20 ต.ค. 2020 เวลา 01:13 • บันเทิง
เรื่องเล่าผีเขมรบนเกาะกูด
เรื่องมันเกิดขึ้นในปลายฤดูร้อนปีหนึ่ง เมื่อบรรดาสจ๊วตและแอร์รุ่นเดียวกับผม
นัดรวมพลพรรคที่มีเวลาว่างตรงกันประมาณ 10 คน จัดทริปไปเที่ยวเกาะกูด โดยพักที่
บ้านกึ่งรีสอร์ทบนเกาะเล็กๆส่วนตัว ห่างออกมาจากชายแดนของประเทศกัมพูชาไม่มากนัก
ด้วยความที่อยากทำตัวเป็นไฮโซติดดิน พวกเราจึงทุลักทุเลเดินทางออกจากกรุงเทพฯ
ในตอนบ่ายโดยรถโดยสารปรับอากาศของ บขส.จากสถานีเอกมัย มาลงที่ตัวจังหวัดตราด
แล้วต่อรถสองแถวไปที่ท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะที่พักอีกที ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็พลบค่ำ
ทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบจะคลานขึ้นบ้านพักกันเลย
หลังจากเติมพลังงานด้วยอาหารเย็น ที่เจ้าของรีสอร์ทจัดเตรียมให้จนอิ่มหมีพีมันแล้ว
พวกเราจึงออกเดินสำรวจบ้านพักและบริเวณโดยรอบ… มันมีลักษณะเหมือน
บังกะโลชายหาดแบบโบราณทั่วไป คือยกพื้นสูงประมาณเมตรกว่าๆ ตัวเรือนทำด้วยไม้
มีหน้าต่างโดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าเป็นท้องทะเลสีคราม
เข้ากับสีฟ้าอ่อนของตัวบ้าน ด้านหลังอิงแอบกับเนินเขาลูกเล็กๆ ที่มีบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ
ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มากมาย เสียงสรรพสัตว์ต่างๆ ร้องเบาๆ ดังออกมาจากป่าละเมาะนั้น
แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัวปนขยะแขยงมากที่สุด
คือเสียงของตุ๊กแกที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามผนังบ้าน
ระหว่างทาง พวกเราได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาทำงานที่รีสอร์ทแห่งนั้น ทุกคนต่างก็มี
อัธยาศัยอันดี ยกเว้นแต่พ่อแม่ลูกสามคนที่มองผมและซุบซิบกันด้วยท่าทีแปลกๆคืนนั้น… พวกเรานั่งเฮฮาตากลมริมชายหาด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน
จึงเดินกลับเข้าตัวบ้านเพื่อพักผ่อน ด้วยความที่สนิทกันมาก แต่ละคนจึงลากเอาที่นอน
หมอนมุ้งมานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ห้องเดียว ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน…
สักพักใหญ่ๆ เสียงจ้อกแจ้กจึงค่อยๆลดระดับลงเป็นเสียงกระซิบ และเงียบไปในที่สุด
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเห็นเป็นเงาสลัวลาง เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งเบาๆ
ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินตุ๊กแกร้องระงมอยู่ภายนอก
เสียงนั่นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เอามืออุดหูด้วยความเกลียดกลัว…
น่าแปลกที่บรรดาเพื่อนๆ ยังคงนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สักพักเสียงตุ๊กแกก็สงบลง แต่คราวนี้กลับมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นเบาๆ
ผมพยายามฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่คำเดียว…
เหมือนกับเป็นภาษาเขมร
ผมค่อยๆ พลิกตัวมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของเสียง…
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว… ภาพลางๆที่เห็นเบื้องหน้าคือ
ชายหญิงและเด็กที่ผมพบตอนเดินเล่นเมื่อช่วงค่ำนั่นเอง… การสนทนาสะดุดหยุดลงทันที
เหมือนรู้ว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่ ทั้งหมดหันมาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา…
“อ๋อ…พวกชาวบ้านที่ทำงานที่นี่นั่นเอง” ผมคิดในใจพร้อมกับเอ่ยถามพวกเขาเบาๆ
ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนที่นอนหลับอยู่
“มีอะไรหรือครับ…มาทำอะไรกันดึกๆดื่นๆอย่างนี้…” เสียงของผมทำให้เพื่อนบางคน
เริ่มขยับพลิกตัว… เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นเงาตะคุ่มๆกำลังโงนเงนลุกขึ้นนั่ง
เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมละสายตาจากพวกเขาเหล่านั้น… พลันปรากฏภาพของเด็กผู้ชาย
ตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกเมื่อสักครู่ มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน
ถือไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งแกว่งเล่นในมือ… ผมงงงันกับภาพเบื้องหน้า
ไม่เข้าใจว่าเด็กนั่นแอบปีนเข้ามาในห้องพักของพวกเราตั้งแต่เมื่อไร
เรื่องเล่าผีเขมรบนเกาะกูด
shock_admin28 มิ.ย. 201922212
แชร์
เรื่องมันเกิดขึ้นในปลายฤดูร้อนปีหนึ่ง เมื่อบรรดาสจ๊วตและแอร์รุ่นเดียวกับผม
นัดรวมพลพรรคที่มีเวลาว่างตรงกันประมาณ 10 คน จัดทริปไปเที่ยวเกาะกูด โดยพักที่
บ้านกึ่งรีสอร์ทบนเกาะเล็กๆส่วนตัว ห่างออกมาจากชายแดนของประเทศกัมพูชาไม่มากนัก
ด้วยความที่อยากทำตัวเป็นไฮโซติดดิน พวกเราจึงทุลักทุเลเดินทางออกจากกรุงเทพฯ
ในตอนบ่ายโดยรถโดยสารปรับอากาศของ บขส.จากสถานีเอกมัย มาลงที่ตัวจังหวัดตราด
แล้วต่อรถสองแถวไปที่ท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะที่พักอีกที ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็พลบค่ำ
ทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบจะคลานขึ้นบ้านพักกันเลย
หลังจากเติมพลังงานด้วยอาหารเย็น ที่เจ้าของรีสอร์ทจัดเตรียมให้จนอิ่มหมีพีมันแล้ว
พวกเราจึงออกเดินสำรวจบ้านพักและบริเวณโดยรอบ… มันมีลักษณะเหมือน
บังกะโลชายหาดแบบโบราณทั่วไป คือยกพื้นสูงประมาณเมตรกว่าๆ ตัวเรือนทำด้วยไม้
มีหน้าต่างโดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าเป็นท้องทะเลสีคราม
เข้ากับสีฟ้าอ่อนของตัวบ้าน ด้านหลังอิงแอบกับเนินเขาลูกเล็กๆ ที่มีบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ
ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มากมาย เสียงสรรพสัตว์ต่างๆ ร้องเบาๆ ดังออกมาจากป่าละเมาะนั้น
แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัวปนขยะแขยงมากที่สุด
คือเสียงของตุ๊กแกที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามผนังบ้าน
ระหว่างทาง พวกเราได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาทำงานที่รีสอร์ทแห่งนั้น ทุกคนต่างก็มี
อัธยาศัยอันดี ยกเว้นแต่พ่อแม่ลูกสามคนที่มองผมและซุบซิบกันด้วยท่าทีแปลกๆ…
คืนนั้น… พวกเรานั่งเฮฮาตากลมริมชายหาด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน
จึงเดินกลับเข้าตัวบ้านเพื่อพักผ่อน ด้วยความที่สนิทกันมาก แต่ละคนจึงลากเอาที่นอน
หมอนมุ้งมานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ห้องเดียว ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน…
สักพักใหญ่ๆ เสียงจ้อกแจ้กจึงค่อยๆลดระดับลงเป็นเสียงกระซิบ และเงียบไปในที่สุด
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเห็นเป็นเงาสลัวลาง เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่งเบาๆ
ประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินตุ๊กแกร้องระงมอยู่ภายนอก
เสียงนั่นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เอามืออุดหูด้วยความเกลียดกลัว…
น่าแปลกที่บรรดาเพื่อนๆ ยังคงนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สักพักเสียงตุ๊กแกก็สงบลง แต่คราวนี้กลับมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นเบาๆ
ผมพยายามฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่คำเดียว…
เหมือนกับเป็นภาษาเขมร
ผมค่อยๆ พลิกตัวมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของเสียง…
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว… ภาพลางๆที่เห็นเบื้องหน้าคือ
ชายหญิงและเด็กที่ผมพบตอนเดินเล่นเมื่อช่วงค่ำนั่นเอง… การสนทนาสะดุดหยุดลงทันที
เหมือนรู้ว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่ ทั้งหมดหันมาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา…
“อ๋อ…พวกชาวบ้านที่ทำงานที่นี่นั่นเอง” ผมคิดในใจพร้อมกับเอ่ยถามพวกเขาเบาๆ
ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนที่นอนหลับอยู่
