6 ต.ค. 2020 เวลา 11:11 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
10 หนังห้ามพลาด ทรงคุณค่า การันตรีด้วยรางวัล Oscar!!!
ในแต่ละปีก็จะมีภาพยนตร์ และ นักแสดงมากมาย ที่ได้รับรางวัลจากเวทีทั่วโลก แต่จะมีสักกี่เรื่องที่ได้รางวัลในเวที ที่ได้รับการยอมรับ และ เป็นที่หมายปองของหนังทุกเรื่องอย่าง Oscar ยิ่งไปกว่านั้น รางวัลที่สูงสุดของคนทำหนัง ที่คนทำหนังทุกคนอยากจะมีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รางวัลนั้น นั่นก็คือรางวัล Best Picture หรือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นั่นเอง ซึ่งจะมีภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเพียงเรื่องเดียวต่อปี ที่จะได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อันทรงเกรียตินี้ โดยรางวัล Best Picture จากเวที Oscar นั้น มีมาตั้งแต่ปี 1928 หรือราว ๆ 92 ปีมาแล้ว
แต่ในวันนี้เราจะมาแนะนำหนัง Oscar ในรอบ 30 ปีหลังมานี้ที่ห้ามพลาดโดยเด็ด เพราะคุณจะได้รับประสบการณ์ทางภาพยนตร์ที่ตราตรึงใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ตาม
1. Schindler’s List (1993) : Best Picture 1994
หากจะกล่าวถึงภาพยนตร์สักเรื่องที่ต้องหามาดูให้ได้สักครั้งในชีวิต  คงจะหนีไม่พ้น Schindler’s List (1984) ภาพยนตร์จากวิสัยทัศน์พ่อมดแห่งวงการฮอลลี่วูด Steven Spielberg ที่ทุ่มหัวใจสร้าง ผสมผสานงานทุกรายละเอียดให้ออกมากลมกล่อมชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่ควรละสายตาจากภาพยนตร์เลยสักวินาทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎบนจอภาพยนตร์ล้วนถูกวางแผนและร้อยเรียงมาเพื่อสื่อความหมายอะไรบางอย่าง ภาพยนตร์ขาวดำผิดยุคที่บอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของนาซีที่มีต่อชาวยิวในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่ทว่าประกายไฟเล็ก ๆ ที่เปรียบดั่งความหวังยังคงเหลือรอดมาเป็นสิ่งสุดท้าย ออสการ์ ชิลเลอร์ ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวจากการสังหารหมู่อันบ้าคลั่งกว่า 1,100คน ภาพยนตร์ที่จะตราตรึงใจผู้ชมไปอีกนานเท่านาน
ภาพยนตร์จาก Spielberg ที่ไม่ขอรับค่าตัว เพราะเกรงว่าจะถูกมองว่าทำเงินจากหนังสังหารหมู่ชาวยิว แต่หนังเรื่องนี้ก็แสดงความเป็นมาสเตอร์พีชด้วยการโกยออสการ์ไปถึง 7 รางวัล สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ตัดต่อยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
2. Forrest Gump (1994) : Best Picture 1995
Run Forest Run! คือคำที่ทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้คงยังจำกันได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ Forest gump (Tom Hank) เด็กน้อยผู้เติบโตท่ามกลางผู้คนที่มองเค้าว่าไม่เต็มบาท แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เค้าจะหยุดฝัน ทุกเรื่องราวที่เค้าเผชิญ สอนผู้ชมให้รู้จักถึงความสุขที่แท้จริง แม้วันเวลาจะผ่านมาถึง 26 ปี แต่เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดโดย โรเบิร์ต เซเม็กคิส ไม่เคยถูกมองว่าล้าสมัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกอย่างที่ Gump พยายามจะบอกเรายังคงใช้ได้ดีจนถึงบัดนี้ และเมื่อวันไหนที่คุณท้อกับชีวิต ไม่มีความสุขกับอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น จงนึกถึงสิ่งที่ Gump เคยบอกเราไว้ว่า
