19 ต.ค. 2020 เวลา 13:25 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Savage Mode II - 21 Savage X Metro Boomin
โหมดโหด II
[รีวิวอัลบั้ม] Savage Mode II - 21 Savage X Metro Boomin
-ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาของคู่หูดูโอ้แร็ปเปอร์ถิ่นกำเนิดเมืองผู้ดี และโปรดิวเซอร์แห่งเมืองแอตแลนต้า 21 Savage และ Metro Boomin ถือเป็นสีสันใหม่แห่งวงการฮิปฮอปที่เราจะได้เห็นบีทและบรรยากาศเพลงดาร์คอันเป็นซิกเนเจอร์ที่ยากจะเลียนแบบ ความสำเร็จของ Savage Mode ภาคแรกอันมีซิงเกิ้ลตัวชูโรงอย่าง No Heart และ X นำพาให้ทั้งคู่งานชุกอย่างต่อเนื่อง แต่ใช่ว่าจบโปรเจ็คแจ้งเกิดแล้วจะแยกทางใครทางมัน ทั้งคู่ยังคงบรรจบมาร่วมงานกันอยู่ดี โดยเฉพาะ 21 ที่จะโดนเรียกไปแจมกับคนอื่นก็จริง แต่ผลงานซิงเกิ้ลและอัลบั้มมักจะมี Young Metro เป็นอาวุธลับให้กับตนเองเสมอ ชนิดที่แยกไม่ขาดเสียทีเดียว ฟังดูการกลับมาสานต่อโปรเจ็คภาคต่อในรอบนี้ไม่รู้สึกแปลกใหม่เท่าไหร่ ที่ผ่านมาพวกเขาก็ร่วมงานกันตลอดอยู่แล้วนี่หว่า แต่สิ่งที่สาวกฮิปฮอปยังคงรู้สึกตาเป็นมันที่จะได้เห็นการรวมตัวแบบผูกขาดในครั้งนี้คงเป็นที่ความเชื่อมั่นที่มีต่อทั้งคู่มากขึ้น จากผลงานที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ของการฆ่าไม่ตายโดยง่าย
-ผลงานเดี่ยวทั้ง 21 และ Metro รอบล่าสุดเป็นตัวชี้วัดความเฉียบคมแบบไม่จางหาย 21 เองก็ได้รับความเชื่อมั่นกลับมาชนิดที่เริ่มมือขึ้นจากอัลบั้ม i am > i was ที่ได้เห็นการพัฒนาสกิลจนพ้นข้อจำกัดการเป็นแร็ปเปอร์น้ำเสียงโมโนโทนไปได้ การใส่ใจความต่อเนื่องของผลงานนั่นก็ส่วนนึง รวมไปถึง mindset ที่ไม่เหมือนใครยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แร็ปเปอร์ผู้โชกโชน ส่วน Young Metro ก็สร้างความผงาดได้ด้วยผลงานเดี่ยว Not All Heroes Wear Capes ที่สามารถโชว์ศักยภาพได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ สมกับเป็นผลงานโปรดิวซ์เดี่ยวชุดแรก ทั้งคู่เริ่มเข้าใกล้ความเป็นไอคอนแล้วด้วย นี่จึงเป็นโอกาสเหมาะสมในการผนึกกำลังปล่อยผลงานใหม่ในรอบ 2 ปีด้วยความมั่นใจที่ยังเต็มกระเป๋า
