๒๙ ภัตตานุโมทนากถา ๑
(ทานที่ให้ผลมาก)
๙ พฤษภาคม ๒๔๙๗
นโม ...
โภชนํ ภิกฺขเว ททมาโน ทายโก ...
หลวงพ่อวัดปากน้ำแสดง "ภัตตานุโมทนากถา” ให้แก่ทานบดี พร้อมวงศาคณาญาติ เนื่องด้วยสายโลหิต (สาโลหิตา) และเนื่องด้วยความคุ้นเคย (วิสฺสาสา ปรมา ญาตี) ซึ่งถือเป็นญาติอย่างยิ่ง ในโอกาสที่มาบริจาคทานแก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา และได้ชื่อว่าถวายทาน แด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหน ?
พระรัตนตรัยอยู่ที่กลางกาย ตรงสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย เหมือนเราขึงด้ายเส้นหนึ่งให้ตึงตรงกลางที่จรดกัน เรียกว่า กลางกั๊ก ตรงกลางกั๊ก เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้ว เรียกศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เข้าถึงได้ ด้วยการเอาใจหยุดนิ่งตรงนี้
“ที่เขาว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ พระก็อยู่ในใจ พอใจหยุดนิ่งก็เข้ากลางของใจที่หยุดนิ่ง กลางของกลาง กลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนนอกในไม่ไปทีเดียว กลางของกลาง ๆ ๆ หนักเข้า พอหยุดถูกส่วนเข้าเท่านั้น จะเห็นทางที่จะเข้าไปถึงกายละเอียดเป็นชั้น ๆ เข้าไปถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ถ้ารู้จักเสียจะระลึกถึงพระรัตนตรัยได้ถูกต้อง”
เมื่อเอาใจหยุดอยู่ที่ตรงศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ก็เข้ากลางของใจที่หยุดนิ่ง เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ตามลำดับ จนกระทั่งถึงกายมนุษย์ละเอียดที่เป็นกายฝัน
เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ฝันได้ทั้งตื่น ๆ เราก็จะฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะเรารู้เรื่องต่าง ๆ ได้ละเอียดกว่าจากกายมนุษย์ละเอียด ตรวจดูได้ทั้งกลางวันกลางคืน แต่จะเข้าถึงพระรัตนตรัย ต้องเข้าไปอีก ๙ กาย
เอาใจมนุษย์ละเอียดหยุดนิ่งที่กลางดวงธรรม ครบ ๖ ดวงเข้าถึงกายทิพย์ แล้วเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียดถึงกายที่ ๙ กายธรรมโคตรภู คือ “พุทธรัตนะ”
“พุทธรัตนะ” มีเกตุดอกบัวตูม ที่สร้างรูปพระปฏิมากรในโบสถ์ ส่วนกายเนื้อของพระศาสดาไม่มีเกตุเป็นเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป (แต่ได้ลักษณะมหาบุรุษ)
ครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูไปเฝ้าพระบรมศาสดา ก็ต้องไปถามโกมารภัจจ์ว่า พระบรมศาสดาองค์ไหน แม้พระสาวกบางองค์ก็คล้ายพระองค์ เช่น พระอานนท์พุทธอนุชา พระกัจจายนะ ก่อนจะนิมิตกายของท่าน
"กายมนุษย์เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องเป็นธรรมกาย”
พระองค์ทรงรับสั่งว่า "ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ" เราตถาคต คือ ธรรมกาย
ในพระสุตตันตปิฎก วางตำราไว้ว่า :-
เอตํ โข วาเสฏฐา ฯ ดูก่อนวาเสฏฐโคตรทั้งหลาย ธรรมกายนั้นเป็นตถาคตโดยแท้
กายธรรม (กายที่ ๙) เป็น“ พุทธรัตนะ”
ดวงธรรมรัตนะ ก็อยู่ในกลางพุทธรัตนะ เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกาย กลมรอบตัวใสเกินใส ได้ชื่อว่า “ธรรมรัตนะ”
ธรรมกายละเอียดในกลางดวงธรรมรัตนะ หน้าตัก ๕ วา ใสขึ้นอีก เรียก “สังฆรัตนะ” เป็นกายที่ ๑๐ ออกจากภพไป
นอกจากนั้น กายพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ มีเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่โคตรภูไปถึงพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา พระอรหัต ต่างก็มีดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายเหมือนกัน มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ แบบเดียวกัน
เจ้าภาพผู้บริจาคทานวันนี้ ได้ชื่อว่า ทำวัตตกิริยา คือ รักษาและให้กำลังแก่ศาสนาพุทธ เพราะพระภิกษุ สามเณร อยู่ได้เพราะอาหาร อิ่มเดียวมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ความฉลาดไปได้ ๗ วัน และถือเป็นทานอันเลิศ เพราะได้ถวายถูกทักขิไณยบุคคล เข้าถึงธรรมกาย ๑๕๐ ชีวิต
ทักขิไณยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับทาน ผู้ใดได้บริจาคทานย่อมได้บุญกุศลยิ่งใหญ่เหลือประมาณมี ๙ จำพวก เรียงลำดับจากชั้นสูงสุด คือ
๑. พระอรหัตตผล
