12 ต.ค. 2020 เวลา 17:03 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ถ้าหากว่ามีระเบิดนิวเคลียร์ลงตรงใจกลางมหานคร จะมีผู้คนล้มตายกันมากเท่าใด?
หลังจากงานเฉลิมฉลองวันก่อตั้งพรรคคนงาน (Worker's Party) ของเกาหลีเหนือเมื่อสองวันก่อน หนึ่งในภาพข่าวที่สร้างความกังวลและตื่นตกใจให้กับเหล่านักวิเคราะห์ทางทหารทั่วโลกนั่นก็คือการปรากฎตัวของขีปนาวุธข้ามทวีปตัวใหม่ของเกาหลีเหนือ
โดยเจ้าขีปนาวุธ Hwasong-16 นั้นยังไม่เคยเปิดตัวงานไหนมาก่อนแถมมันยังมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นพี่อย่าง Hwasong-14 และ 15 อีกด้วย
ซึ่งทำให้เหล่านักวิเคราะห์คาดกันว่ามันอาจมีพิสัยยิงไกลจนสามารถโจมตีได้ทุกเมืองในอเมริกา และแน่นอนว่ามันน่าจะติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ด้วย
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเหล่าชาติตะวันตกยังจะต้องมานั่งกลัวเจ้าขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์อยู่อีก เทคโนโลยีโบราณจากยุคสงครามเย็นเนี่ยนะ
ใช่ครับ มันอาจจะดูโบราณแต่ถ้ามันหลุดรอดการป้องกันมาแค่ลูกเดียว ย้ำว่าแค่ลูกเดียวลงมา ณ ใจกลางมหานครเป้าหมายนั้น มันจะสร้างความหายนะได้ขนาดไหนเราลองมาดูกัน
ในคลิปด้านบนเป็นการจำลองการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ใจกลางเมืองที่มีประชาการประมาณ 4 ล้านคน เพื่อดูว่ามันจะสังหารผู้คนและสร้างความเสียหายได้มากขนาดไหนกัน
โดยในแบบจำลองนี้จะเป็นการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ขนาด 800 กิโลตัน ซึ่งจะมีความรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิมาประมาณ 100 เท่า ซึ่งเป็นขนาดมาตราฐานของหัวรบนิวเคลียร์ในปัจจุบัน
สำหรับการจุดระเบิดนั้นโดยทั่วไปจะถูกตั้งค่าไว้ให้ระเบิดที่ความสูงประมาณ 500 เมตรจากพื้นเพื่อเพิ่มอำนาจการทำลายล้างสูงสุด
ซึ่งในวินาทีแรกของการระเบิดปฎิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์แบบลูกโซ่จะปลดปล่อยพลังงานมหาศาลในเสี้ยววินาที
เกิดเป็นลูกไฟร้อนกว่าดวงอาทิตย์รัศมีขนาดประมาณ 800 เมตร เผาทุกสิ่งที่อยู่ในวงกลมนี้ให้ระเหยกลายเป็นไอ
ตามมาด้วยคลื่นกระแทกของการขยายตัวของแก๊สร้อนอย่างเฉียบพลันผสมกับพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากปฎิกิริยานิวเคลียร์
ซึ่งคลื่นกระแทกนี้จะอัดทำลายสิ่งก่อสร้างในรัศมี 2 กิโลเมตรจากใจกลางการระเบิดให้ราบเป็นหน้ากลอง
ประมาณว่า 98% ของประชากรในรัศมี 2 กิโลเมตรนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตที่ 98% ซึ่งเมื่อประเมินจากความหนาแน่นประชากรแล้วจะเป็นยอดผู้เสียชีวิตกว่า 120,000 คน
ห่างออกมาในรัศมี 11 กิโลเมตรจากการระเบิด การประเมินยอดผู้เสียชีวิตจะเริ่มมีความซับซ้อน
โดยคลื่นความร้อนจากลูกไฟนี้ยังมีความรุนแรงมากพอที่จะเผาคุณทั้งเป็น จุดให้เสื้อผ้าลุกไหม้ได้ถ้าหากอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งที่ได้รับแสงและความร้อนจากลูกไฟยักษ์
ซึ่งถ้าหากโชคดีคุณอยู่ในเงาตีกซึ่งช่วยบังคลื่นความร้อนที่จะเผาทั้งเป็น คุณก็อาจจะมีโอกาสรอด
แต่นั้นก็แค่อาจจะรอด เพราะยังมีโอกาสเสียชีวิตจากซากปรักหักพังที่ลอยละลิ่วมาจากศูนย์กลางการระเบิดหล่นกระแทกใส่ตัวอาคาร สิ่งของและบ้านเรือน
ประมาณว่าในระยะ 2 ถึง 11 กิโลเมตรนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน รังสี การถูกซากปรักหักพังทับจนเสียชีวิต อยู่ที่ประมาณ 50% ของจำนวนประชากร
