20 ต.ค. 2020 เวลา 02:01
เรื่องนี้เมื่อปี 2016
หลายคนคงทราบกันว่าผม มีปัญหาที่หัวเข่าขวา
ใช่ครับช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาผมผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าเข่าขวาที่ขาดออกจากกัน จากอุบัติเหตุเล่นบาสเกตบอลที่ปล่อยไว้นานร่วม 4 ปี
จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่ปกตินัก ผมมีปัญหาตึงเข่า โดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกายเกิน 45 นาที ไม่ว่าจะเป็น จ็อกกิ้ง หรือเครื่องเดินสกายวอล์ก ปะทะกับความขี้เกียจ ทำให้ผมไม่ค่อยยอมออกกำลังนัก จากเป้าหมายี่ตั้งใจลดน้ำหนักลง 10 กิโลกรัมในปีนี้ ก็ทำได้แค่ 2 โลแล้วแต่กิน แม่งเศร้ามาก
ทั้งๆที่ก่อนผ่าตัดอุตส่าห์ฟิต กัดฟันว่าอย่างน้อยจะต้องไปวิ่งวัดใจกับตัวเองอยากได้ความรู้สึกเวลาไปสนามแข่งที่เขาเข้าเส้นชัย อย่างน้อย 5 กิโลเมตรก็ยังดี จนตอนนี้ แค่อุ้มลูกทำสควอตไปด้วยให้ครบ 100 ครั้งต่อวันเข่าก็ลั่นกร๊อบๆไปหมด จนอดละอายใจไม่ได้
จนมาเจอข่าวนี้ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้งกับสถิติโลกครั้งใหม่ในโลกกีฬาทรมานบันเทิงอย่าง วิ่งมาราธอน และเป็นสถิติที่เกิดขึ้นจากคุณปู่วัย 85 ปี Ed Whitlock ลูกครึ่งอังกฤษแคนาเดี้ยน
คุณปู่เอ็ด เพิ่งทำสถิติวิ่ง มาราธอน ในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมงได้สำเร็จ ถือเป็นนักวิ่งในรุ่นอายุ 85-89 ปี คนแรกที่ทำได้ 3:56:33 ชั่วโมง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในรายการ Toronto Marathon
เร็วกว่าสถิติโลกเดิมที่ทำเอาไว้เมื่อ 12 ปีก่อน (4:34:55 ชั่วโมง) กว่าครึ่งชั่วโมง
หลายคนคงคิดไปไกล ไม่แปลกมั้งน่าจะทำได้หาก ปู่ แกวิ่งมาตั้งแต่หนุ่มๆ
จริงครับแกวิ่งแบบซ้อมมีแบบแผนในช่วงอายุ 20 ต้นๆ แต่ทำได้ไม่นานก็เลิก กลับมาวิ่งประจำอีกครั้งก็ 40 กว่า โดยเคล็ดลับที่ปู่เอ็ดบอกก็คือ
“I don’t follow what typical coaches say about serious runners. No physios, ice baths, massages, tempo runs, heart rate montors,”
 
ผมไม่ได้ทำตามคำแนะนำสำหรับเหล่านักวิ่งจริงๆนัก ทั้งเรื่องสภาพร่างกาย นอนแช่น้ำแข็ง นวดหรือรักษาจังหวะการเต้นหัวใจ
“I have not strong objections to any of that, but I’m not sufficiently organized or ambitious to do all the things you’re supposed to do if you’re serious. The more time you spend fiddle-diddling with this and that, the less time there is to run or waste time in other ways.”
ผมเองไม่ได้สร้างอุปสรรคอะไรใหญ่หลวง เพียงแต่ทำในสิ่งที่พอเพียงเหมาะกับตัวเรา ทำอย่างจริงจัง ไม่เฉไฉป่วยการเมืองจนไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เรื่องววิ่งหากคุณจะวิ่งก็ออกก้าวไปข้างหน้า อย่าไปเสียเวลาทำอย่างอื่น
สาดดดดด ผัวะ
นั่นคือความรู้สึกที่ผมอ่านข่าวนี่ แม่งราวกับโดนปู่แกถีบหน้าหัน ฟันศอก และบอกว่า ไอ้อ้วน มึงนะเลิกอ้างกัดฟันและทำสักอย่างไอ้ที่คิดๆไว้ ไอ้ห่าราก เวลาผ่านไปจะอีกปี ไม่ได้ทำสักที
เรื่องที่อ่านนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนนักพากย์กีฬารุ่นๆเดียวกัน เขาน่ารัก เรียกผมพี่จากวันแรกจนวันนี้ เป็นคนดีมาจากเชียงใหม่ เราเคยปาร์ตี้ กันชนิดส่งพระอาทิตย์กลับบ้านแล้วก็เข้าแถวรอรับท่านกลับมาทำงานอีกรอบอยู่หลายหน ทำงานดึกดื่นนอนไม่เป็นเวลา
เขาผ่าเข่าแล้วเหมือนผม แล้วจู่ๆเราก็คุยเรื่องวิ่งทรมานบันเทิง กับไตรกีฬานี่แหละ แล้วไอ้พ่อเลี้ยงก็บอกว่า เดี๋ยวผมจะวิ่งสิบโล ทุกคนยิ้ม จนเวลาผ่านไปไม่นาน เหยดดด มันทำได้และสามารถวิ่งทีละ 7-10 โลสบายๆ
แน่นอน Looser อย่างผมต้องถามหา Preset ทางออกสำคัญที่ประหยัดแรงมากที่สุด ทำได้ไงวะ เขายิ้มส่งขนมเข้าปากแล้วบอกว่า "แม่งตอบเท่ห์มากเว้ยพี่ พี่ก็ออกก้าวเดินไป แล้วก็บอกกับตัวเองว่า มึงจะหยุดไหม สบาย ง่ายที่สุด แต่ก็จบตรงนี้นะ ไม่ถึงเป้า ไม่ได้ห่าไร ลองคุยกับตัวเองไหม ว่าไปสุดกำลังเราขนาดไหน ไม่ต้องมองคนอื่นหรอกดูตัวเราเองนี่แหละ" ดูมันตอบ แม่งตอบได้ประหยัดแรงแต่สู้อย่างหมดทั้งใจจริงๆ
ขอบคุณครับปู่ ผม(หากเขียนว่า "กู" แม้จะหยาบแต่เสียงพ้องได้อารมณ์มา) จะลงมือทำ(อีกครั้ง) คุณเคยมีความรู้สึกนี้ไหมครับ ปะลุย แม่งยากแค่ช่วงแรกจริงๆเชื่อผม
ส่วนช่วงอื่นๆยากไหมไม่รู้ เพราะ ผมไม่เคยผ่านช่วงแรกไปได้ไกลๆสักที
เอี้ยยยยยม บางทีผมก็รู้สึกอยากสถาปนาตนเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญการระดับโคตรพ่อด้านจับจดจริงๆ
โฆษณา