4 ต.ค. 2020 เวลา 03:11 • กีฬา
หน้าที่ หรือความมุ่งมั่น สิ่งใดสำคัญกว่าในเกมฟุตบอล มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจในเกมระหว่างเชลซี กับคริสตัล พาเลซ เมื่อผู้เล่นอยากยิงจุดโทษ ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา ประเด็นนี้วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
เมื่อคืนมีดราม่านักเตะแย่งยิงจุดโทษ ในเกมระหว่างเชลซี กับ คริสตัล พาเลซ เรื่องนี้สนุกดี และมันทำให้เราต้องย้อนกลับไปคิดถึง 2 เหตุการณ์ที่คล้ายๆกันในอดีต ที่เคยเกิดขึ้นกับเชลซีมาแล้ว
ก่อนที่จะโยงไปถึงอดีต เราไปพูดถึงสถานการณ์เมื่อคืนก่อน เกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ครึ่งแรกจบที่ 0-0 ก่อนที่เข้าครึ่งหลังเชลซีจะได้ประตู 1-0 จากเบน ชิลเวลล์ซัดด้วยซ้ายเต็มข้อ ตามด้วย 2-0 จากลูกโหม่งของเคิร์ต ซูม่า
จากนั้นนาที 78 เชลซีมาได้จุดโทษ โดยแทมมี่ อับราฮัม เรียกฟาวล์จากไทริค มิตเชลล์ได้ ซึ่งแน่นอน เมื่อในสนามมีจอร์จินโญ่ คนยิงก็ต้องเป็นจอร์จินโญ่ที่ชัวร์สุด ไว้ใจได้มากสุด และจอร์จินโญ่ก็ไม่พลาด หลอกหน้าเท้าให้บิเซนเต้ ไกวต้า พุ่งไปผิดทาง เชลซีนำ 3-0
เกมถึงตรงนี้จริงๆก็จบแล้ว อีกสิบกว่านาที ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆสำหรับพาเลซ จากนั้นเชลซีมาได้จุดโทษอีกลูกในนาทีที่ 82 เมื่อไค ฮาร์แวตซ์ โดนมามาดู ซาโก้สอยข้อเท้า
ดราม่าเกิดขึ้นตรงนี้แหละ เพราะในจังหวะที่กรรมการไมเคิล โอลิเวอร์ เป่าจุดโทษเนี่ยะ จอร์จินโญ่อยู่ในแดนตัวเองเลย ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะเดินเข้ามาถึงลูกบอล นั่นทำให้แทมมี่ อับราฮัม รีบคว้าลูกบอลเอาไว้มากับตัว แล้วจะเอาไปตั้งที่จุดโทษ เราเห็นชัดเจนว่าเขาอยากยิงเอง
การกระทำของอับราฮัมเข้าใจได้ เพราะก่อนแข่ง 1 วัน เป็นวันเกิดอายุครบ 23 ปีของเขา และซีซั่นนี้ เขาก็เพิ่งยิงไปแค่ 1 ลูกเอง ไม่ว่ากองหน้าคนไหนก็อยากสร้างความมั่นใจให้ตัวเองทั้งนั้น
ซีซั่นที่แล้ว 4 เกมแรกของฤดูกาล แทมมี่ ยิงไป 4 ลูก แต่ซีซั่นนี้เขาเพิ่งทำได้แค่ 1 ลูก เหตุผลส่วนหนึ่งที่ยิงได้น้อยลง เพราะเขาไม่ได้ออกสตาร์ตตัวจริงในสองเกมแรก แต่พอเกมที่แล้วกับเวสต์บรอมวิช เขาลงตัวจริงก็ยิงได้ 1 เม็ด ดังนั้นเกมนี้กับพาเลซที่เขาลงตัวจริงอีก ก็อยากยิงให้ได้ต่อเนื่องอีก 1 เม็ด
อับราฮัมคว้าลูกบอลและเดินมาที่จุดโทษ เตรียมตั้งลูกบอลบนจุด ซึ่งจังหวะนั้นเอง ติโม แวร์เนอร์ ก็เดินมาคุยกับอับราฮัม ดูจากภาษากาย เขาพยายามบอกว่า ขอเป็นคนยิงลูกนี้ได้ไหม เพราะแวร์เนอร์ ได้ออกสตาร์ตตัวจริง 4 เกม แต่ยังยิงประตูไม่ได้เลย เขาเองก็ขาดความมั่นใจเช่นกัน
แวร์เนอร์ก็อยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างจากแทมมี่ เพราะปีที่แล้ว 4 เกมแรกของฤดูกาลบุนเดสลีกา ตอนที่เขาเล่นอยู่กับไลป์ซิก เขาซัดไปถึง 5 ประตู แต่พอย้ายมาเชลซี ลงตัวจริงไปแล้วตั้งหลายนัด ยังยิงไม่ได้เลยสักลูก แวร์เนอร์ก็มีความเครียดของตัวเอง และอยากได้ความมั่นใจเช่นกัน
แต่อับราฮัมไม่ยอม เขาเป็นคนถือลูกมาก่อน ทั้งสองคนยังไม่ได้ข้อสรุปว่าใครจะยิง
คนที่เห็นเหตุการณ์ ว่าสองตัวรุกมีการยื้อยุดกัน นั่นคือเซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในฐานะกัปตันทีมเชลซี เขารีบสปรินท์ตัวมาเลย และรีบดึงบอลออกจากมือของอับราฮัมทันที
1
อัซปิลิกวยต้าไม่สนว่าอับราฮัมจะไม่พอใจหรือไม่ เขาเอาลูกบอลยัดใส่มือจอร์จินโญ่ ที่เดินทอดน่องมาแต่ไกล พร้อมทั้งตบหลังจอร์จินโญ่ให้ความมั่นใจหนึ่งที ก่อนที่จะเอามือลากตัวอับราฮัมออกมานอกเขตโทษ
อับราฮัมมีโต้เถียงนิดหน่อย สุดท้ายต้องเดินตามอัซปิลิกวยต้าออกมาอยู่ดี แต่ดูจากสีหน้าก็เห็นชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความเซ็ง เกมก็ขาดแล้วขนาดนี้ แล้วเขาก็เป็นคนเรียกจุดโทษให้ทีมได้ลูกนึงด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นเมื่อวานเป็นวันเกิดเขาอีก ทำไมแค่จุดโทษลูกเดียวถึงยกให้กันไม่ได้
จอร์จินโญ่ ไม่พลาด ยิงด้วยเทคนิคเดิมเข้าประตูไป ให้เชลซีนำขาด 4-0 โดยอับราฮัมก็มาดีใจด้วยแต่ไม่ได้แฮปปี้อะไรสักเท่าไหร่ ดูเหมือนในใจยังมีคำถามอยู่ ซึ่งอัซปิลิกวยต้าก็รับรู้ได้ เขาเดินมาปลอบใจอับราฮัม ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะใจร้ายกับแทมมี่ แต่การให้คนที่เชี่ยวชาญที่สุด ทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นจะเป็นประโยชน์มากกว่า
1
และอีกมุม มันเป็นการเบรกดราม่าด้วย เพราะถ้าให้แทมมี่ยิง แล้วแวร์เนอร์ที่ก็อยากยิงเหมือนกันล่ะ จะว่ายังไง ดังนั้นในสถานการณ์ที่สับสน ยึดความถูกต้องเป็นหลักไว้ก่อน ส่งให้จอร์จินโญ่ที่ได้รับมอบหมายจากโค้ช คือคำตอบที่ใช่ที่สุดแล้ว
สำหรับกรณีนี้ในโลกออนไลน์ก็มีการแบ่งความเห็นเป็นสองฝ่าย ส่วนหนึ่งก็บอกว่า อัซปิลิกวยต้าทำถูกต้องแล้ว นี่คือการแสดงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ยึดกฎเกณฑ์ไว้ก่อน ทีมต้องอยู่ในวินัยและกฎระเบียบที่วางไว้ร่วมกัน
แต่บางคนก็บอกว่า แหม มันก็เกินไปอะไรจะเถรตรงขนาดนั้น ให้แทมมี่ ยิงไปเถอะ เรียกความมั่นใจสักนิดก็ยังดีเป็นของขวัญวันเกิด สกอร์นำห่างแล้ว ต่อให้จอร์จินโญ่ไม่ยิง ทีมก็ชนะอยู่ดี
ในมุมของแฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมเชลซี เขาดูจะเทไปทางสนับสนุนการกระทำของอัซปิลิกวยต้า โดยให้สัมภาษณ์ว่า "เรื่องนี้ เดี๋ยวเราจะมาเคลียร์กันต่อในห้องแต่งตัว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ทีมต้องการนักเตะที่มีความมุ่งมั่นแบบนี้ ผมไม่สนใจหรอก ถ้ามันจะเกิดความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆบ้าง"
"แทมมี่ต้องการจะยิงประตูให้ได้ และผมชื่นชมในความมุ่งมั่นของเขานะ ถ้าวัดจากผลงานในสนามเขาก็สมควรมีประตูจริงๆ แต่เราก็มีกฎของเราอยู่เหมือนกัน นั่นคือ เราจะไม่ละเมิดกฎที่เราตั้งไว้เรื่องคนยิงจุดโทษ ยกเว้นว่าแต่มีใครกำลังจะทำแฮตทริกได้"
เหตุการณ์ที่ผมย้อนนึกไปมี 2 เรื่อง คือประเด็นรอสส์ บาร์คลีย์ ในซีซั่นที่แล้ว กับ เรื่องดราม่าดาวซัลโวของดร็อกบาเมื่อปี 2010
ขอเริ่มที่เรื่องเมื่อปี 2010 ก่อน เหตุการณ์เกิดขึ้น ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2009-10
สถานการณ์ก่อนเกม เชลซีของคาร์โล อันเชล็อตติ มี 83 แต้ม นำเป็นจ่าฝูง ส่วนแมนฯยูไนเต็ดของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมี 82 แต้ม ไล่จี้มาติดๆ
เกมสุดท้ายของเชลซี จะเจอวีแกน แอธเลติกในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ส่วนแมนฯยู จะเจอสโต๊ค ซิตี้ ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด
ใครๆก็เชื่อว่าแมนฯยู ไม่พลาดแน่ พวกเขาชนะสโต๊คในบ้านได้สบายๆ ดังนั้นโจทย์ยากจึงมาอยู่กับเชลซี ถ้าเชลซีหลุดเสมอวีแกนล่ะก็ โอกาสเสียแชมป์มีสูงมากๆ
การลุ้นแชมป์ก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสำคัญของเกมนี้ ยังมีอีกเรื่อง คือเป็นศึกแย่งชิงดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ระหว่างดิดิเยร์ ดร็อกบา กับ เวย์น รูนี่ย์ ที่ยิงได้ 26 ลูกเท่ากันพอดี คือใครซัดเพิ่มมากกว่ากันในเกมสุดท้าย ก็จะกลายเป็นดาวซัลโวของลีกทันที
แน่นอน ดร็อกบาเป็นคนทะเยอทะยานในการไขว่คว้าหาเกียรติยศอยู่แล้ว เขาอยากได้หมดทุกอย่าง ทั้งแชมป์ ทั้งดาวซัลโว
9 พฤษภาคม 2010 ทั้งสองสนามลงแข่งขันพร้อมกัน โดยเชลซีได้ประตูนำอย่างรวดเร็วมาก 1-0 จากนิโกลาส์ อเนลก้า ตั้งแต่นาทีที่ 6 ลดแรงกดดันไปได้มาก แต่วีแกนก็ยังมีการสวนกลับแบบวูบวาบให้เห็น
นาทีที่ 31 แฟรงค์ แลมพาร์ด หลุดเข้าไปในเขตโทษ แต่ก่อนจะง้างเท้ายิงเขาโดนแกรี่ คัลด์เวลล์ กองหลังวีแกนดึงจากด้านหลัง กรรมการชี้เป็นจุดโทษและควักใบแดงไล่คัลด์เวลล์ออกทันที
ณ เวลานั้น ดร็อกบา เดินไปหยิบลูกบอลทันที เขาต้องการเป็นคนสังหารเอง เพราะถ้ายิงได้ เขาจะขึ้นนำรูนี่ย์ในอันดับดาวซัลโว อย่างไรก็ตามแลมพาร์ด "ไม่ให้" เขาจะรับหน้าที่นี้เอง
แลมพาร์ดไม่สนว่าดร็อกบาจะได้ดาวซัลโวหรือไม่ แต่เป้าหมายสำคัญอันดับ 1 คือทีมต้องชนะวีแกนให้ได้ก่อนเพื่อแชมป์พรีเมียร์ลีก ตอนนี้นำอยู่แค่ 1-0 เท่านั้น ดังนั้นจุดโทษลูกนี้ต้องยิงเข้าให้ชัวร์ นั่นทำให้เขายกหน้าที่นี้ให้ดร็อกบาไม่ได้จริงๆ
ดร็อกบาฮึดฮัด และผิดหวังมาก จนฟลอรองต์ มาลูด้า กับซาโลมง กาลู ต้องเข้ามาปลอบ แต่แลมพาร์ดยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ
แลมพาร์ดซัดเปรี้ยงเข้ามุมแบบไม่พลาด เชลซีนำ 2-0 ซึ่งหลังจากยิงได้ เขาวิ่งไปดีใจกับดร็อกบา ซึ่งเห็นชัดว่าสีหน้ายังเซ็งอยู่
เกมหลังจากนั้นด้วยความที่วีแกนเหลือ 10 คน ก็เลยโดนเชลซีถล่มแบบวันเวย์ ซาโลมง กาลู ยิงนำเป็น 3-0, อเนลก้าอีกลูกเป็น 4-0 ก่อนที่ดร็อกบาจะมาโหม่งจ่อๆ ให้ทีมนำ 5-0
ดร็อกบาตอนนี้ ขึ้นนำดาวซัลโวรูนี่ย์ 27 ต่อ 26 ลูก ถือว่าได้เปรียบแล้ว แต่ถ้าอีกสนามรูนี่ย์ ซัดขึ้นมาเม็ดนึงก็ดาวซัลโวร่วมทันที
นาทีที่ 68 แอชลีย์ โคล โอเวอร์แล็ปเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะโดนมาริโอ เมลช็อต สอยจากด้านหลัง กรรมการชี้เป็นจุดโทษทันที ซึ่งมือหนึ่งในการสังหารคือแลมพาร์ด ก็ยังอยู่ในสนาม
คราวนี้ดร็อกบาไม่ได้เดินไปขอยิงอีกแล้ว แต่เขาชะเง้อมองแลมพาร์ดว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก่อนที่แลมพาร์ดจะเข้าใจ ไม่เดินเข้าไปในเขตโทษ ซึ่งแปลว่า เขายกหน้าที่นี้ให้ดร็อกบานั่นเอง เพราะทีมนำ 5-0 ชนะแน่นอน 100% ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะไปขวางการทำสกอร์ของดร็อกบา
ดร็อกบายิงเข้า เขาชี้ขอบคุณแลมพาร์ด ตอนนี้สกอร์ขยับเป็น 6-0 ก่อนที่ดร็อกบาจะยิงได้อีกลูกทำแฮตทริกได้สำเร็จ นำห่าง 7-0 และปิดท้ายที่แอชลีย์ โคล ซัดนาทีสุดท้ายให้เชลซีนำ 8-0 และจบเกมด้วยสกอร์นี้
อีกสนาม แมนฯยูไนเต็ดชนะสโต๊ค 4-0 แต่รูนี่ย์ยิงไม่ได้ เท่ากับว่าจบซีซั่นเชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และดร็อกบาได้ดาวซัลโวด้วยจำนวน 29 ประตู เป็นการปิดซีซั่นที่สมบูรณ์แบบมากๆ
หลังจบเกมดร็อกบาออกมายอมรับว่า แฟรงค์ แลมพาร์ดทำถูกแล้ว ที่ไม่ให้เขายิงจุดโทษลูกนั้น
"ผมผิดหวังที่ไม่ได้ยิงจุดโทษ เพราะเรานำ 1-0 แล้ว และผมก็แค่อยากยิงให้ได้ แต่ผมต้องลืมความผิดหวังให้เร็ว และพยายามเอาตัวเองกลับมาให้ได้ในครึ่งหลัง"
"แต่ผมเข้าใจในการตัดสินใจของแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ไม่ให้ผมยิงในลูกนั้นนะ"
ขณะที่แลมพาร์ดก็ให้สัมภาษณ์ว่า "เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเพราะเขากระหายจะยิงประตูให้ได้ แต่ประเด็นคือผมคือมือหนึ่งในการยิงจุดโทษ และผมทำหน้าที่นี้มาทั้งฤดูกาล ดังนั้นลูกนี้ผมต้องการยิงเพื่อให้เรานำ 2-0"
"หลังจากที่ผมคิดว่าเราอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัยจริงๆแล้ว ผมยินดีที่สุดที่จะให้ดิดิเยร์เป็นคนยิงเพื่อลุ้นดาวซัลโว เราคือทีมเดียวกัน และเขาก็สมควรจะเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีก"
หลังจบเกม มีนักข่าวไปถามคาร์โล อันเชล็อตติ ว่าคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เขาบอกว่า สิ่งที่แลมพาร์ดทำนั้นถูกต้องแล้ว กฎก็ต้องเป็นกฎ มือหนึ่งต้องเป็นคนยิง ยกเว้นแต่มือหนึ่งจะยกให้เอง คนอื่นที่ไม่ได้รับหน้าที่นี้ ห้ามเข้าไปแทรกแซง
"ผมคุยกับดร็อกบาอย่างชัดเจนหลังจบครึ่งแรก" อันเชล็อตติกล่าว
"ผมบอกเขาว่า มันเป็นการตัดสินใจของผมเอง ถ้ามีจุดโทษเกิดขึ้น ให้แลมพาร์ดเป็นคนยิงเท่านั้น ผมเตือนให้เขาตั้งสติให้ดี เพราะเขายังมีเวลาอีก 45 นาทีในครึ่งหลัง ถ้าเขาไม่เสียสมาธิ เขาก็มีโอกาสเป็นดาวซัลโวได้"
นี่คือสิ่งที่แฟรงค์ แลมพาร์ดเรียนรู้จากอันเชล็อตติในวันนั้น คือหน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ คนสังหารจุดโทษก็ควรเป็นคนที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยกเว้นแต่คนที่มีหน้าที่ยิงจะยกให้คนอื่นด้วยตัวเอง ในกรณีพิเศษ
ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นอะไร ก็ไม่ควรเปลี่ยนตัวคนยิง เพราะมันจะเสียระบบกันหมด เดี๋ยวก็มีดราม่า คนนี้อยากยิ่ง คนนั้นอยากยิง ไม่จบสิ้นกันเสียที
ส่วนอีกเหตุการณ์ เกิดขึ้นในซีซั่นที่แล้ว ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่างเชลซี กับ บาเลนเซีย ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยเกมนี้บาเลนเซียนำไปก่อน 1-0 เชลซีกำลังจะแพ้คาบ้าน
ครึ่งหลังนาทีที่ 80 แลมพาร์ดแก้เกม ด้วยการส่งรอสส์ บาร์คลีย์ ลงเล่นแทนมาเตโอ โควาซิช เพื่อเพิ่มพลังในเกมรุก และจากนั้น นาทีที่ 87 พวกเขามาได้จุดโทษ เมื่อกองหลังบาเลนเซียทำแฮนด์บอล
สำหรับลิสต์รายชื่อคนยิงจุดโทษ ณ เวลานั้น ถูกกำหนดเอาไว้คือ ถ้าบาร์คลีย์อยู่ บาร์คลีย์จะเป็นมือหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีบาร์คลีย์ จะเป็นจอร์จินโญ่ และวิลเลียน
แน่นอน เมื่อบาร์คลีย์เป็นมือหนึ่ง เขาก็เดินไปหยิบลูกแล้วเตรียมมายิง แต่ทันใดนั้นทั้งจอร์จินโญ่ และวิลเลียนที่มั่นใจในตัวเองเหมือนกัน ก็เดินมารุม แล้วขอเป็นคนยิงเองในสถานการณ์คับขันแบบนี้