๒. พระอรหัตตมรรค
๓. พระอนาคามิผล
๔. พระอนาคามิมรรค
๕. พระสกทาคามิผล
๖. พระสกทาคามิมรรค
๗. พระโสดาปัตติผล
๘. พระโสดาปัตติมรรค
๙. โคตรภูบุคคล
บุญกุศลของเจ้าภาพ ติดอยู่ที่กลางศูนย์กลางที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสเท่าฟองไข่แดงไก่ กลางดวงกายมนุษย์ติดกับดวงบุญอีกดวงหนึ่งของกายมนุษย์ละเอียด กลางดวงกายทิพย์ - กายทิพย์ละเอียดก็ติดกันทั้งนั้น จนถึงกายอรหัต - กายอรหัตละเอียดนับอสงไขยกายไม่ถ้วน
"บุญบริจาคเพียงครั้งเดียวนี้ ติดเป็นดวง ๆ ไปขนาด ๑,๐๐๐ วา พระนิพพาน
เมื่อเจ้าภาพได้ถวายทานขาดจากใจ เป็นสิทธิ์ของผู้รับ ผู้รับจะใช้อย่างไรก็ใช้ได้ เพราะเป็นสิทธิ์ของตน แล้วขณะใดขณะนั้น ปุญญาภิสันธา บุญไหลมาติดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ของเจ้าภาพ ใสบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินทีเดียว เหมือนสวิตช์ไฟฟ้าวูบเดียว ไฟก็ติด ฉะนั้น"
บุคคลทำบุญได้อย่างนี้ เวลามีทุกข์ภัยให้นึกถึงดวงบุญเท่านั้น ดังเช่น พระพุทธเจ้าเมื่อใกล้ตรัสรู้ ต้องผจญมารเพียงลำพัง จึงทรงระลึกถึงบารมีที่ได้ทำไว้ แม่พระธรณีจึงปรากฎมา รูดน้ำจากมวยผมที่พระองค์ทรงเคยหลั่งเหนือพื้นปฐพี เป็นทะเลท่วมทับพญามาร
ในพระบาลีกล่าวไว้ว่า การให้โภชนาหาร ได้ชื่อว่าให้ฐานะ ๕ ประการแก่ปฏิคาหก คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ผู้ให้ย่อมได้ฐานะอันเป็นที่ปรารถนานั้นด้วย
อานิสงส์แห่งทานตอบสนองไปทุกภพทุกชาติ ด้วยฐานะ ๕ ประการ มากน้อยตามลำดับ นับแต่ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน ผู้ไม่มีศีล ผู้มีศีล
ทานย่อมให้ผลสูงสุด หากให้แก่บุคคลที่ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ มีศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗ ตั้งแต่พระโสดาบัน โสดาปัตติมรรค จนถึงถวายแด่พระพุทธเจ้า
“คนที่ได้พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อยู่ในตัวแจ่มเสมอนั่น เรียกว่า บุคคลผู้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ บุคคลชนิดนั้นย่อมไม่กระทำบาปกรรม เพราะกลัวบาปกรรมเป็นที่สุด เราให้อาหารอิ่มเดียว อานิสงส์ ๕ ประการ ตามสนองมากยิ่งขึ้นไปเป็นทวีคูณตลอดทุกภพทุกชาติ นับชาติไม่ถ้วนทีเดียว”
ทานในพระสูตรมี ๑๐ ประการ คือ ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ เครื่องทัดทรง อาสนะ และโคมประทีป
ทานในพระวินัยมี ๔ คือ จีวร อาหารบิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช
ทานในพระปรมัตถ์มี ๖ คือ ปล่อยอารมณ์ความยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันเป็นทานอันยิ่งใหญ่ ทางไปแห่งพระนิพพาน
เจ้าภาพวันนี้ได้ถวายทานครบทั้ง ๓ ประเภท คือ
ถวายอาหารอันประณีตแก่พระภิกษุ สามเณร ผู้มีธรรมกาย เป็นทานในพระสูตรและพระวินัย สละความหวงแหนยินดีในทรัพย์ให้ขาดจากใจ เป็นทานพระปรมัตถ์ ทางแห่งมรรคผลนิพพาน เปรียบเหมือนนายอินทร์ชาวนาได้ถวายทานเพียงอิ่มเดียวแก่พระอนุรุทธเถระ ตายไปอยู่ดาวดึงส์ สมบัติยังมากกว่าอังกุระ มหาเศรษฐีที่บริจาคทานตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี ด้วยทรัพย์อันนับประมาณไม่ได้ เพราะอังกุระถวายทานนอกพระพุทธศาสนา
“วันนี้เจ้าภาพได้บริจาคทานในพระพุทธศาสนา มีทักขิไณยบุคคล ผู้มีธรรมกายถึง ๑๕๐ เศษ ผลทานนี้ย่อมให้วิบากสมบัติอันยิ่งใหญ่ไพศาล เป็นเอนกอนันต์หาประมาณมิได้”
"เมื่อได้มาบริจาคทานสมเจตนาอย่างนี้แล้ว จะเป็นคนอนาถายากแค้นต่อไปในภพหน้านั้นเป็นอันไม่ต้องหวัง แต่ถ้าบุญวาสนาที่อบรมสั่งสมไว้ดี ได้พบพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งเข้า ก็จะได้เป็นศาสนูปถัมภ์ของพระบรมศาสดา พระองค์ก็จะได้ทรงโปรดให้ได้สำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา”
ประเทศไทยมีชาติ ศาสนา ๒ อย่างนี้เป็นหลัก เมื่อได้บำรุงพุทธศาสนาก็ได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา
เจ้าภาพจึงพึงเอาใจจรดที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ถูกดวงบุญพอดีเอาใจหยุดตรงนั้น จะเกิดกุศลอันไพศาลเข้าถึงพระรัตนตรัย
อ้างอิงจาก หนังสือสาระสำคัญ พระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๑๐๐ - ๑๐๓
โฆษณา