15 ต.ค. 2020 เวลา 13:28 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
THE POLITICIAN : นักกวนเมือง
(SEASON 2)
(REVIEW)
ซีรีส์ชุดแนวการเมืองที่ถูกผสมผสานกับชีวิตวัยรุ่นของ เพย์ตัน โฮบาร์ต เด็กหนุ่มผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ และความทะเยอทะยานที่เหลือล้น ผลงานการสร้างสรรค์ของ Ryan Murphy , Brad Falchuk และ Ian Brennan ออกอากาศผ่านทาง Netflix โดยซีซั่นที่ 1 เริ่มฉายเมื่อช่วงเดือนกันยายานของปี 2019 ที่ผ่านมา
และกลับมาในซีซั่นที่ 2 นี้ ก็เป็นการต่อยอดความฝันจากในชีวิตวัยรุ่นของเขา มาในมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านการเติบโตของความฝันและชีวิตในทางการเมือง
อันดับแรกเลยคือโดยส่วนตัวค่อนข้างสนใจและติดตามงานของ Ryan Murphy จากการสังเกตและจับความเป็นไรอันได้คือ ความเล่นกับจิตใจของตัวละคร และโทนสีของเรื่องนั้นๆ ไรอันจะทำได้ดีมาก เนื่องจากไม่ค่อยได้มีโอกาสดูซีรี่ส์หรือหนังแนวทางการเมืองมากนัก
แต่เมื่อได้ดูซีรี่ส์เรื่องนี้ มันคือการผสมผสานระหว่างชีวิตวัยรุ่น การเปลี่ยนผ่านของช่วงชีวิต และทางการเมือง ได้อย่างลงตัว ผู้ชมจะได้สัมผัสความเข้มข้นของการเมืองในรูปแบบผ่านทางโรงเรียนไฮสคูล มันอาจจะดูไม่เข้มข้นเท่ากับรูปการเมืองแบบจริงๆในชีวิต เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับการเมืองในโรงเรียนของไทยมากเกินไป จึงทำให้คิดว่ามันไม่จริงจัง หรือคิดไปว่าเป็นเพียงการหาใครสักคนมาทำหน้าที่แทนคุณครู แต่ในซีรี่ส์เรื่องนี้มันกลับกัน มันเป็นการเมืองแบบในชีวิตจริงๆที่ถูกทำมาย่อยให้ง่ายผ่านรูปแบบของไฮสคูล
จากในซีซั่นแรกที่ได้โชว์ความทะเยอทะยานอยากเป็นประธานนักเรียนของเพย์ตัน กลับมาในซีซั่นที่สองนี้ เราจะได้เห็นเพย์ตันในบทบาทและมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รวมถึงการเติบโตของตัวละครอื่นๆด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่ประทับใจมาก เพราะเหมือนกับการเฝ้ามองตัวละครแต่ละตัวค่อยๆเติบโตๆด้วยเรื่องราวต่างๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทีมหาเสียงในเรื่องนี้
โทนสีสันต่างๆ การจับคู่สี การเล่นกับแสง ทำได้ดี ชอบการเลือกชุดมาแต่งตัว มันดูมีความทันสมัยใหม่ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูเป็นวินเทจ แนวๆยุคสมัยก่อน ซึ่งในบริบทของนักการเมืองหรือทีมงานทางการเมืองจะต้องแต่งตัวให้น่าเชื่อถือ ทำให้เราได้เห็นแฟชั่นที่สุภาพแต่ก็ยังเก๋ และทันสมัยอยู่
ส่วนเรื่องความเข้มข้นของเนื้อเรื่องนี้ หลายๆคนอาจจะมองว่าไม่สนุก ไม่กวนเท่าซีซั่นแรก แต่ทางเราเองกลับมองว่าด้วยความเป็นผู้ใหญ่ของเพย์ตันที่ได้ก้าวข้ามผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นมาแล้ว อาจจะไม่สามารถกลับไปทำตัวเด็กๆแบบนั้นได้อีก เราว่าเนื้อเรื่องและประเด็นต่างๆในสังคม เช่น การทำแท้ง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Empower women หรือแม้ประเด็นช่องว่างระหว่างวัยที่หลายๆกำลังประสบกันอยู่ ระหว่างผู้ปกครองกับบุตรหลาน หรือาจารย์กับนักศึกษา เป็นต้น ก็เข้มข้นพอที่จะสื่อสารกับผู้ชมแล้ว และประเด็นที่น่าสนใจ
มีอยู่ซีนหนึ่งที่เราค่อนข้างรู้สึกว่าไดอาล็อกนี้ มันอิมแพค และ ทำงานกับเราคือประโยคที่แม่ของเพย์ตัน พูดว่า
"ถ้าอสูรกายมาที่แคลิฟอร์เนีย เริ่มเผาทุกอย่าง ทำให้เกาะราบเป็นหน้ากอง และจมเมือง คุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครถามว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อฆ่ามัน"
 
คือเขาเปรียบอสูรกายเป็นภัยพิบัติต่างๆ มันจริงมากเลยที่เราไม่สนใจหรอกว่าจะใช้งบบรรเทาความเสียหายไปเท่าไหร่ แต่พอจะจะใช้งบในการสร้างอะไรสักอย่างหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านั้น กลับมีแต่คำถามมากมาย และไม่เคยประสบความสำเร็จเลย อันนี้ก็ทำให้เรากลับมาคิดและสะท้อนสังคมตัวเองเช่นกัน
อีกหนึ่งที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์อยู่พอสมควรคือ นักการเมืองที่ต่างประเทศ เขาไม่มาพูดแล้วถึงเรื่องเบี้ยนั่นนี่ สวัสดิการ หรือแก้ปัญหาภัยพิบัติอะไร แต่เขาไปพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมกันแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราประทับใจมาก มันสะท้อนให้เห็นว่าประเทศเขาสามารถจัดสรรสวัสดิการต่างๆให้ครบถ้วนได้แล้ว จนก้าวข้ามผ่านมาพูดในประเด็นทางสิ่งแวดล้อม เขาบอกว่าเราจะอยู่ได้ยังไง ถ้าประเทศหรือสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่มันทำร้ายพวกเขาขนาดนี้ เราจะมีนั่นมีนี่ไปทำไม ถ้าไม่มีพื้นที่ที่ปลอดภัยอยู่ ซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าอีกนานแค่ไหนนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจในประเทศไทยจะหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แบบจริงจังเสียที
สำหรับซีรี่ส์เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ลองรับชมดู เรื่องการเมืองไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด มันมีประเด็นที่น่าสนใจทางการเมืองที่คุณอาจจะยังไม่รู้ อีกทั้งยังพ่วงมาด้วยประเด็นทางสังคมต่างๆที่ย่อยง่ายและสนุกอีกด้วย ก็ขอฝากเอาไว้ THE POTICIAN
โฆษณา