-จากการประเมินคร่าวๆตอนผมฟังผลงานภาคแรกบวกกับผลงานชุดที่ผ่านมา มีสิ่งนึงที่ผมยังกังวลอยู่ก็คือ ทั้งคู่จะใช้จุดร่วมของความดาร์คแบบซ้ำรอยกันอยู่หรือไม่ เหมือนผมชินกับสไตล์เพลงของทั้งคู่มาตั้งนาน กลัวว่าจะจำเจวนอยู่กับสไตล์เดิม แต่ผลปรากฏว่าผมคิดผิด ซึ่งนั่นก็ดีแล้วที่เราได้เห็น Savage Mode II ในเวย์ที่เริ่มจะวาไรตี้มากขึ้น ไม่ใช่ซ้ำรอยความ tense แบบภาพจำเดิมในภาคแรก มันทำให้ผมโคตรสนุกกับผลงานภาคต่อนี้เอามากๆ เป็นความโหดสัดที่มีอารยธรรม เริ่มเป็นกันเองกับผู้ฟังมากขึ้น
-แทนที่พวกเขาจะคิดค้นสไตล์ใหม่ๆล้ำๆ พวกเขาเลือกที่จะเป็นนักเรียใหม่ที่ดี คาราวะอิทธิพล Old School Hip-hop ไปจนถึงฮิปฮอปยุคต้น 2000 แล้วเอามาแซมเปิ้ลกันอย่างสนุกมือ โดยที่ไม่ลืมรากเหง้าเก่าๆ หน้าปกอัลบั้มก็เช่นกัน ได้รับอิทธิพลจากแบบปกสุดคลาสสิคจากบริษัท Pen & Pixel Graphics บริษัทกราฟฟิกดีไซน์แห่งเมือง Houston ผู้อยู่เบื้องหลังปกอัลบั้มของตำนานศิลปินฮิปฮอปหลายคน ยกตัวอย่าง อัลบั้มที่มีฟ้อนท์และ layout มีความใกล้เคียงที่สุด นั่นก็คือ 400 Degreez ของ Juvenile
-ตัวเพลงไม่ได้ยืนพื้นแทร็ปบีท 808 หนักๆเพียงอย่างเดียว มีการแซมด้วย R&B จังหวะกลางๆเพิ่มเติมเข้าไปกลายเป็นตัวตัดเลี่ยนบรรยากาศดาร์คให้ไหลลื่น catchy กว่าเดิม เนี่ยแหละเป็นจุดเซอร์ไพรส์ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น ลบภาพจำสไตล์เดิมๆของ Young Metro ได้สนิทใจกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น Mr.Right Now ที่ได้ Drake มาแจมเป็นตัวชูโรง เตรียมแมสจ่อฮิตติดชาร์ทได้ทุกเมื่อ แถมแร็ปได้สนุกกว่าเพลงตัวเองอีก เลยเถิดไปจนถึงการลิสท์ชื่อสาวที่เคยออกเดตอย่าง SZA ด้วย Rich Ni**a Shit เพลงนี้ก็ luxury ได้ผิดคาดมาก เครื่องสายเปิดอินโทรช่างกระมิดกระเมี้ยนเหลือเกิน กลายเป็นเสน่ห์ให้ฟังจนจบเพลงโดยปริยาย ต่อให้ท่านจะเริ่มเบื่อ Young Thug แล้วก็ตาม
-อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือการเอานักแสดงรุ่นใหญ่ระดับตำนานอย่าง Morgan Freeman มาเป็น narrator บอกเล่าคอนเซ็ปท์แบบเพลงต่อเพลง เป็นความเล่นใหญ่ในรูปแบบการเชิญผู้อาวุโสมาเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวเชิงเสี้ยมสอนคนรุ่นใหม่ให้ดูน่าเชื่อถือ และแอบแสบสันต์ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่าง การอธิบาย definition ของคำว่า Snitches & Rats ในเชิงแซะที่ฟังแล้วก็อดโยงแร็ปเปอร์คนดังที่มีข่าวฉาวทรยศชาวแก๊งค์เสียไม่ได้ และก็ได้เห็นนักแสดงระดับตำนานท่านนี้สบถ Rat is a Fucking Rat period. ได้ฮาสัดก็คราวนี้