นั่นก็คือจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตในบริเวณนี้อีกกว่า 5 แสนคน ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เสียชีวิตทันทีหลังการระเบิด แต่จะเสียชีวิตจากพิษรังสีภายใน 1 สัปดาห์ของการระเบิด
พ้นระยะ 11 กิโลเมตรออกไป อัตราการเสียชีวิตจะลดต่ำลงมากโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากพิษรังสีในระยะยาว จากฝุ่นสารกัมมันตรังสีที่พัดพาออกไปไกลจากศูนย์กลางการระเบิด
ซึ่งประมาณยอดผู้เสียชีวิตนั้นอาจจะ 1 แสนคนหรืออาจสูงถึง 1 ล้านคน แต่ตัวเลขส่วนนี้ประมาณการให้แม่นยำได้ยาก
ทำให้ในเมืองที่ผู้คนอยู่กว่า 4 ล้านคนนี้ ต้องมีผู้คนล้มตายอย่างน้อยกว่า 720,000 คน พื้นที่ 2 กิโลเมตรจากใจกลางการระเบิดถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง และกลายเป็นพื้นที่รกร้างอยู่อาศัยไม่ได้หรือที่เรียกว่า nuclear wasteland
นั่นทำให้เห็นได้ว่าทำไม่ถึงไม่เคยมีชาติใดคิดจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เลย เพราะการทำสงครามที่ผ่านมานั้นแต่ละชาติมุ่งช่วงชิงและยึดครองทรัพยากรและดินแดนของคู่ขัดแย้ง
แต่สงครามนิวเคลียร์นั้นมันจะไม่เหลืออะไรให้ทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ มีแต่ผืนดินรกร้างไร้ชีวิตไว้ให้ได้เฉลิมฉลองชัยชนะเท่านั้น
และจึงเป็นที่มาของความพยายามรวมถึงข้อตกลงในการลดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ที่เริ่มมาตั้งแต่ก่อนสิ้นสุดสงครามเย็น
แต่ปัจจุบันแม้ขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์นั้นจะมีจำนวนลดน้อยลง แต่ก็ยังมีบางประเทศ เช่น อิหร่าน และเกาหลีเหนือที่ต้องการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอาจสั่นคลอนความมั่นคงของโลกได้
รวมถึงภัยร้ายตัวใหม่อย่าง ขีปนาวุธร่อนความเร็วสูงที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้
โดยเจ้า Hyper sonic missile ขีปนาวุธร่อนความเร็วสูงยิ่งยวดนี้มีความเร็วสูงถึงอย่างน้อย 5 เท่าของความเร็วเสียง และสามารถทำการบินในเพดานบินต่ำและสามารถบังคับทิศทางให้บินร่อนสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
ในปัจจุบันหลายชาติต่างเร่งพัฒนาเพื่อที่จะได้ครอบครองและมีไว้ซึ่งเทคโนโลยีนี้
ซึ่งไม่เหมือนกับขีปนาวุธข้ามทวีปเมื่อก่อนที่ต้องยิงขึ้นไปสูงจากพื้นมาก ๆ ออกไปนอกชั้นบรรยากาศก่อนที่จะพุ่งกลับเข้าหาเป้าหมาย ซึ่งทำให้ประเทศเป้าหมายสามารถตรวจจับได้ด้วยเรดาห์เมื่อมันยังอยู่ห่างจากเป้าหมายและเตรียมการรับมือได้
แต่ Hyper sonic missile นั้นใช้การบินร่อนระดับต่ำ แต่บินร่อนด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าหาเป้าหมายจากระดับเพดานบินที่ต่ำทำให้ระยะการตรวจจับด้วยเรดาห์นั้นสั้นกว่ามาก จนประเทศเป้าหมายแทบไม่มีเวลาเหลือเพื่อการรับมือ
จะเห็นได้ว่าอาวุธนิวเคลียร์นั้นก็ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติและรับมือได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อใดก็ตามที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกถูกนำมาใช้ในสงคราม นั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดอารยธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 😔

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา