อย.บ้านเราใช้ Benchmark ของยุโรปมาเป็นตัวตั้งต้นในการกำหนดเกณฑ์ แต่ไม่ได้ยกมาแบบทั้งหมด ยังคงมีการปรับใช้บ้าง เรียนรู้บ้าง จับเคสผู้ขอมาเป็น Case study บ้าง ในบางเรื่อง อย.บ้านเราก็ไม่มีแนวทางที่ใช่เพื่อที่จะบอกผู้ประกอบการ ยังไม่รวมถึงพื้นความรู้ของผู้เชี่ยวชาญในอย. ที่เห็นชัดๆเช่น เคยมีเคสที่ผมมองว่าไร้สาระระหว่างบริษัทกับอย. เมื่อสองปีก่อน ตอนที่อย.กำหนดให้ผู้ประกอบการจดแจ้งอย.ใหม่ มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหารายละเอียดในสาระของส่วนผสมและวัตถุดิบ เรายื่นจดแจ้ง Skincare ทั้ง Lotion, Hand cream, Body oil กลิ่นมะลิใหม่ทั้งหมด ยื่นเอกสารเดิมทั้งหมดครบถ้วน ปรากฏว่าทางอย.พิจารณาแล้วไม่ผ่านครับ มีข้อโต้แย้งว่าให้เราเปลี่ยนชื่อ น้ำหอมที่เราใส่ (เป็น fine fragrance นำเข้าจาก Switzerland) ชื่อน้ำหอมคือ Mali Extra แต่อย.ขอร้องให้เปลี่ยนชื่อเป็นอะไรก็ได้ที่ต้องสื่อความหมายว่า Jasmine ในที่สุดเราต้อง Request ให้ Supplier ต้นทางออกเอกสารเปลี่ยนชื่อน้ำหอม เพื่อยื่นอย. ส่วนตัวผมเองผมว่าเคสนี้ไร้สาระมาก แต่ในฐานะผู้ประกอบการทำได้แค่เพียงทำตามความประสงค์ของหน่วยงานรัฐ หรือจนท.อย.ตามด่านศุลกากรก็มีความเห็นที่ไม่มาตรฐานในลักษณะ Case by case สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง ในขณะที่กรมศุลกากรต้องการภาษีนำเข้าที่มากกว่าที่ระบุไว้ใน พิกัด ซึ่งชี้แบบคลุมเครือว่า การนำเข้าวัตถุดิบชนิดไหนมาเพื่อจำหน่ายหรือเป็นส่วนผสมในสินค้าเสียภาษีไม่เท่ากัน ผมว่า อย.ที่บอกใครๆในประเทศว่าเป็น อย. 4.0 แล้วให้ผู้ประกอบการเดินตาม ยังต้องเดินอีกไกลนะครับกว่าจะไปถึง อยากให้ผู้บริหารประเทศกำหนดนโยบายที่ใช่ (ผมเข้าใจว่ายากและซับซ้อน) เพื่อเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการและคนที่เกี่ยวข้องยอมรับได้ คนที่เป็นเอสเอ็มอีเวลาต้องดิวกับอย.แบบไม่มีความคุ้นเคยนี่ เข็นครกขึ้นภูเขาเลยนะครับ
ในขณะที่บ้านเราใช้ European FDA Benchmark ในโลกเรายังมีอีกหลายเกณฑ์ที่สูงกว่า European เช่น JFDA (Japan FDA), KFDA (South Korean FDA), CFDA (China FDA), USFDA (United State FDA) ที่กล่าวมานี่หินๆทั้งสิ้น เพราะรัฐบาลในประเทศเหล่านี้ถือคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็น Priority