12 ต.ค. 2020 เวลา 16:14 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ความรู้สึกหลังจากได้ดู American Murder : The Family Next Door ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีอะไรอยู่ในหัวเต็มไปหมด สับสน วุ่นวาย ไม่เข้าใจ อาจจะเป็นการที่ลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบทบาทของการเป็นคริส คนที่ฆ่าภรรยา และลูก และพ่อของคริสในการที่ต้องรู้ว่าลูกตัวเองฆ่าลูกตัวเอง
จริงๆหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างกับโลกปัจจุบันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง ความคิด การกระทำ เดี๋ยวเราลองไปนั่งไล่ดูกันทีละข้อว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
1. การมีคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด การที่หมดรักกับคนที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี การที่หัวใจไม่เต้นแรงกับใครคนเดิมอีกแล้ว แต่คุณต้องยอมรับและหาวิธีที่จะอยู่หรือแก้มันไปให้ได้ เราไม่มีสิทธิที่จะไปพรากชีวิตใคร แม้ว่าเค้าคนนั้นจะทำให้คุณรู้สึกกดดันหรือดูด้อยค่าเพียงไหน ถ้ามันึงทางตัน การเดินจากออกมา อาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด
2. จากข้อแรก แต่การคิดไปมีคนอื่น ขณะที่ยังมีคนที่บ้านรอคุณอยู่ ในช่วงแรกๆคุณจะรู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง ความรู้สึกจะเหมือนกับขึ้นรถไฟเหาะ แต่เมื่อใดก็ตามที่ทางบ้านระแคะระคาย ความสนุกจะหายไป ความวุ่นวายจะเข้ามาแทนที่ คุณจะต้องโกหกจนคุณจะจำไม่ได้ว่าคุณโกหกอะไรไป และเชื่อเถอะว่า เหนือกว่าเครื่องจับเท็จ มันคือมียคุณนั่นแหละที่จะรู้ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าจะพูดหรือไม่
3. จริงๆในเรื่องนี้ผมกลับชอบ พ่อของคริส ตอนที่เข้ามาพยายามกล่อมคริสเพื่อให้สารภาพ เราลองนึกว่าเราเป็นพ่อคริสสิ หัวใจเค้าจะสลายเพียงไหน ที่ต้องมาคุยกับลูกในวันที่รู้ว่าลูกเรากำลังเป็นฆาตกร ฆ่าเมียและลูกของตัวเอง พ่อของคริสเป็นนักฟังที่ดีมาก และถามคำถามแบบที่ทำให้คริสยอมรับสารภาพออกไป วินาทีที่หัวใจพ่อสลาย แต่ก็ต้องยอมรับความความจริง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆของคนที่เป็นพ่อ
4. อันนี้เดาไปม่ถูกว่าอะไรดลใจให้คริส ฆ่า ลูกทั้งสองที่แสนจะน่ารัก ผมพยายามเอาตัวเข้าไปนั่งในความคิด ว่าตอนนั้นเราจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร กับเด็กสองคน แต่ก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงแรงบันดาลใจในการทำ การฆ่าภรรยา อาจจะเกิดจากอะไรหลายๆอย่าง แต่การฆ่าเด็กน้อยสองคนนั้น ยังไม่สามารถเข้าใจได้
5. การให้อภัย หรือว่าเรื่องนี้ ทาง ผกก ต้องการสื่อให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรมา การให้อภัยคือสิ่งที่สังคมต้องการ ประโยคที่แม่ของแชนแนนได้บอกว่า ไม่มีใครมีสิทธิ์พรากชีวิตใครคนใดคนนึงได้ ตัวเค้าเองก็ไม่สิทธิ์ที่จะพรากชีวิตใครได้เช่นกัน
6. ลูกก็ยังคงเป็นลูกวันยังค่ำ วันที่คริสกำลังถูกพิจารณา และแม่ของคริสได้ขึ้นมาพูดด้วยเสียงร่ำไห้ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สายใยรักที่พ่อแม่มีให้ลุกนั้นยังไม่เสื่อมคลาย เรื่องนี้จะสอนให้เราทุกคนว่า บนโลกนี้ไม่มีใครรักเรา เท่ากับท่านทั้งสองอีกต่อไปแล้ว
สุดท้าย กระแสสังคมในโลกออนไลน์ แบ่งออกเป็นสองส่วน ไม่ว่าจะสนับสนุนแชนแนน หรือสนับสนุนคริส ทางผมก็ให้เป็นเรื่องของพวกเค้าที่เราจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่สุดท้ายแล้ว ความคิด และการกระทำจะทำให้เราไปในสิ่งที่เราได้ตัดสินใจ ขออุทิศบทความนี้ให้กับ แชนแนนและลูกๆทั้งสองของเธอด้วย
โฆษณา