“ชีวิตเปรียบเสมือนกล่องช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะเจอกับช็อกโกแลตรสอะไร จนกว่าคุณจะเปิดมัน”
3. Titanic (1997) : Best Picture 1998
ภาพยนตร์สุดคลาสสิคที่สามารถนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กับวรรณกรรมรักโรแมนติกมาบรรจบกันได้อย่างลงตัว จากทัศนของผู้กำกับ Jame Cameron เรื่องราวของ Jack และ Rose ที่ได้มาพบรักกันบนเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมีมา ก่อนที่เราจะรู้ชะตากรรมของเจ้าเรือยักษ์ลำนี้กันดีอยู่แล้ว ภาพยนตร์ทำออกมาได้ลงตัวในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ ดนตรี หรือ การสื่อความรักที่ทั้งสองมีให้กันจนวาระสุดท้าย การันตรีความยอดเยี่ยมนี้ด้วยอันดับ 1 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลหลายปีซ้อน โดยปัจจุบันภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงอยู่ที่อันดับ 3 เป็นรองแค่ Avatar จากฝีมือผู้กำกับคนเดียวกัน และ Avenger Endgame ของสองพี่น้อง Russo
4. Gladiator (2000) : Best Picture 2001
ภาพยนตร์สุดยอดหนังประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่สมชื่อ ผู้กำกับ Ridrey Scott ที่ถ่ายทอดออกมาได้ ทรงพลัง แต่ในขณะเดียวกันก็พริ้วไหวงดงาม พร้อมทั้งนักแสดงมากฝีมืออย่าง Russell Crowe และ Joaquin Phoenix  ที่จะมาประชันบทบาทกันในภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของ แม็กซิมัส นายพลแห่งกองทัพโรมัน ผู้รุ่งโรจน์ ที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนฆ่าจักรพรรดิโดยเจ้าชายผู้กระหายอำนาจ และ หยิ่งผยอง แม็กซิมัส ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ทว่าเค้าก็หนีออกมาได้ เค้ากลับไปหาครอบครัวและพบว่าทุกคนถูกฆ่าตายหมดแล้ว ก่อนเค้าจะถูกจับเป็นทาสขายให้ นายจ้างคนหนึ่งซึ่งสะสมนักรบ Gladiator ไว้มากมาย แม็กซิมัส ถูกยัดอาวุธใส่มือ เพื่อที่จะลงไปเอาชีวิตรอดในสนาม Gladiator
5. A Beautiful Mind (2001) : Best Picture 2002
1
ภาพยนตร์ Base on True Stoy เรื่องนี้อิงจากชีวิตจริงของ John Nash (Russel Crowe) นักคณิตศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอเมริกัน ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องทฤษฎีเกม, เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ และสมการเชิงอนุพันธ์แบบแบ่งส่วน แต่ทว่าชีวิตกลับไม่ได้ราบเรียบขนาดนั้น เมื่อเค้าต้องเข้าไปพัวพันกับองค์กรลับของรัฐบาล และต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้กลมกล่อมในทุกองค์ประกอบ จนแทบเหมือนจะรวมหนังทุกแนวไว้ในเรื่องเดียวกัน โดยที่บทสรุปของเรื่องจะสอนให้พวกเราทุกคน ไม่ยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิต ภาพยนตร์กำกับโดย Ron Howard จาก Han Solo : a Star War Story  (2018)