“มีอะไรหรือครับ…มาทำอะไรกันดึกๆดื่นๆอย่างนี้…” เสียงของผมทำให้เพื่อนบางคน
เริ่มขยับพลิกตัว… เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นเงาตะคุ่มๆกำลังโงนเงนลุกขึ้นนั่ง
เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมละสายตาจากพวกเขาเหล่านั้น… พลันปรากฏภาพของเด็กผู้ชาย
ตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกเมื่อสักครู่ มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน
ถือไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งแกว่งเล่นในมือ… ผมงงงันกับภาพเบื้องหน้า
ไม่เข้าใจว่าเด็กนั่นแอบปีนเข้ามาในห้องพักของพวกเราตั้งแต่เมื่อไร
โดยไม่คาดคิด… แกเริ่มออกวิ่งไปรอบๆห้อง กระโดดข้ามเพื่อนบางคน
ที่ยังคงนอนขวางอยู่ พลางเอาไม้ที่ถืออยู่เคาะผนังดังก๊อกๆๆๆ
พร้อมส่งเสียงกรีดร้อง… มันดังโหยหวน จนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู ถึงตอนนี้
เพื่อนๆผมก็ตื่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากันด้วยความงุนงง
ว่าเกิดอะไรขึ้น… ผมพยายามร้องห้าม แต่เด็กนรกนั่นไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งพล่าน
เคาะฝาผนังรอบห้องต่อไป ผมจนปัญญาจึงหันไปหาสามีภรรยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“พี่ๆ ช่วยมาเอาลูกออกไปหน่อยสิครับ ซนจริงๆ…” ผมกวักมือเรียกสองคนนั่น
แต่น่าแปลกที่พวกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจใยดี
ว่าลูกตัวเองกำลังรบกวนการพักผ่อนของพวกเราอยู่
“คุยกับใครที่ไหนอยู่เหรอ แอนดี้…แล้วนี่เสียงอะไรน่ะ ใครร้อง…ใครเคาะฝาบ้าน”
เสียงสั่นๆ ของเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น พร้อมหันไปมองรอบๆอย่างหวาดๆ
ราวกับว่ามันไม่เห็นใครอยู่เลย
“อ้าว…ก็เรียกให้พ่อแม่ของเด็กนี่มาเอาลูกเค้าออกไปน่ะสิ วิ่งเล่นอยู่ได้ ไม่หลับไม่นอน”
ผมตอบอย่างเหลืออด จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นอาศัยแสงจันทร์หาทางเดินไปยังแผงสวิทช์ไฟ
แล้วกดปุ่มให้มันทำงาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น… ห้องทั้งห้องยังคงมืดมิด
ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ ผมกดปุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า แข่งกับเสียงกรีดร้อง
และเสียงเคาะผนังห้องของเด็กนั่น ความกดดันปะทุขึ้นจนผมไม่สามารถทนได้
ผมใช้นิ้วกระแทกย้ำไปที่สวิทช์ไฟอีกหลายครั้ง พร้อมตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด
“ไอ้หนูหยุด…หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้…”
เมื่อสิ้นเสียงของผม แสงจากดวงไฟหลายดวงบนเพดานพลันสว่างขึ้น
เสียงอึกทึกและภาพของเด็กน้อยคนนั้น กลับหายไปในพริบตา
ห้องทั้งห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง… ผมมองไปรอบๆ
เห็นบรรดาเพื่อนๆนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ด้วยความหวาดกลัว
ผมรีบสาวเท้าเดินไปที่หน้าต่างตรงหัวนอน เพื่อมองหาทั้งสามคนนั่น
แต่กลับไม่พบอะไรเลย… แข็งใจมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาตะคุ่มๆ
กลุ่มหนึ่งเดินอยู่ตรงท่าเรือ พวกเขาหันมามองที่ผมอีกครั้ง ด้วยแววตาเฉยชาเช่นเคย
แล้วค่อยๆเดินห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตาในที่สุด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผมเดินลงไปดูตรงบริเวณที่เห็นสามีภรรยาเมื่อคืน
(เดินไปคนเดียว เพื่อนคนอื่นกำลังสาละวนเก็บของหนีกลับกรุงเทพฯ) พบว่ามี
ศาลเพียงตาตั้งอยู่สองหลัง… ทำไมนะ เมื่อวานพวกเราถึงไม่มีใครเห็นศาลนี้กันสักคน
สอบถามคนงานดูจึงทราบว่ามันถูกสร้างให้สามีภรรยาและลูกชายที่นั่งเรืออพยพ
มาจากกัมพูชาเพื่อหนีสงครามเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่โชคร้ายที่เรือมาล่ม
จมน้ำตายหมดทั้งครอบครัว และศพถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตรงบริเวณหาดหน้าบ้านหลังนี้
โฆษณา