บาร์คลีย์อาจทำได้ดีตอนซ้อม แต่เขาไม่ได้ยิงจุดโทษในเกมทางการมา 3 ปีแล้ว ดังนั้นจอร์จินโญ่ กับวิลเลียน ก็ไม่แน่ใจว่าบาร์คลีย์ที่เพิ่งลงสนามมา 8 นาที จะแบกรับแรงกดดันได้หรือ
สถิติของวิลเลียน ยิงจุดโทษให้เชลซีทั้งหมด 3 ครั้ง เข้าหมด 100% ส่วนจอร์จินโญ่ เพิ่งย้ายมาใหม่ก็จริง แต่เขาก็มั่นใจว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดี
เมื่อวิลเลียน กับจอร์จินโญ่ ไปรุมๆบาร์คลีย์แบบนั้น มันแสดงให้เห็นถึงความไม่เคารพในตัวคนยิงที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ และมันกลายเป็นการโยนความกดดันเพิ่มให้บาร์คลีย์โดยไม่จำเป็นเลย
การยิงจุดโทษท้ายเกม ต้องใช้ความเยือกเย็นมาก แต่กลายเป็นว่าบาร์คลีย์ต้องมาโดนกดดันจากเพื่อนในทีมด้วยกันเอง และสุดท้ายเขายิงพลาด บอลเช็ดคานหลุดกรอบออกไป
หลังจบเกม ก็มีแฟนบอลแสดงความไม่พอใจบาร์คลีย์ ที่น่าจะยกการยิงให้วิลเลียน หรือจอร์จินโญ่ที่ชัวร์กว่า แต่แลมพาร์ดออกมาปกป้องโดยกล่าวว่า "รอสส์ คือมือสังหารของเรา ถ้าเขาอยู่ในสนามเขาจะเป็นคนยิง และเกมนี้เขายิงพลาดไป แค่นั้น"
ในเหตุการณ์บาร์คลีย์ครั้งนั้น แลมพาร์ดเพิ่งมาเป็นโค้ชเชลซีได้ไม่กี่วัน เกมกับบาเลนเซีย เป็นนัดที่ 5 ในการคุมเชลซีของเขาเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงยังไม่มีประสบการณ์ในการดีลกับปัญหาถ้านักเตะอยากแย่งยิงจุดโทษ
แต่หลังจากเกมนั้นเขาก็ได้เรียนรู้ ว่าในการบริหารทีม มันต้องชัดเจน ใครทำหน้าที่อะไรก็ต้องทำตามนั้น ยกเว้นแต่จะมอบหน้าที่ให้คนอื่นด้วยตัวเอง นั่นก็กรณีนึง แต่นักเตะคนอื่นแม้ว่าคุณจะมั่นใจแค่ไหน ก็ไม่ควรเข้ามากดดันหรือแทรกแซงไม่ว่าจะเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
สิ่งที่แลมพาร์ดเคยเห็น ตอนอันเชล็อตติอธิบายดร็อกบาในปี 2010 เขาก็ควรทำแบบนั้นเช่นกัน
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่เมื่อจบเกม แลมพาร์ดจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ยัดลูกบอลใส่มือให้จอร์จินโญ่เป็นคนยิงในเกมกับคริสตัล พาเลซ เมื่อคืนนี้
บทสรุปของเรื่องนี้ ทุกคนก็ได้เรียนรู้กันไป แทมมี่ อับราฮัม แม้จะอยากยิงแต่ก็จะรู้แล้วว่า เมื่อมันไม่ใช่หน้าที่ของเขา ก็ต้องหลีกทางให้กับมือ 1 ของทีม เพราะทุกคนต้องทำหน้าที่ ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย
และในโลกฟุตบอล การมีความมุ่งมั่น มีแพชชั่น เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ในฐานะคนเป็นโค้ช หรือคนเป็นกัปตัน การรักษาระเบียบวินัยของทีมเอาไว้ ไม่ให้เกิดดราม่าที่ไม่จำเป็น ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
#PENALTY
โฆษณา