-ถ้าหาก Savage Mode ภาคแรกเป็นการบอกเล่าความรุนแรงและกดดันภายใต้วิถีชาวแก๊งค์ด้วยความรู้สึกที่ชินชา พอมาเป็นภาคต่อด้วยเวลาที่ผ่านมา มันคือการมองย้อนกลับไปในมุมมองของคนที่ไปได้ไกลกว่าที่เคยเป็นด้วยความรู้สึกที่มั่นใจกว่าเดิม เพราะได้ขยับสถานะและมีภูมิคุ้มกันมากพอแล้ว เริ่มอยู่เป็นและมองโลกอย่างมีความหวัง อารมณ์เพลงเลยไม่ตึงตังมากเกินไป ในเพลงแรก Runnin’ เป็นการคืนถิ่นด้วยความมั่นใจในแบบที่ข่มฝ่ายตรงข้ามให้ยำเกรงได้ Glock in My Lap เปรียบเสมือน self-defense ที่ยังคงต้องระมัดระวังตัว พกปืนยามจำเป็น ซึ่งนั่นก็ตรงกับงานอดิเรกของ 21 ที่เขามักจะสะสมปืนอยู่แล้วด้วย ถือเป็นเพลงแรกๆที่มีกลิ่นบรรยากาศที่คุ้นเคยจากภาคก่อน
-มองย้อนไปที่ความยากลำบากในการลั่นไกประหัตประหารใครซักคนที่ชาวแก๊งค์ทุกคนต้องประสบพบเจอใน Slidin การใช้ชีวิตอย่างระวังหน้าระวังหลัง แม้แต่หันหลังให้วงการแล้วก็ตาม ไม่แน่ไอ้คนที่ไม่คิดว่าเป็นศัตรูอาจจะซ่อนความโกรธแค้นลับหลังก็ได้ใน Many Men แซมเปิ้ลด้วยเพลงฮิตในชื่อเดียวกันของ 50 Cent ที่ทุกคนต้องร้องอ๋อ ต่อให้เกิดไม่ทัน อย่างน้อยคุณก็เคยได้ยินมาแล้วในเพลง Got It On Me ของ Pop Smoke แร็ปเปอร์ผู้ล่วงลับ แต่สไตล์ในเพลงนี้มีความ alert เหมือนไอ้หนุ่ม Metro ยืมสไตล์มาจาก After Hours ที่ตัวเองเคยไปโปรดิวซ์ใ้ห้กับ The Weeknd ชนิดที่เป็นเพลงคู่ขนานกันก็ไม่ปาน
-Snitches & Rats ชวนคนคุ้นเคยอย่าง Young Nudy มาฟีท เป็นเพลงไม้ต่อจาก interlude ที่เหมือนเป็นการกระทืบซ้ำให้กับชาวแก๊งค์ที่คิดทรยศครอบครัว กระทืบอริต่อด้วย Steppin On N**** มาพร้อมจังหวะจะโคน G-Funk ที่แซมเปิ้ลเพลง Nobody Disses Me ของคู่ดูโอ้ Rodney O & Joe Cooley ถือเป็นจุดเซอร์ไพรส์คนฟังเหมือนกัน หลังจากพวกเราติดภาพลักษณ์ความเป็น Atlanta trap beat อยู่ตั้งนามนม ถือเป็นเพลงที่โคตรสนุกแล้ว blend ได้เนียนต่อเนื่องจากแทร็คก่อนโดยไม่หลุดโทนเลย
-My Dawg ถือเป็นเพลงโทนจริงจังที่มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสัญชาติอังกฤษของ 21 ที่เป็นประเด็นฮือฮาต่อวงการฮิปฮอปอย่างมาก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่โทษแม่ที่ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบผู้อพยพที่ลึกๆไม่ได้มีสัญชาติอเมริกันตั้งแต่แรก Atlanta ได้กลายเป็นบ้านเกิดในจิตใต้สำนึกเขาไปแล้ว Brand New Draco คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากูซื้อปืนกลใหม่มารอพวกมึงอยู่แล้ว มาพร้อมกับซาวน์ดที่กระโชกโฮกฮากกว่าใคร No Opp Left Behind ซาวนด์เพลงค่อนข้างแหวกแฮะ มีความพิศวงในคราวเดียวกัน RIP Luv ซาวนด์ค่อนข้างฟุ้งๆเหงาๆชวนนึกถึง ball w/o you แต่ไม่ได้เหงาเชิงอกหักจากซาวนด์แต่อย่างใด มันเป็นความเปล่าเปลี่ยวของอดีตชาวแก๊งค์ที่เผชิญภาวะ PTSD ที่เพื่อนๆของเขาในอดีตได้ตายจากไปตามวัฏจักรชีวิตแสนโหดร้ายของชาวแก๊งค์ เพลงนี้ยังได้ร่วมงานกับ Zaytoven โปรดิวซ์เซอร์ที่ร่วมงานกับทั้งคู่บ่อยเหมือนกัน และยังคงคาราวะ old school hip-hop ด้วยการแซมเปิ้ลเพลง Take It in Blood ของ Nas
-ปิดท้ายอัลบั้มด้วย Said N Done ได้อย่างอบอุ่น ความเจ๋งอยู่ที่การกลับมาแซมเปิ้ลเพลง Touch Me Now ของ Stephanie Mills เป็นวัตถุดิบเก่าที่ Young Metro เคยใช้มาก่อนในเพลง 10 Freaky Girls ซึ่งเพลงนั้นได้ฟีลที่ลึกลับ ผิดกับเพลงนี้ที่ดันทำออกมาอบอุ่น ถ้าเป็นภาษาหนังก็จบได้อย่าง happy ending ชนิดที่ไม่ใหม่ด้วยวัตถุดิบ แต่จบอย่างลงล็อคด้วยความรู้สึกส่วนตัวของ 21 ที่ผ่านชีวิตอย่างโชกโชนจนประสบความสำเร็จได้จนถึงทุกวันนี้
-ใครบอกว่า Young Metro เริ่มตีบตันทางลูกเล่นแล้ว คงต้องคิดใหม่ได้ เพราะรอบนี้ยังคงเส้นคงวาในซิกเนเจอร์ที่ไม่เคยจางหายไปไหน เพิ่มเติมคือการคาราวะความขลังของ hip hop old school ที่ยังอยู่ในหัวใจของศิลปิน new school 2 คน คนรุ่นก่อนอาจคิดว่าไอ้พวกรุ่นใหม่แม่งต้องลืมรากเหง้าแน่ๆ พอมาฟัง Savage Mode II ริอาจสบประมาทน้อยลง
-การไม่พยายามอาศัยฟีทเจอร์เยอะไปซะทุกแทร็คไม่เหมือนงานเดี่ยวชุดที่แล้วก็ทำให้ซีนของ 21 ดูเป็นเอกภาพกว่าครั้งไหนๆ สามารถไหลลื่นไปจนจบได้ นับว่าเป็นพัฒนาการที่น่าชื่นชมจริงๆ จากที่ผมประทับใจใน i am > i was เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชุดนี้ก็ยิ่งได้ฟีลความมั่นใจที่มีต่อ 21 จากชุดนั้นกลับมา แต่รอบนี้สนุกยิ่งขึ้นตรงที่ไม่ใส่ความดาร์คเข้มโทนเดียวซ้ำเดิมเนี่ยแหละ ถือว่าเป็นการกลับมาของคู่หูคู่ซี้แห่งวงการฮิปฮอปที่โหดสัดในแง่ฝีมือและการแร็ปที่ยิ่งรวมกันยิ่งแข็งแกร่ง ทวีคูณความดาวเด่นวิบวับได้แหล่มแจ่มชัดในแบบที่สามารถขึ้นทำเนียบคู่หูดูโอ้แร็ปเปอร์และโปรดิวเซอร์ระดับไอคอนได้อย่างสบาย
โหดแบบคนอยู่เป็น
Top Tracks: Glock in My Lap, Mr. Right Now, Rich N****s Shit , Many Men, My Dawg, Steppin’ On N****s, No Opp Left Behind, RIP Luv, Said N Done
Give 7.5/10
Thanks For Reading
See Y’all
III
โฆษณา