มาตาฮารี สุดยอดจารชนคนน่ารักผู้มีชีวิตตื่นเต้นโลดโผน
มาตา ฮารี (Mata Hari) หรือ มาร์กาเรท เกอร์ทรูด เซลเล (Margarethe Geertruida Zalle) นางแบบและนักเต้นที่โด่งดังไปทั่วทั้งยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยการศึกษาท่าทางการร่ายรำศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู และดัดแปลงจนกลายมาเป็นแบบฉบับของตัวเอง ทำให้การแสดงของเธอถูกพูดถึงในแง่ของความมีเสน่ห์เย้ายวนและลึกลับและน่าหลงใหล และจากความโด่งดังของเธอนั้นเอง ทำให้เธอสนิทสนมและมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่เป็นชนชั้นสูงในสังคมมากมายทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร ข้าราชการ นักการเมือง
ถ้าจะนับเจมส์บอนด์ 007 เป็นสุดยอดสายลับฝ่ายชาย "มาตาฮารี" ก็ต้องเป็นสุดยอดสายลับฝ่ายหญิง ซ้ำยังเหนือกว่า เจมส์ บอนด์หลายเท่า เพราะชีวิตโลดโผนเก่งเกินคน เจมส์ บอนด์นั้นมาจากบทประพันธ์ของเอียน เฟลมมิ่ง แต่ผลงานทุกชิ้นของมาตาฮารีถูกขีดเขียนด้วยตัวเธอเอง ทำให้เธอได้ชื่อว่าเป็นยอดสายลับที่น่ากลัวที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยสถิติล้วงความลับทางทหารไปถึง 1,700 ชิ้น โดยมีเพียงใบหน้าสวยเฉี่ยวกับเสน่ห์ร้อนแรงเป็นอาวุธชื่อเดิมของมาตาฮารีคือ มาร์กาเรท เกอร์ทรูด เซลเล เธอเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1876 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
เด็กหญิงมาร์คารีตา เจลเลอ ถือกำเนิดในครอบครัวชาวดัชต์ที่มีฐานะ แต่ต่อมาพ่อของเธอล้มละลายและแม่ก็ตายจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ชีวิตวัยเยาว์ของเธอต้องยากลำบาก ชีวิตของมาร์กาเรทเวียนว่ายอยู่ในเกมกามแห่งความรักตั้งแต่แตกเนื้อสาว อายุเพียง 18 ปี เธอก็มีข่าวชู้สาวคาวสวาทกับครูใหญ่ในโรงเรียนตัวเอง จนต้องเลิกเรียนกลางคัน จากนั้นมาร์กาเรทก็ไปคว้ารูดอล์ฟ แม็คลีออด นายทหารแห่งกองทัพฮอลันดามาเป็นสามี เธอลองเสี่ยงแต่งงานกับนายทหารชาวดัชต์ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ โดยต้องเดินทางข้ามโลกไปอยู่กินกับเขาที่เกาะชวาของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ในยุคนั้น
รูดอล์ฟนั้นแก่กว่าเมียเด็กถึง 20 ปี ในยามข้าวใหม่ปลามัน เขาจึงหลงใหลมาร์กาเรทหัวปักหัวปำ ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง สองปีต่อมารูดอล์ฟก็ย้ายไปทำงานในค่ายทหารที่เกาะชวา มาร์กาเรทคลอดลูกสาวอีกคนหนึ่งที่นั่น แต่ความสุขของเธออยู่ได้เพียงไม่นาน รูดอล์ฟก็เริ่มออกลายเจ้าชู้ขี้เมา เห็นเมียเป็นกระสอบทราย ส่วนมาร์กาเรทเองก็ใช่ย่อย ความร้อนแรงบวกเสน่ห์แพรวพราวของเธอทำเอาทหารทั้งค่ายแทบจะตีกันตาย ทั้งสาวเจ้าก็ขยันเล่นชู้เปลี่ยนคู่ควงมิได้หยุด ความสัมพันธ์ของเธอกับรูดอล์ฟจึงกลายเป็นรักระหว่างรบ มีแต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันไม่เว้นแต่ละวันจุดแตกหักมาถึงเมื่อลูกชายของทั้งคู่ถูกคนพื้นเมืองวางยาพิษตาย สองผัวเมียจึงเปิดศึกน้ำลายโทษกันไปมา และจบด้วยการเลิกรากัน เธอกล่าวหาว่าสามีชอบใช้ความรุนแรงและยังนำโรคซิฟิลิสมาติดเธออีกด้วย หลังจากที่มีลูกกัน 2 คน เธอตัดสินใจแยกทางกับสามีและเดินทางไปกรุงปารีสคนเดียวในปี 1905 มาร์กาเรทยกลูกสาวให้สามีไป ส่วนตัวเธอนั้นเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปารีสซึ่งเป็นเมืองแห่งแสงสีในยุคนั้น มาตา ฮารี สร้างเรื่องโฆษณาตนเองโดยอ้างว่ามีเชื้อสายชาวอินโดนีเซีย และเป็นลูกของนักเต้นบูชาเทพในวิหารศาสนาฮินดู ต้องเต้นเปลือยในพิธีกรรมทางศาสนามาแต่อายุยังน้อย และเป็นที่มาของลีลาท่าเต้นประหลาดน่าพิศวงซึ่งที่จริงเธอคิดขึ้นเอง ชาวยุโรปในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมตะวันออกดีนัก ต่างพากันหลงเชื่อและตื่นเต้นฮือฮาในตัวเธอกันอย่างมากไหนๆ ก็จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งที มาร์กาเรทจึงถือโอกาสเปลี่ยนชื่อเสียเลย เธอตั้งชื่อให้ตัวเองว่ามาตาฮารี หมายถึง ดวงตาแห่งรุ่งอรุณ และยึดอาชีพนักเต้นระบำเลี้ยงตัว การเต้นของเธอสร้างความฮือฮาไปทั่วกรุงปารีส เพราะในขณะที่นางระบำคนอื่นเขาร่ายรำกันด้วยศิลปะอันนุ่มนวล มาตาฮารีก็แหวกแนวด้วยการเต้นไปเปลื้องผ้าไป มือไม้ก็ลูบไล้ร่างกายตัวเองไปพลางส่งเสียงร้องครางกระเส่ายั่วยวน เล่นเอาคนดูแทบหัวใจจะวายกับการแสดงอันเด็ดดวงที่ไม่มีนางระบำคนไหนกล้าทำมาก่อนมาตาฮารีตระเวนแสดงไปทั่วยุโรป และขายบัตรเข้าชมในราคาสูงลิ่ว มีเพียงคนชั้นสูง นายทหารรัสเซีย ข้าราชการรัฐบาลฝรั่งเศส ทหารสเปนและอังกฤษที่เงินหนาเท่านั้นที่จะเข้ามาดูได้ เมื่อลูกค้ายอมทุ่มทุนขนาดนี้ มาตาฮารีจึงมีโปรโมชั่นพิเศษแถมให้ ด้วยการตามไปโชว์ลีลาระบำภาคพิสดารต่อถึงบนเตียง ทำให้เธอคุ้นเคยกับคนสำคัญของเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษเป็นอย่างดี
ชีวิตในช่วงนี้เป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเธออย่างแท้จริง มาตาฮารีสำเริงสำราญอยู่ท่ามกลางแสงสี เงินทอง และคำชื่นชม จนถึงปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ระเบิดขึ้น นักระบำส่วนใหญ่พากันตกงานเป็นทิวแถว มีเพียงมาตาฮารีเท่านั้นที่ยังงานชุก เดินทางขึ้นล่องยุโรปเป็นว่าเล่น จนทางการอังกฤษเริ่มสงสัยว่าเธออาจจะรับจ๊อบเป็นสายลับ คอยเจาะข่าวให้เยอรมันเสียมากกว่า อังกฤษจึงส่งข่าวไปถึงฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติพันธมิตร ให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของมาตาฮารีตลอดเวลา พร้อมกันนั้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับเธอออกมาหลายกระแส บ้างก็ว่าที่เธอเป็นสายลับให้เยอรมันเพราะเคยทำความผิดคดีอาญา จึ งต้องทำงานแลกกับการไม่ต้องติดคุก บ้างก็ว่า เธอถูกส่งไปเข้าโรงเรียนฝึกหัดจารชนที่เบลเยี่ยม เพื่อให้เรียนทุกอย่างที่สายลับพึงรู้ ตั้งแต่การเขียนรหัสสื่อสาร ถอดโค้ด และสร้างเครือข่ายสื่อสารต่างๆ โดยมีรหัสประจำตัวเป็นหมายเลขเอช 21 (H21) ตลอดเวลาที่ข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่นายทหาร มาตาฮารีกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนอื่นเขาโกลาหลเพราะเธอมากแค่ไหน เพราะขณะนั้นสาวเจ้ากำลังหน้ามืดตามัวอยู่กับวลาดิเมียร์ เดอมัสลอฟ หรือวาดิม ทหารร้อยเอกแห่งกองทัพรัสเซีย หนุ่มน้อยวัย 21 คนนี้เป็นรักแท้รักเดียวในชีวิตของมาตาฮารี แต่ก็เป็นชายที่สร้างความเสียใจให้กับเธอไม่ต่างจากคนอื่นที่ผ่านมา วาดิมเป็นพวกรายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง ครั้นพอเงินหมดก็จะมาแบมือขอจากมาตาฮารี เธอจึงต้องมองหาอาชีพใหม่ๆ เพื่อปั๊มเงินไว้ให้คนรักผลาญเล่น ด้วยเหตุนี้เมื่อยอร์ช ลาดูส นายทหารฝรั่งเศสมาติดต่อให้มาตาฮารีเป็นสายลับให้กับฝรั่งเศสด้วยค่าจ้างก้อนโต เธอจึงตกลงทันที
ฝีมือการสืบข่าวของเธอฉกาจฉกรรจ์กินขาดนักสืบรุ่นเก่าๆ ในยุคนั้นทุกคน เพราะขณะที่สายลับคนอื่นต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเอาชีวิตเข้าแลกเสี่ยงหาข่าว มาตาฮารีกลับใช้วิธีนอนสืบ โดยมีเตียงและความสวยเป็นอาวุธ ทำให้เธอได้ข่าวที่เป็นความลับสุดยอดจริงๆ มานับไม่ถ้วน จนกลายเป็นตำนานยอดจารชนของโลก ตอนแรกยอร์ช ลาดูส พอใจในฝีมือล้วงลูกแบบคลุกวงในของมาตาฮารีมาก แต่ต่อมาเขาก็พบว่าก่อนที่ข่าวแต่ละชิ้นจะมาถึงมือเขา มาตาฮารีต้องบอกกับวาดิม คนรักชาวรัสเซียของเธอก่อนเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าวาดิมต้องรายงานไปยังกองทัพรัสเซียด้วย ยอร์ช ลาดูส จึงเบี้ยวไม่ส่งเงินและความช่วยเหลือให้มาตาฮารีอีก ทั้งยังแกล้งให้เธอถูกจับไปในข้อหาเป็นจารชน กว่าสาวเจ้าจะรอดตัวรอดมาได้ก็เรียกว่าหืดขึ้นคอ เธอจึงหมดศรัทธาในรัฐบาลฝรั่งเศสและหันไปขายข่าวให้กับชาติอื่นบ้าง ทั้งอังกฤษ เยอรมัน รัสเซีย สเปน แล้วแต่ว่าใครจะรับซื้อ โดยไม่สนใจว่าลูกค้าของเธอล้วนแต่เป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่ เรื่องนี้เป็นชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้มาตาฮารีกลายเป็นตัวอันตรายของนานาชาติไปโดยปริยายในปี 1917 ชีวิตสายลับหญิงของมาตาฮารีก็สิ้นสุดลง เมื่อหน่วยสืบราชการลับฝรั่งเศสสามารถถอดรหัสข้อความที่ถูกส่งไปถึงอาร์โนลด์ แคลเล่ ทหารเรือชาวเยอรมัน ซึ่งเชื่อว่าติดต่อกับมาตาฮารีได้
"เอช 21 แจ้งว่ามารี โบนาปาร์ต เจ้าหญิงแห่งกรีก กำลังใช้ความสัมพันะอันลึกซึ้งของเธอกับบริอังต์ (อริสทีด บริอังต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสในขณะนั้น) เพื่อให้เขาสนับสนุนพระสวามีของพระนาง"
