17 ต.ค. 2020 เวลา 14:40 • ไลฟ์สไตล์
เซลส์นอกตำรา ภาค2: สู้ไปด้วยกัน
1
ผมชั่งใจอยู่นานกว่าจะเริ่มข้อเขียน “เซลส์นอกตำรา” ต่อดีมั๊ย
เหตุผลไม่ใช่อะไรนะครับ เพราะถ้าถามถึงจุดเริ่มต้นในภาคแรก
ผมเริ่มข้อเขียนเพราะคิดว่าประสบการณ์จากเซลส์ต๊อกต๋อยคนนึงที่มีพื้นเพจากความเกลียดชังอาชีพนี้ จนความจำเป็นบางอย่างที่ต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน ไต่เต้าจากเซลส์ที่ไม่รู้จักงานขายอะไรจำพวกนี้เลย จนกลายมาเป็นเซลส์เต็มตัวที่พอจะมียอดขายอยู่บ้าง ประสบการณ์เหล่านี้น่าจะมีประโยชน์กับคนที่ได้อ่าน
 
ช่วงที่เขียนไปเรื่อยๆ ในภาคแรก ผมก็คิดทุกบทนะครับ ว่าบทนี้ ตอนนี้ คนอ่านจะได้อะไร
เมื่อเขียนไปได้ซักพัก เริ่มมีคนตามอ่านมากขึ้น ผมคิดว่าผมไม่น่าจะคิดผิดแล้วแหละที่คนอ่านได้ประโยชน์จากมันจริงๆ นำไปใช้ได้จริง มีสาระจริง
และอย่างน้อยที่สุด ผมก็ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่าวิธีการที่ผมทำ อาจจะเป็นแนวทางหนึ่ง ในอีกหลายๆ แนว ที่นำไปใช้แล้วน่าจะได้ผลในสไตล์ของผม
ผมคิดเอาง่ายๆ ว่าถ้าคนอ่านคิดว่ามันไม่มีประโยชน์คนก็คงเลิกติดตามกัน ไปเอง
จากวันนั้น (หมายถึงวันที่หยุดเขียน) จนถึงวันนี้ สถานการณ์ของชีวิต ทั้งในแง่การทำงานและชีวิตครอบครัวก็ดำเนินไปตามครรลองของมัน แต่หาก ถามว่าพัฒนาการในแง่ที่เป็นรูปธรรมที่เป็นความสำเร็จแบบชัดๆ มันก็ไม่ ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก
ยกตัวอย่างในภาคแรก ผมเริ่มจากยอดขายศูนย์บาท จนกระทั่งมียอดขายหลักแสน สามแสน สี่แสน หรือห้าแสนในบางเดือนแบบนี้ชัดเจน
แต่ในคราวนี้ แน่นอนว่าผมมีเรื่องที่อยากจะเล่า คิดถึงคนอ่านมากๆ แต่อายไม่กล้าที่จะเขียนเพราะเหตุผลที่ว่านี่แหละ
 
ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์ที่กำลังจะเล่ามันจะเป็นเรื่องเล่าความสำเร็จ หรือเป็นเรื่องราวของความล้มเหลวกันแน่ จนถึงเวลานี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีที่กำลังทำอยู่มันคือทางสว่างหรือว่าลงเหว
1
หากแต่นั่นแหละคือ ชีวิต ครับ เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้างหน้า เราไม่รู้อนาคต แต่เราเรียนรู้ ล้ม เอาใหม่และสู้ต่อไปได้
เขียนมาซะยืดยาว เพียงเพื่อจะบอกว่า ผมจะกลับมาครับ ผมจะกลับมาเขียนเซลส์นอกตำราอีกครั้ง ขอเรียกภาคนี้ว่า “เรียนรู้ไปด้วยกัน” ละกัน หากแต่คราวนี้จะเป็นแนวเรื่องเล่าที่ถือว่าเล่าสู่กันฟังประสาหัวอกคนทำมาหากิน ทำธุรกิจเหมือนกัน อาจจะมีสอดแทรกสิ่งที่คิดที่ทำไปบ้างที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ครับ
ขอเชิญติดตามกันโดยพลัน
บทนำ
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ผมคิดว่าคงต้องมีการแนะนำตัวกันก่อนนะครับ เรียกว่าเรียกน้ำย่อยก็แล้วกัน
ผมเรียนจบคณะสถาปัตย์นะครับ ช่วงแรกที่เรียนก็ทำงานเป็นดีไซน์เนอร์ ต๊อกต๋อยอยู่ 3 ปี ในระหว่างที่ทำงานออกแบบก็เต็มที่นะครับ มีรับงานนอกบ้างประปราย แต่ยิ่งทำไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราเลยว่ะ
ประกอบกับงานที่ทำก็พรากเวลาทั้งหมดระหว่างผมกับครอบครัวไป ผมแทบไม่เจอหน้าพ่อแม่แม้เราจะนอนบ้านเดียวกัน ต่อให้บางวันงานเลิก เร็ว ผมก็มักออกไปสังสรรค์กับเพื่อนตามประสา หรือบางทีงานก็เลิกมืดค่ำ กว่าจะถึงบ้าน พ่อแม่ก็นอนหลับกันเรียบร้อยแล้ว
 
