่น ไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวของพวกเขาจะทำฆาตกรรม ดังนั้นจึงบอกให้คริสยอมรับความจริงเถอะ ถึงที่สุดแล้ว ยังคิดจะป้ายความผิดให้แชนแน่นอีกหรือไง ถ้ามีความรักเมียและลูกสักเศษเสี้ยว ขอความเป็นลูกผู้ชายครั้งสุดท้าย ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของเธอด้วย
1
และในที่สุด คริส ก็ทนแรงกดดันจากทุกด้านไม่ไหว เขาเล่าถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น
13 สิงหาคม วันเกิดเหตุ แชนแน่นกลับมาจากแอริโซน่าตอนตีสอง เธอกลับมาที่ห้องนอน เริ่มลูบไล้สามีและลงเอยด้วยการมีเซ็กส์กัน แต่พอตี 5 ก่อนคริสจะออกไปทำงาน เขาบอกแชนแน่นตรงๆว่า "เราคงไปกันไม่ได้อีกแล้ว" ซึ่งแชนแน่นตอบโต้กลับมาว่า อ้าวแล้วเมื่อคืนคืออะไร ฉันว่าแล้วว่าคุณมีคนอื่นแน่ๆ
ซึ่งคริสก็ยอมรับว่า ใช่ เขามีคนอื่นแล้ว ถึงจุดนี้ แชนแน่นโมโหมาก เธอสวนคืนมาว่า "คุณจะไม่ได้เจอหน้าลูกๆของเราอีกต่อไป อย่ามาแตะต้องฉัน"
คริสฟิวส์ขาด เขาพลั้งมือบีบคอแชนแน่นจนตาย โดยที่เธอไม่ได้สู้เลยด้วย
เรื่องที่สยองที่สุดเกิดขึ้นตรงนี้ เมื่อลูกสาวคนโต เบลล่า 4 ขวบ ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันจึงเดินเข้ามาที่ห้องพ่อแม่ แล้วเห็นแม่ล้มลงไปบนเตียงคว่ำหน้าไม่ขยับตัว จึงถามว่า "แม่เป็นอะไร"
2
ตอนนั้น คริสเองไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาคือฆาตกรไปแล้ว คริสจึงห่อศพภรรยาด้วยผ้าห่มผืนหนึ่งแล้วอุ้มเอาไปไว้ท้ายรถ ก่อนจะอุ้มลูกสาวสองคนขึ้นรถไปพร้อมกันตอนตี 5
เบลล่า ไม่รู้ว่าแม่ตายแล้ว จึงเขย่าตัวแม่ ถามว่าแม่เป็นอะไร แม่สบายดีไหม ซึ่งคริสก็ตอบกลับไปว่า แม่สบายดี จากนั้นเวลาประมาณตีห้าครึ่ง เขาขับรถไปที่ทะเลทราย ซึ่งตอนนั้นลูกสาวทั้งสองคนหลับอยู่บนรถ คริสอุ้มศพออกมา แล้วขุดดินฝังแชนแน่นเอาไว้ในที่ห่างไกล ซึ่งเป็นจุดที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเจอศพ
1
ตอนนั้นคริสขาดสติไปแล้ว เขาแค่ต้องการหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ ดังนั้นต้องกำจัดคนที่เห็นเหตุการณ์อีกสองคนด้วย นั่นคือเบลล่า และเซเลสเต้ ทั้งหมดเพื่อแต่งเรื่องขึ้นมา ว่าแชนแน่นเป็นคนพาลูกๆไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่งสุดท้าย ถ้าตำรวจตามตัวทั้งสามคนไม่เจอ เขาเองก็จะรอด แถมกลายเป็นคนน่าสงสารที่โดนเมียและลูกทิ้งอีกต่างหาก
1
แต่การฆาตกรรมนั้น เกิดขึ้นปุบปับมาก คริสไม่ได้วางแผนอะไรเลยสักอย่าง ทำให้มีช่องโหว่เต็มไปหมด และระดับ FBI ก็เจอพิรุธได้ง่ายดายมากๆ
หลังจากฝังศพแชนแน่น เขาก็มาคิดว่าทำอย่างไร จะกำจัดเบลล่า กับเซเลสเต้ คริสจึงขับรถไปที่เซอร์วี่แรนช์ บ่อน้ำมันดิบของบริษัท ซึ่งเขาเป็นช่างเครื่องอยู่
จากนั้นเขาก็พาลูกสาวสองคน ขึ้นไปที่แท๊งค์น้ำมันขนาดใหญ่ โดยด้านบนของแท็งค์ จะมีรูเล็กๆ ราว 1 เมตรอยู่ สำหรับเปิดดูตรวจเช็กปริมาณน้ำมันดิบ คริสจับเซเลสเต้ ลูกสาวคนเล็ก โยนลงบ่อน้ำมันดิบทั้งเป็น
เบลล่าถามคริสว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซเลสเต้ คริสไม่ตอบเขาเดินไปจับตัวเบลล่าอีกคน และโยนลงแท็งค์น้ำมันที่สูงราว 20 เมตร โดยก่อนที่เบลล่าจะโดนโยนลงไป เธอพูดว่า "พ่อคะ อย่า" แต่คริสก็ไม่สน เขาโยนเธอลงบ่อน้ำมันอย่างเลือดเย็น ลูกสาวทั้งสองคนวัยกำลังน่ารัก กลายเป็นศพอยู่ที่บ่อน้ำมันดิบ ซึ่งถ้าเขาไม่สารภาพเองก็ไม่มีใครรู้ความจริงที่เกิดขึ้น
2
การพิจารณาคดีของศาลแห่งรัฐโคโลราโด้ เมื่อมีคำสารภาพและหลักฐานที่เด่นชัดทุกอย่าง เจอทุกศพเรียบร้อย จึงได้ข้อสรุปแล้วว่าสิ่งที่คริสบอกตอนหลังสุดคือความจริง เขาฆ่าภรรยา ฆ่าลูกสาวทั้งสองคน และลูกชายวัย 15 สัปดาห์ที่อยู่ในท้องของแชนแน่น
1
แซนดี้ คุณแม่ของแชนแน่น เธอคือคุณยายของเบลล่ากับเซเลสเต้ มีเรื่องอยากกล่าวต่อศาล ในวันสุดท้ายของคดี เมื่อผู้พิพากษาอนุญาต เธอจึงกล่าวว่า "เรารักคุณเหมือนลูกชาย เราเชื่อใจคุณ ภรรยาที่ซื่อสัตย์ของคุณก็เชื่อใจคุณ คุณน่าจะได้เห็นเบลล่าตอนกำลังร้องเพลงว่า คุณพ่อคือฮีโร่ของเธอ ฉันไม่รู้ว่าคุณมีสิทธิ์อะไรที่พรากชีวิตพวกเขาไป แต่อย่างน้อยฉันเชื่อว่าพวกเธอจะได้กลับคืนสู่อ้อมอกของพระเจ้าแล้ว"
ขณะที่ ซินดี้ วัตส์ คุณแม่ของคริส ก็ใจสลายเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าเลี้ยงลูกมาเป็นฆาตกรได้อย่างไร เธอเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เสียใจแทนครอบครัวของแชนแน่นด้วย
ผู้พิพากษามาร์เซโล่ ค็อปคาว กล่าวปิดคดีว่า "ตั้งแต่เขาทำงานมาหลายพันคดีในชีวิต นี่คือคดีที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากที่สุด โทษใดที่ต่ำกว่า โทษสูงสุด ก็ไม่สาสมกับการกระทำที่ร้ายแรงของจำเลย"