พอเห็นหลักฐานตำตา ฝรั่งเศสก็ตะครุบตัวมาตาฮารีทันที ในข้อหาขายความลับฝรั่งเศสให้กับรัฐบาลเยอรมัน อีกทั้งยอร์ช ลาดูสยังหักหลังเธอซ้ำสองด้วยการเปิดโปงว่ามาตาฮารีก็คือสายลับรหัส เอช 21 นั่นเอง มาตาฮารีถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำแซงเลซาร์เป็นเวลานานก่อนจะขึ้นศาลทหาร โดยมีอัยการพันเอกปิแอร์ บูชาดอน เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง ตอนแรกเธอพยายามปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นสายลับ และเงินก้อนใหญ่ในบัญชีธนาคารของเธอมาจากการขายตัวล้วนๆ แต่ทว่าหลังจากที่พยายามติดต่อคนใหญ่คนโตที่รู้จัก กลับถูกบอกปัดอย่างไม่แยแส มาตาฮารีก็คงพอจะเดาจุดจบของตัวเองได้ สุดท้ายเธอจึงยอมรับว่าเป็นจารชนจริงๆ
เธอเล่าว่าในคืนหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ปี 1916 ขณะที่อยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม โครเมอร์ ทูตจากเยอรมันได้มาติดต่อจ้างเธอเป็นสปาย โดยสัญญาจะจ่ายเงินให้ถึง 20,000 ฟรังก์ ขณะนั้นมาตาฮารีกำลังถังแตกสุดๆ เพราะถูกยอร์ช ลาดูส เบี้ยวไม่ส่งเงินค่าจ้างมาให้ เธอจึงรับข้อเสนอของทางเยอรมันโดยไม่เสียเวลาคิด และเธอก็ทำงานคุ้มค่าจ้าง เพราะสามารถส่งข่าวไปให้เยอรมันถึง 1,700 ครั้งชนัเลิศทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ เกินหน้านักสืบในประวัติศาสตร์ทุกคน
จนในต้นปี 1917 เธอถูกจับกุม และตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาเป็นจารชนหรือสายลับที่ล้วงความลับทางการทหารต่างๆให้กับทั้ง 2 ฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือฝ่ายมหาอำนาจกลางและฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด
มาตาฮารีถูกส่งไปขังยังคุกหญิงแซงเลซาร์ ในกรุงปารีส นานถึง 7 เดือน ก่อนจะถูกยิงเป้าเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1917 ความตรอมตรม หวาดหวั่น สิ้นหวัง ทำให้สาวงามที่เคยเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วยุโรป เดินขึ้นสู่ลานประหารในสภาพหญิงวัยกลางคนอ้วนฉุ ไม่เหลือเค้าความสวยงามในอดีตอีกเลย แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งลายนางเสือร้าย ก่อนจะถูกยิงเป้า มาตาฮารีร้องขอผู้คุมว่าอย่าใช้ผ้าปิดตาหรือมัดเธอกับเสาเหมือนนักโทษทั่วไป เพราะเธอต้องการตายอย่างกล้าหาญสมศักดิ์ศรี นาทีที่พลทหารกำลังจะลั่นไกปืน มาตาฮารีก็โปรยยิ้มและส่งจูบให้นักแม่นปืนและเจ้าหน้าที่ที่คุมการประหารทุกคน จากนั้นเสียงปืนชุดหนึ่งก็ดังขึ้น ร่างของจารชนหญิงที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดลอยไป เหลือไว้เพียงตำนานของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเขย่าโลกในฐานะสายลับหลายหน้า และเหยื่อที่หลงเข้าไปในวังวนของเกมการเมืองเท่านั้น