14 ต.ค. 2020 เวลา 22:12 • ไลฟ์สไตล์
EP.22 ที่นี่มีความรู้เรื่องอโรม่าและ Skincare
เมื่อเช้าผมไปถ่ายคลิปสัมภาษณ์แบรนด์มา หลายคำถามที่คนสัมภาษณ์ถามมาทำให้นึกถึงที่ไปและที่มาก่อนจะมาเป็น Brand AKALIKO
ผมเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวมาถึงวันนี้ประมาณ 21 ปี (ปลายปี 2542-2563) คลุกคลีอยู่กับเรื่องทำไมคนต้องซื้อสินค้าเรา ซึ่งยิ่งคิดยิ่งยาก ยิ่งคิดยิ่งลึก ในแง่การตลาดเพื่อให้ขายสินค้าได้มันก็เรื่องนึง แต่การทำสินค้า Aroma และ Skincare ออกขายในระบบค้าปลีก มันกระทบถึงบุคคลที่สาม รวมถึงกระทบถึงคุณภาพชีวิตคนใช้ สิบกว่าปีที่ทำสินค้ามาเรียนรู้ว่า คนส่วนใหญ่ในโลกซื้อสินค้าเหล่านี้กันที่ชื่อเสียง, ราคา, กลิ่นและสรรพคุณ เรื่องเหล่านี้ถ้ามองเป็นประเด็น คนทำแบรนด์ต้องลงลึกในทุกเรื่องเลยนะนอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ซึ่งในเมืองไทยคงหนีไม่พ้นหน่วยงานอาหารและยา (อย.)
อย.บ้านเราใช้ Benchmark ของยุโรปมาเป็นตัวตั้งต้นในการกำหนดเกณฑ์ แต่ไม่ได้ยกมาแบบทั้งหมด ยังคงมีการปรับใช้บ้าง เรียนรู้บ้าง จับเคสผู้ขอมาเป็น Case study บ้าง ในบางเรื่อง อย.บ้านเราก็ไม่มีแนวทางที่ใช่เพื่อที่จะบอกผู้ประกอบการ ยังไม่รวมถึงพื้นความรู้ของผู้เชี่ยวชาญในอย. ที่เห็นชัดๆเช่น เคยมีเคสที่ผมมองว่าไร้สาระระหว่างบริษัทกับอย. เมื่อสองปีก่อน ตอนที่อย.กำหนดให้ผู้ประกอบการจดแจ้งอย.ใหม่ มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหารายละเอียดในสาระของส่วนผสมและวัตถุดิบ เรายื่นจดแจ้ง Skincare ทั้ง Lotion, Hand cream, Body oil กลิ่นมะลิใหม่ทั้งหมด ยื่นเอกสารเดิมทั้งหมดครบถ้วน ปรากฏว่าทางอย.พิจารณาแล้วไม่ผ่านครับ มีข้อโต้แย้งว่าให้เราเปลี่ยนชื่อ น้ำหอมที่เราใส่ (เป็น fine fragrance นำเข้าจาก Switzerland) ชื่อน้ำหอมคือ Mali Extra แต่อย.ขอร้องให้เปลี่ยนชื่อเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องสื่อความหมายว่า Jasmine ในที่สุดเราต้อง Request ให้ Supplier ต้นทางออกเอกสารเปลี่ยนชื่อน้ำหอม เพื่อยื่นอย. ส่วนตัวผมเองผมว่าเคสนี้ไร้สาระมาก แต่ในฐานะผู้ประกอบการทำได้แค่เพียงทำตามความประสงค์ของหน่วยงานรัฐ หรือจนท.อย.ตามด่านศุลกากรก็มีความเห็นที่ไม่มาตรฐานในลักษณะ Case by case สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง ในขณะที่กรมศุลกากรต้องการภาษีนำเข้าที่มากกว่าที่ระบุไว้ใน พิกัด ซึ่งชี้แบบคลุมเครือว่า การนำเข้าวัตถุดิบชนิดไหนมาเพื่อจำหน่ายหรือเป็นส่วนผสมในสินค้าเสียภาษีไม่เท่ากัน ผมว่า อย.ที่บอกใครๆในประเทศว่าเป็น อย. 4.0 แล้วให้ผู้ประกอบการเดินตาม ยังต้องเดินอีกไกลนะครับกว่าจะไปถึง อยากให้ผู้บริหารประเทศกำหนดนโยบายที่ใช่ (ผมเข้าใจว่ายากและซับซ้อน) เพื่อเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการและคนที่เกี่ยวข้องยอมรับได้ คนที่เป็นเอสเอ็มอีเวลาต้องดิวกับอย.แบบไม่มีความคุ้นเคยนี่ เข็นครกขึ้นภูเขาเลยนะครับ