บอกตรงๆ ว่าผมไม่แฮปปี้เลยว่ะ
 
สิ่งเหล่านี้กัดกร่อนใจผมให้ฝ่อและห่อเหี่ยวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมหาทางออกโดยการหนีออกไป ไปไหนไม่รู้ล่ะแต่ขอกูพาตัวเองไปจากตรงนี้โดยไว
ผมขอเงินพ่อไปเรียนต่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อเรียนจบผมจะกลับ มาช่วยทำงานที่บ้าน
เป็นเงื่อนไขที่หนักหนาเอาการสำหรับผม
ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าที่บ้านผมขายของที่เรียกว่า น้ำมันและจาระบีหรือสารหล่อลื่นให้กับโรงงานอุตสาหกรรมมานานเท่าอายุของผม
มันช่างแตกต่างกับสิ่งที่ผม “คิด” ว่าผมชอบเสียจริง ประกอบกับประสบการณ์การไปหาลูกค้ากับแม่บ้าง กับพ่อบ้างในสมัยเด็ก ยิ่งทำให้ผมเกิดอคติ อย่างรุนแรงกับอาชีพเซลส์ เรียกว่ารังเกียจเลยก็ว่าได้
อายุจนปูนนี้แล้วผมคิดว่าผมรู้จักตัวเองอยู่พอสมควร ตัวผมเองไม่ได้มี บุคลิกของพ่อค้าเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้คิดเลขไว ไม่ใช่คนที่ขายของเก่ง หรือไม่ใช่คนที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีอันใดกับใครได้ง่ายๆ เหมือนกับแม่ที่ เป็นสุดยอดในเรื่องนี้
ค่อนจะเป็นคนประเภท introvert เสียด้วยซ้ำ
แต่ผมก็มีความเชื่อลึกๆ อยู่อย่างนึงนะครับว่า ผมเป็นคนที่ปรับตัวได้
ยกตัวอย่างตอนช่วงที่ไปเรียนอยู่ต่างแดน ผมก็ต้องทำงานควบถึงสองงาน เพื่อให้มีเงินพอใช้จ่าย ได้เที่ยวเล่นกับเค้าบ้าง แน่นอนพ่อให้เงินมาเรียนแหละ แต่เงินใช้จ่ายก็เบียดเสียดเต็มทน
 
ผมต้องไปทำงานเป็น Telesales ขายเบียร์ให้กับบริษัทข้ามชาติที่ขายส่งเบียร์ตามร้านอาหาร และต้องทำงานเสิร์ฟอาหารไปด้วย จนไต่เต้ากลายเป็นผู้ช่วยพ่อครัว (เพราะทั้งร้านไม่มีคนพูดไทยได้นอกจากผม 555)
นั่นเองทำให้ผมคิดว่า ขนาดงานประหลาดๆ ที่เคยคิดว่าตัวเองไม่น่าจะทำ ได้ผมยังทำมาแล้วเลย งานเซลส์ก็คงไม่ต่างกันหรอก(ว่ะ)
ส่วนงานที่คิดว่าตัวเองชอบมาตั้งแต่เด็กอย่างงานออกแบบ ไอครั้นพอได้ ทำเป็นอาชีพจริงๆ มันก็ไม่เห็นจะสนุกอย่างที่คิดเลย
นั่นแหละครับ ชีวิตเซลส์นอกตำราของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ learning by doing อย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่โทรนัดลูกค้าที่เหมือนจะง่าย แต่ยากชิปเป๋ง (คนเป็นเซลส์น่าจะเข้าใจ) การนำเสนอสินค้า การปิดการ ขาย การรักษายอดขาย สารพัดสาระเพที่ผมต้องเรียนรู้แล้วเริ่มใหม่ทั้งหมด นี่ยังไม่นับความรู้เรื่องการหล่อลื่นที่เป็นศาสตร์ใหม่ที่ต้องมาเรียนรู้กันตั้งแต่ต้นอีกต่างหาก
 
ผมใช้เวลานานเกือบสองปี กว่าจะปั้นยอดขายและพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่า ผมก็เป็นเซลส์คนนึงที่ไม่ได้มากินเงินเดือนเปล่าๆ และสร้างยอดขายให้บริษัท ตัวเองได้เหมือนกัน แม้แนวทางในการขายบางอย่างอาจจะเป็นวิชาที่บางคนเรียกว่าเป็นวิชามารบ้าง ไม่ตรงกับที่ป๊ากับแม่บอกบ้าง แต่ผมก็คิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยไปนัก
 
ใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าผมจะทำยอดขายแซงพี่แว่นเซลส์อันดับ 1 ของบริษัท สั่งสมบารมีในบริษัทตัวเอง และพร้อมสำหรับการสร้างทีมเซลส์และเป็นหัวหน้าเซลส์คุมเซลส์ซะเอง
ผมเชื่อลึกๆ ว่า ถ้าเราจะมีทีมเซลส์ที่สร้างยอดขายให้บริษัทเติบโตต่อไป ได้ ตัวผมเองต้องเป็นเซลส์ที่มียอดขายในระดับนึงซะก่อน อย่างน้อยๆ ก็ต้องแซงพี่แว่นที่มีอายุมากกว่าผม(รวมถึงอายุงาน) ถึงจะคุมคนอื่นได้ ไม่เช่นนั้นใครเล่าจะมาฟังไอเด็กหน้าอ่อนที่มีบารมีแค่พ่อเป็นเจ้าของ บริษัทแถมยังขายของเองไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ ตัวคุณเองก็คงไม่อยากจะมี หัวหน้าที่ดีแต่พูดแต่ทำไม่เป็นใช่มั๊ยล่ะ
เป้าหมายต่อไปของผมจึงเป็นการสร้างตัวผมขึ้นมาอีก 1 2 3 4 คน
ผมคิดว่าถ้าผมแยกร่างได้อะไรๆ ก็คงจะง่ายกว่านี้มาก แหม่ แต่นี่มันไม่ใช่ นิยายวิทยาศาสตร์นี่นะ
คำถามก็คือ ทำเองว่ายากแล้ว แต่สร้างคนให้ทำได้แบบเราผมว่ามันยากยิ่งกว่าอีก
สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านภาคแรก สามารถย้อนไปอ่านในเพจได้เลยนะครับ
โฆษณา