6. No Country For Old man (2007) : Best Picture 2008
อีก 1 เรื่องที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ด้วยฝีมือการแสดงชั้นครูจาก Javier Bardem ที่ต้องมารับบทเป็นคนโรคจิตและทำออกมาได้ดีการันตรีโดย Oscar สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม หนังพาเราไปดูชีวิตของนายอำเภอชรา Ed Tom Bell ( Tommy Lee Jones) ที่ต้องมาทำคดีฆาตกรรมหมู่ของแก็งค์ค้ายา ก่อนที่จะพบว่าเงินที่เป็นข้อตกลงในการค้ายาถูกขโมยไปโดย Llewelyn Moss (Josh Brolin) ชายบ้านนอกที่พบกับเงินโดยบังเอิญ ก่อนเรื่องราวจะอีลุงตุงนัง ทั้งการไล่ล่าจาก Anton Chigurh (Javier Bardem) ที่ต้องการเงินก้อนนั้น และการไล่ล่าจากฝ่ายตำรวจ ก่อนที่นายอำเภอเฒ่าจะพบว่า เค้าทำได้เพียงตามเช็ดตามล้างเท่านั้น หนังทำออกมาได้ลุ้นระทึก ตื่นเต้น และ ขนลุกขนพอง ไปในเวลาเดียวกัน โดยไม่มีดนตรีแม้แต่ฉากเดียว ภาพยนตร์ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยสองพี่น้อง Joell และ Ethan Coel
7. Slumdog Millionaire (2008) : Best Picture 2009
เรื่องราวของ จามาล มาริค ( Dave Patel )เด็กหนุ่มวัย 18 จากสลัมมุมไบ ผู้ตัดสินใจออกตามล่าหาฝันในรายการทีวี Who Wants To Be A Millionaire หรือเกมเศรษฐีบ้านเรานั่นแหละ จามาล ตอบคำถามมาจนถึงรางวัลแจ็คพ็อต ที่มีเงินรางวัลสูงถึง 20  ล้านรูปี ในระหว่างช่วงพักก่อนจะถ่ายทำต่อคำถามสุดท้าย พิธีกรก็เกิดสงสัยว่า จามาล โกงเกมโชว์ เพราะพื้นเพของเค้า บวกกับหน้าตาที่ดูฉลาดน้อย จึงให้ตำรวจมาจับเค้าไปเค้นความจริง จามาล ถูกทรมานต่าง ๆ นานา และเค้าก็คายกุญแจแห่งคำตอบออกมา นั่นก็คือชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนยากลำบาก สะท้อนมุมมองสังคม ของประเทศที่กำลังพัฒนา การแบ่งชนชั้นวรรณะ แต่เรื่องราวที่ดูเคร่งเครียดนี้ หนังกลับสื่อออกมาได้ผ่อนคลาย และ ไม่ตึงอารมณ์ผู้ชมมากเกินไป ทำให้เราได้เห็นโลกความเป็นจริงในอีกหลาย ๆ มุม ซึ่งมันสอนเราได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อินเดียจำกัดโรงฉาย ม้ามืด ที่มาพลุแตกจากรางวัลออสการ์ และ คำวิจารณ์ที่ให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน จนคนทั่วโลกต้องพากันไปดูในโรงภาพยนตร์
8. The King's Speech (2010) : Best Picture 2011
อีก 1 ภาพยนตร์ Base on Truestory จากชีวิตจริงของกษัติร์ย George ที่ 5 ของราชวงค์อังกฤษ ผู้เกิดมาพร้อมความผิดปกติที่ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างการ "พูดติดอ่าง" แต่เมื่อเป็นกษัติร์ย ปัญหานี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ทั้งการพูดสุนทรพจน์ต่อหน้าคนเป็นพัน ๆ การพูดปลุกใจทหารในสงคราม ทำให้ King George V ได้พบกับ Lionel นักบำบัดอาการพูดส่วนพระองค์  ที่นำไปสู่มิตรภาพระหว่างชนชั้นกษัตริย์ และ สามัญชน รวมทั้งการต่อสู้กับตัวเอง การลดทิฐิของกษัตริย์ ภาพยนตร์นำแสดงโดย Colin Firth, Helena Bonham Carter, Geoffrey Rush และกำกับโดย Tom Hooper
9. Birdman (2014) : Best Picture 2015