ในขณะที่บ้านเราใช้ European FDA Benchmark ในโลกเรายังมีอีกหลายเกณฑ์ที่สูงกว่า European เช่น JFDA (Japan FDA), KFDA (South Korean FDA), CFDA (China FDA), USFDA (United State FDA) ที่กล่าวมานี่หินๆทั้งสิ้น เพราะรัฐบาลในประเทศเหล่านี้ถือคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็น Priority
AKALIKO เคยส่งสินค้าไปขายที่เกาหลีใต้ ประเทศที่มีสินค้าส่งออกสำคัญคือ Cosmetic และ Skincare กฏเกณฑ์การตรวจสอบตลอดจนมาตรฐานเข้มงวดมาก ทำให้เราต้องปรับสูตรสินค้าเพื่อขอยื่นใหม่ ง่ายๆแค่เรื่องสีในผลิตภัณฑ์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หรือแม้กระทั่งจีนห้ามใช้ Tar color ในสินค้า Cosmetic & Skincare #ในขณะที่บ้านเรากลับละเลยเรื่องเหล่านี้ (Tar คือน้ำมันดิน หาอ่านได้ในวิกิพีเดีย) หรือ Paraben (วัตถุกันเสียที่ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีนห้ามใช้ เพราะเป็นสารที่ก็ให้เกิดมะเร็ง) แต่บ้านเรายังใช้กันเป็นเรื่องปกติ ส่วนใครอยากจะไม่ใส่ Paraben ก็ไม่ได้ห้าม
ในแง่ของแบรนด์แล้ว เราเลิกใช้ Harmful chemical มาได้ 8 ปีแล้วโดยพยายามปรับสูตร หลักๆเกิดจากการเรียนรู้จากตลาดส่งออกว่า ทำไมประเทศนั้น ประเทศนี้ห้ามใช้ ค้นลึกลงไปถึงข้อถกเถียงทางวิชาการ รวมถึงแนวคิดของกฏเกณฑ์ และเพราะการที่เราพยายามไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งไว้ว่า "ถ้ามันดีและไม่เหนือบ่ากว่าแรง เรายินดีเปลี่ยนไปสู่จุดที่ดีกว่า" กระทั่งวันนี้อะไรที่เราเปลี่ยนมันกลายเป็น Core ของธุรกิจไปแล้ว ทั้งในเรื่องของ Natural ingredients และความเป็น Green บนบรรจุภัณฑ์
ที่ร่ายยาวมาเพราะชีวิตคนไทยเปลี่ยนไปตามการใช้ชีวิตของคนต่างชาติ สาวไทยทั้งนักศึกษา, พนักงานออฟฟิศและคนทำงานส่วนใหญ่ใช้ Hand cream ในชีวิตประจำวัน การเกิดสินค้าที่ชื่อ Hand cream เกิดจากไอเดียของคนญี่ปุ่นที่ Segmentation สินค้ามาเพื่อใช้กับประเทศตัวเอง เพราะการใช้ครีมข้นๆหนืดๆทำให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก คนญี่ปุ่นใช้ Hand cream กับทุกช่วงวัยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และ AKALIKO เป็นแบรนด์ไทยแรกๆที่ผลิต Hand & Nail cream ออกจำหน่ายเกือบสิบปีมาแล้ว ซึ่งถือเป็นการควบสรรพคุณของการให้ความชุ่มชื้นจากบำรุงมือและเล็บรวมถึงการป้องกันจมูกเล็บฉีก ปลอดภัยจากการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดไปกับอาหาร เพราะคนเรามักจะชอบหยิบอาหารด้วยมือเพื่อรับประทาน เพราะเราคำนึงถึง คุณภาพชีวิตของผู้ใช้ และต้องไม่ทำร้ายตัวเองในระยะยาว
AKALIKO
Thai Spa since 2003
โฆษณา