ศาลโคโลราโด้นั้นมีโทษประหารอยู่ แต่ครอบครัวของแชนแน่น ไปขอร้องอัยการว่าไม่อยากให้คริสได้รับโทษประหาร เพราะไม่ต้องการให้มีคนตายเพิ่มอีกคน ทำให้โทษของคดีนี้ เป็นการจำคุกตลอดชีวิต 5 รอบ คือไม่มีทางที่เขาจะออกมาดูโลกนอกเรือนจำแน่นอน
ปัจจุบันคริส วัตส์ ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำสำหรับนักโทษร้ายแรง มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ที่รัฐวิสคอนซิน
และจนถึงวันนี้ ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าคริสทำแบบนั้นทำไม ถ้าอยากแยกทางกัน ก็หย่าสิ ไม่เห็นต้องปลิดชีวิตอีกฝ่ายเลย
ตอนผมดูจบ บอกตรงๆว่า จิตตกมาก นอนไม่หลับเลย ตอนนี้ก็ยังไม่หลับ ลองไปหาข้อมูลมา ว่าสารคดีมันแต่งเติมอะไรหรือเปล่า แต่สรุปคือไม่ใช่เลย มันเรื่องจริง ภาพจริง เหตุการณ์จริง ทั้งหมด
3
เริ่มเรื่องมา ผมเห็นใจคริส ในฐานะคนเป็นพ่อ ที่ลูกสาวหายตัวไป เพราะถ้าเมียกับลูกของผมหายไปผมคงเป็นบ้าแน่ๆ แต่แว้บนั้นก็แปลกใจนะ ว่าทำไมไม่ร้องไห้ หรือเดือดร้อนใจอะไร ซึ่งพอความจริงเปิดเผย คือผมรับไม่ได้เลย
ฆ่าภรรยาเป็นเรื่องเลวทราม แต่การฆ่าลูกสาวที่บูชาคุณเหมือนฮีโร่ เพื่อหนีความผิด มันเป็นสิ่งที่สัตว์นรกเท่านั้นที่จะทำ
1
ในใจตอนผมดู ผมภาวนาอย่างเดียวว่า ขอร้อง คริส อย่าฆ่าลูกสาวนะ อย่าฆ่าลูกสาวนะ อย่าฆ่าลูกสาวนะ แต่โลกใบนี้มันโหดร้ายกว่านั้น เขาทำจริงๆ เรื่องแบบนี้ มันไม่น่าเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว
1
ผมเองมีลูกสาว 1 คน ตอนนี้อายุ 1 ขวบ เชื่อไหมครับแค่เขาหกล้มแล้วเบะปากจะร้อง ผมก็ใจสั่นแล้ว ต้องรีบวิ่งไปกอด ให้เขารู้สึกปลอดภัยที่มีเราอยู่ข้างๆ อยากให้เขารู้ว่าถ้าตอนไหนต้องเสียใจยังมีพ่ออยู่ตรงนี้เสมอ
แต่มาเจอพ่อที่ทำร้ายลูกได้แบบนี้ มันไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดอย่างไร พูดไม่ออกเลยสักคำ
ผมเชื่อเสมอ ว่าการเป็นพ่อ ไม่ใช่แค่ทำให้เขาเกิดขึ้นมา แต่เราต้องรับผิดชอบเขาด้วย เมื่อเขาเกิดมาแล้ว เราก็ดูแลและมอบความรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าไม่พร้อมจะมอบจิตวิญญาณ และชีวิตให้เขา อย่าทำให้เขาเกิดขึ้นมาแต่แรก
สำหรับผม ไม่มีวันให้ใครมาทำอะไรลูกผมได้ ซึ่งนั่นรวมถึงตัวผมเองด้วย ถ้าผมคิดจะทำให้ลูกตัวเองมีบาดแผลทางใจหรือทางกาย ผมยอมตายเองดีกว่า
พระเจ้า ดูจบแล้ว ผมรู้สึกว่า ให้ตายเถอะไม่น่าเปิดเรื่องนี้ขึ้นมาดูเลย!
#SHOCK
โฆษณา