หากจะกล่าวถึงหนัง One Cut (ถ่ายต่อเนื่องไม่ตัด) ดี ๆ สักเรื่อง คงจะไม่พูดถึง Birdman (2014) ไม่ได้แน่ ๆ เพราะการใช้ One Cut ของเรื่องนี้ไม่ได้มาแบบเอาเท่อย่างเดียว และใครที่เห็นหน้าหนังแล้วนึกว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ก็ต้องบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ดราม่าหนัก ๆ ที่บอกเล่าชีวิตของ Riggan (Michale Keaton) นักแสดง ที่เคยรับบทเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ยอดฮิตของยุคนึง แต่เมื่อแก่ตัวต้องหันมาเอาดีทางละครเวที ในขณะที่ความหอมหวานของความสำเร็จในอดีต คอยตามหลอกหลอนเค้ามาตลอด ถ่ายทอดโดย Alejandro G. Iñárritu ผู้กำกับสายรางวัลจาก The revernant (2015)
10. Spotlight (2015) : Best Picture 2016
ปิดท้ายกันด้วย Spotlight ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากปี 2016 ที่ว่าด้วยเรื่องของทีมข่าวชื่อเดียวกับภาพยนตร์ ที่ต้องการจะตีแพร่เรื่องราวฉาว ๆ ของคริสต์จักร ที่ถือว่าเป็นสถาบันที่เรืองอำนาจ และ มีอิทธิพลของอเมริกา การต่อสู้ของทีม Spotlight เพื่อจะเรียกร้องความเป็นธรรมจึงไม่ง่าย เมื่อทุกคนที่มีส่วนรู้เห็นในเมืองต่างพากันปิดปากเงียบ เพราะกลัวจะเดือดร้อนถึงตัวเอง ภาพยนตร์สะท้อนชีวิตของคนข่าวออกมาในแบบที่เต็มไปด้วยความกดดัน ความเร่งรีบ และแสดงให้เห็นว่าสื่อมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกมากแค่ไหน ถ้าสื่อนั้นยึดมั่นในอุดมการณ์ ภาพยนตร์กำกับโดย Tom McChathy พร้อมทัพนักแสดงมากฝีมือ อาทิ Michale Keaton, Rachel McAdams, Mark Ruffalo, Liev Schreiber, John Slattery, Stanley Tucci, Brian d'Arcy James
นอกจากนี้ก็ยังมีภาพยนตร์ Oscar ในรอบ 30 ปี ที่ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ และ ทรงคุณค่า เหมาะแก่การหามารับชมกันให้ได้สักครั้ง โดยมีกันครบทุกรส ครบทุกอารมณ์ และ รับรองได้ว่าคุณจะได้แรงบันดาลใจ และ ประสบการ์ณคุณภาพในการชมภาพยนตร์อย่างแน่นอน
2020 - "Parasite"
2019 - "Green Book"
2018 - "The Shape of Water"
2017 - "Moonlight"
2016 - "Spotlight"
2015 - "Birdman"
2014 - "12 Years a Slave"
2013 - "Argo"
2012 - "The Artist"
2011 - "The King's Speech"
2010 - "The Hurt Locker"
2009 - "Slumdog Millionaire"
2008 - "No Country for Old Men"
2007 - "The Departed"
2006 - "Crash"
2005 - "Million Dollar Baby"
2004 - "The Lord of the Rings: The Return of the King"
2003 - "Chicago"
2002 - "A Beautiful Mind"
2001 - "Gladiator"
2000 - "American Beauty"
1999 - "Shakespeare in Love"
1998 - "Titanic"
1997 - "The English Patient"
1996 - "Braveheart"
1995 - "Forrest Gump"
1994 - "Schindler’s List"
1993 - "Unforgiven"
1992 - "The Silence of the Lambs"
1991 - "Dances With Wolves"
1990 - "Driving Miss Daisy"
ที่สำคัญ ในการสร้างภาพยนตร์แต่ละเรื่องนั้น คนทำหนังจำเป็นต้องทุ่มเท่แรงกาย แรงใจ ความคิด รวมถึงทุนทรัพย์  กว่าจะออกมาเป็นภาพยนตร์ดี ๆ ซักเรื่องให้เราได้ชมกัน เพราะฉะนั้นควรสนับสนุนภาพยนตร์ลิขสิทธิ์แท้กันด้วยนะครับ
แหล่งที่มา // https://m.imdb.com/chart/bestpicture/
โฆษณา