Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
no name
•
ติดตาม
21 ต.ค. 2020 เวลา 05:00 • กีฬา
" เมืองทอง-บุรีรัมย์ เพื่อนกันตลอดไป "
ไทยลีก เริ่มเป็นอาชีพแบบชัดเจนในปี 2007 ครั้งนั้น ชลบุรี เอฟซี คือสโมสรแรกที่ได้แชมป์ไปครอง
ฉลามชลได้สร้างปรากฏการณ์มากมาย แต่ที่เด่นชัดสุดคือความเป็น 'ท้องถิ่นนิยม' ที่ปลุกกระแสภายในจังหวัดได้ตื่นตาตื่นใจจนทำให้หลายๆ ทีมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเริ่มสนใจฟุตบอลกันมากขึ้น
ต่อจาก ชลบุรี ก็เป็น การไฟฟ้า ที่คว้าแชมป์ในปี 2009 และนับจากนั้นเป็นต้นมาคือเรื่องราวของ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยเพิ่งจะมี เชียงราย ยูไนเต็ด มาคั่นกลางเมื่อฤดูกาลที่แล้วนี้เอง
กิเลนผยอง ได้แชมป์ 4 หน คือ 2009, 2010, 2012 และ 2016
ขณะที่ปราสาทสายฟ้านั้นรับไป 6 ครั้ง ในปี 2011, 2013, 2014, 2015, 2017 และ 2018
การต่อสู้แย่งแชมป์ระหว่าง เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ กินระยะเวลาผูกขาดอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ที่ผลัดกันชูถ้วยเชยชมกันแค่ 2 สโมสร
ยิ่งเมื่อไหร่ที่ทั้งสองทีมนี้เผชิญหน้ากัน มันคือเกมระดับ 10 ดาว ที่แฟนฟุตบอลทั้งประเทศเฝ้ารอคอย
เกมระหว่าง เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ จะยกให้เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ของวงการฟุตบอลไทยเลยก็ได้
แฟนฟุตบอลรอต่อแถวตั้งแต่เช้าเพื่อซื้อบัตรเข้าไปชมการห้ำหั่นกันของทั้งสองทีมถูกขายหมดเกลี้ยงทันทีที่เปิดจำหน่าย
ตั๋วผีที่ราคาหน้าบัตรเขียนว่า 100 บาท ทะยานไกลไปถึง 1,500 บาท
ยอดผู้ชมทางบ้านที่ทำเรตติ้งแซงหน้าทุกสิ่งอย่างในวันนั้น และอื่นๆ อีกมากมายที่ เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ ได้สร้างมูลค่าของ ไทยลีก ให้สูงขึ้น
พวกเขาคือเส้นคู่ขนานและคู่แค้นตลอดกาลที่ไม่อาจคืนดีกันได้
ทว่าฤดูกาล 2020-21 เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากสำหรับบิ๊กทีมแห่งเมืองไทย ที่ต่างจมอยู่ท้ายตารางการแข่งขันหลังผ่าน แมตช์เดย์ ที่ 9
ทั้งสองทีมลงสนามไปแล้ว 8 เกม มีสถิติที่เท่ากันคือ ชนะ 3, เสมอ 1 และแพ้ถึง 4 เกม มีเพียง 10 คะแนน เท่านั้น
การแพ้ 4 นัด จาก 8 เกม แรก สำหรับทีมอย่าง เมืองทอง และ บุรีรัมย์ เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากๆ
แม้ในทางทฤษฎีพวกเขายังมีโอกาสลุ้นแชมป์อยู่ แต่หากมองตามความจริง โอกาสที่มีนั้นถือว่าน้อยมากๆ
ไทยลีก เวลานี้มีการแข่งขันที่สูงลิ่ว ระยะห่างระหว่างสโมสรขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ ขยับเข้าใกล้กันเรื่อยๆ ดังนั้นทุกๆ เกมโอกาสพลิกล็อกจึงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
แต่กับการที่ เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ ตกต่ำขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ
เริ่มจาก เมืองทอง ที่ดูจะน่าเป็นห่วงมากกว่าคู่แค้น เพราะพวกเขาปล่อยผู้เล่นหลักออกไปนับสิบราย เหลือเพียงดาวรุ่งที่เพิ่งจะขึ้นมา ผสมผสานกับผู้เล่นต่างชาติที่ไม่ได้อยู่เลเวลเดียวกับกิเลนผยองสมัยก่อน
ทว่าภายใต้การนำทีมของ อเล็กซานเดร กามา ผู้กลายเป็นอดีตไปไม่นานนี้นั้นถือว่าทำผลงานได้น่าพอใจเมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยู่ เขาสร้างทีมชุดนี้ได้อย่างลงตัว อาจจะไม่ถึงขนาดลุ้นแชมป์ แต่ก็เป็นทีมที่เล่นด้วยยาก
ผลงานการมี 10 คะแนน และความพ่ายแพ้ 4 นัด ดูจะโหดร้ายเกินไปเมื่อมองจากรูปเกมของกิเลนผยองที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่ต่อสู้เลยสักนิด
แต่ถึงอย่างนั้น ฟุตบอลคือเกมที่ใคร 'พลาดน้อยกว่า' จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเมื่อ เมืองทอง ไม่อาจทำอะไรคู่ต่อสู้ไม่ได้ ผลที่ตามมาคือการถูกลงโทษ ซึ่งส่วนใหญ่ประตูที่ถูกส่งผ่านมา ดัง วัน ลัม และ สมพร ยศ นั้นเกิดจากความผิดพลาดส่วนบุคคล
มันบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเกมรุกของกิเลนผยองก็มีปัญหาที่ไม่อาจจบสกอร์ได้ ทั้งๆ ที่มีโอกาสหลายต่อหลายหน นับเฉพาะเกมล่าสุดที่แพ้คาบ้านต่อ ตราด เอฟซี พวกเขามีสถิติยิงถึง 21 ครั้ง แต่ 0 ประตู
1
ประสบการณ์ที่ยังน้อยนิดของผู้เล่นวัยรุ่นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้องเสียประตู ซึ่งก็เป็นการพลาดเฉพาะบุคคลนั่นแหละ
ขณะเดียวกัน บุรีรัมย์ คู่ปรับตลอดกาล เหมือนอยู่ในอาการเมาหมัด 2 นัดหลังสุดปราชัยเรียบวุธ แถมความพ่ายแพ้ต่อ นครราชสีมา ยังถือว่าสร้างความบอบช้ำได้ในระดับรุนแรง เพราะปกติแล้วสวาทแคทมักจะต้านทานพวกเขาไม่ได้ แต่นี่กลับบุกมาชนะได้ถึง ช้าง อารีน่า ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตัวผู้เล่น บุรีรัมย์ ดูดีกว่า เมืองทอง คู่ปรับอยู่ระดับหนึ่ง เพราะมีนักเตะดีกรีทีมชาติขาประจำอยู่ในทุกตำแหน่ง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลานี้อาจจะเป็นผลกระทบจากการต้องเข้ารับการกักตัว 14 วัน หลังจาก อั๊คบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ แข้งอิมพอร์ทถูกตรวจพบเชื้อโควิด-19
แมตช์ ฟิตเนส เป็นเรื่องสำคัญสำหรับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน ดังนั้นการที่ทีมปราสาทสายฟ้าไม่ได้ลงซ้อมเลยตลอดทั้ง 2 สัปดาห์ มันเหมือนเป็นการ 'ต่อ' ให้คู่ต่อสู้กลายๆ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ บุรีรัมย์ ย่ำแย่อย่างนี้น่าจะมาจากการที่ผู้เล่นในโควต้าต่างชาตินั้นทำผลงานได้ค่อนข้างน่าผิดหวัง
นับตั้งแต่หมดยุค ดีโอโก้ ลุยส์ ซานโต้, โก ซึล-กี และ อันเดรส ตูเนซ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าประสิทธิภาพของ บุรีรัมย์ ลดลงแบบฮวบฮาบ
นักเตะใหม่ที่เข้ามาแทนไม่อาจปรับตัวกับ ไทยลีก ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ภาพที่สะท้อนออกมาคืออันดับในตารางคะแนนปัจจุบันมัน
ทั้ง เมืองทอง และ บุรีรัมย์ ต่างประสบปัญหาแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันในเวลานี้คือการมี 10 แต้ม รั้งอันดับ 11 และ 12 ของตาราง ไทยลีก อย่างแปลกตา
มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่แฟนๆ ของทั้งสองสโมสรไม่ปลื้มเอาเสียเลย แต่พวกเขา (แฟนฟุตบอล) ต้องรับมันให้ได้ เพราะนี่คือวัฏจักรของโลก มีขึ้น ก็ย่อมต้องมีลง
ไม่มีสโมสรใดในโลกนี้หรอกที่จะได้แชมป์หรือยืนอยู่ในอันดับ 1 ตลอดกาล
เมืองทอง และ บุรีรัมย์ เองก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องให้เวลากับสโมสรในการปรับตัวจากยุคสู่อีกยุค
เข้าใจความรู้สึกของแฟนๆ ที่เคยชินกับความสำเร็จที่สองทีมนี้สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 10 ปี
แต่ถ้าหากว่ายังเสพย์ติดอยู่กับภาพความสำเร็จเก่าๆ ต่อไป มันจะบั่นทอนจิตใจของตัวแฟนฟุตบอลเอง รวมไปถึงสโมสรด้วยเช่นกัน
ถือว่าดีซะอีก เพราะแฟนๆ จะได้เห็นทีมอื่นๆ ก้าวขึ้นมาท้าชิงเหมือนที่ เชียงราย ทำสำเร็จได้ในซีซั่น 2019 เพราะเมื่อลีกแข็งแรงแบบนี้ ผลดีมันจะตกไปถึงทีมชาติไทย ที่จะได้อานิสงส์ไปเต็มๆ
ความตกต่ำในช่วงนี้ของ เมืองทอง และ บุรีรัมย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด พวกเขาเพียงแค่รอจังหวะและเวลาที่จะกลับมาสู่จุดที่คุ้นเคยอีกหน
แต่มันคลาสสิกตรงที่ภายใต้ความตกต่ำนั้น ราวกับว่าทั้งสองทีมจะไม่ทิ้งกันไปไหน แม้จะเคียดแค้นกันเพียงใด ทว่า เมืองทอง และ บุรีรัมย์ นั้นจะเป็น 'เพื่อนกันตลอดไป'
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
www.cheerball.com/news/talk
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
Line :
https://line.me/R/ti/p/@cheerballth
Facebook :
www.facebook.com/cheerball
Twitter :
www.twitter.com/cheerballth
Website :
www.cheerball.com
Youtube :
www.youtube.com/cheerballth
ขอบคุณครับ
บันทึก
18
1
18
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย