20 ต.ค. 2020 เวลา 08:18 • การศึกษา
มาต่อที่บทความเดิม ครั้งนี้ยาวมาก และยังไม่จบอีกเช่นเคย
แปล สรุป และเรียบเรียงใหม่จาก วารสารการประชุมวิชาการ World library and Information Congress : 72nd IFLA General Conference and Council ปี 2006 ณ กรุงโซล เรื่อง Bunko: A private children’s library in Japan ของ Kichiro Takhashi
ตอนที่ 2.1 ประวัติบ้านหนังสือ
ก่อนปี 1945
แม้ไม่พบข้อมูลบ้านหนังสือแห่งแรก แต่บ้านหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดที่ผู้เขียนสืบค้นได้อยู่ในช่วงปี 1906 ก่อตั้งโดย Kasui Takenuki ซึ่งเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก บรรณาธิการ และบรรณารักษ์ห้องสมุดสาธารณะ
บ้านหนังสือของเขาตั้งอยู่ในบ้านของเขาเองที่อาโอยามะ โตเกียว มันก็ไม่น่าแปลกใจที่นักเขียนหนังสือเด็กจะมีคอลเลคชั่นหนังสือเด็กเก็บไว้เป็นจำนวนมากพอที่จะเปิดเป็นบ้านหนังสือได้ เพราะทุกวันนี้เราก็จะพบว่านักเขียนหลายคนเปิดบ้านหนังสือเพื่อให้เด็กในบริเวณใกล้เคียงได้ยืมหนังสือ ในทางกลับกัน ก็มีคนทั่วไปเริ่มเปิดบ้านหนังสือในช่วงเริ่มศตวรรษที่ 20th แต่ก็ยากที่จะหาข้อมูลที่เกิดก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
กระนั้นทาง The Jido Toshokan Kenkyukai (Children ‘s Librarians’ Society หรือสมาคมบรรณารักษ์สำหรับเด็ก) ได้ทำแบบสำรวจจำนวน 1958 เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการพบเห็นบ้านหนังสือก่อนปี 1945 และพบว่ามีบ้านหนังสือถึง 60 แห่ง และหยุดลงในยุค 60
ยุค Katsura Bunko
จากที่เคยเกริ่นไว้ว่า นักเขียนหนังสือเด็กสนใจเปิดบ้านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น
Hanako Muraoka (นักจัดรายการวิทยุสำหรับเด็ก, นักแปล ที่มีผลงานแปลระหว่าง 1927 – 1969 ผลงานส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมคลาสสิคอย่าง เจ้าชายแสนสุข, คุณพ่อขายาว, อลิสในดินแดนมหัศจรรย์, เจ้าหญิงน้อย, กระท่อมน้อยลุงทอม ฯลฯ ) อ่านประวัติเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Hanako_Muraoka
คุณ Hanako Muraoka (1893-1968)
Tomiko Inui (บรรณาธิการ, นักเขียนหนังสือเด็กที่ได้รับรางวัล อาทิ he Mainishi Publishing Culture Award and the Akaitori Award for Children's Literature และรางวัลใหญ่อย่าง the Hans Christian Andersen prize ในปี 1964 อีกทั้งผลงานของเธอก็ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย ชื่องาน the secret of the blue glass) อ่านประวัติและดูผลงานเพิ่มเติมได้ที่ https://www.goodreads.com/author/show/759887.Tomiko_Inui
คุณ Tomiko Inui (1924 - 2002) และผลงาน
Miyoko Matsutani (นักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก มีผลงานมากมายทั้งหนังสือภาพและวรรณกรรม เรื่องที่เรารู้จักกันดีและตีพิมพ์ในไทย อาทิ เด็กหญิงอีดะ, เก้าอี้กับเด็กหญิงอีดะ, โมโมจัง จัดพิมพ์และแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) อ่านประวัติเพิ่มเติมได้ที่ https://www.goodreads.com/author/show/55351.Miyoko_Matsutani
เว็บไซต์ส่วนตัว http://matsutani-miyoko.net/index.php?id=16
คุณ Miyoko Matsutani (1926 - 2015) และผลงาน
Teruo Teramura (นักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ออกหนังสือภาพมาหลายเรื่อง อาทิ しまったさんシリーズ, たまごのほん, ぞうのほん, 寺村輝夫のとんち話 ฯลฯ ซึ่งแต่ละเล่มก็เป็นแบบซีรี่ย์ (ดำเนินตัวละครชุดเดียวกัน แต่แบ่งออกเป็นเล่มละตอน) และได้รับรางวัลจากทั้งในประเทศและนอกประเทศจำนวนมาก รวมทั้งรางวัล International Andersen Award ในปี 1974 เรื่อง おしゃべりなたまごやき โดยคุณเทระมูระได้เปิดบ้านหนังสือโดยดำเนินการให้เป็นห้องสมุดสำหรับเด็กอย่างเต็มรูปแบบ เริ่มต้นจาก 900 เล่ม จน 7000 เล่ม แต่ก้ต้องปิดตัวลงเนื่องจากอาการป่วยของคุณเทระมูระ อ่านประวัติเพิ่มเติมได้ที่ https://ja.wikipedia.org/wiki/%E5%AF%BA%E6%9D%91%E8%BC%9D%E5%A4%AB#%E3%82%B7%E3%83%AA%E3%83%BC%E3%82%BA%E5%88%8A%E8%A1%8C
คุณ Teruo Teramura (1928-2006) และผลงาน
Momoko Ishii (บรรณาธิการและนักแปลที่ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก หลังจากได้อ่านวินนี่เดอะพูห์ของ เอ. เอ. มิลด์ ) ผลงานของคุณอิชิอิมีเรื่อง Nonchan Riding a Cloud, ซีรี่ย์ Iwanami Children’s Books เป็นต้น (อ่านประวัติเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Momoko_Ishii
คุณ Momoko Ishii (1907-2008)
และนอกจากผลงานด้านหนังสือแล้ว คุณอิชิอิก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับบ้านหนังสือ ซึ่งเป็นบ้านหนังสือชื่อว่า Katsura Bunko ที่เธอเปิดขึ้นเองในปี 1958 ถือว่าเป็นช่วงยุคแรก ๆ ของการเกิดบ้านหนังสือเลยทีเดียว เนื้อหาภายในเล่มจะเกี่ยวกับการทำงานในบ้านหนังสือของเธอตลอด 7 ปี รวมทั้งลักษณะการทำงานของห้องสมุดเด็ก ทั้งห้องสมุดเอกชนและห้องสมุดสาธารณะ ของอเมริกา แคนาดา และยุโรป ที่เธอเคยไปในช่วงปี 1954 – 1955 และด้วยหนังสือเล่มนี้จึงทำให้บ้านหนังสือเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาบ้านหนังสือหลังยุค 60
Kodomo no Toshokan หนังสือเกี่ยวกับการบ้านหนังสือ แต่งโดย Momoko Ishii
แม้หนังสือเล่มนี้จะไม่ได้ขึ้นหิ้งเป็นหนังสือขายดี แต่ช่วยเปิดโลกให้กับผู้คนมากมาย จนผู้หญิงหลายคนหันมาเปิดบ้านหนังสือในที่ต่าง ๆ ทั้งที่บ้านและสถานที่ต่าง ๆ (บทความกล่าวถึงแค่เพียงผู้หญิง แต่เราคิดว่า ก็น่าจะมีผู้ชายและผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่มีความคิดในการเปิดบ้านหนังสือเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ก็น่าจะได้รับความยินยอมจากคนในครอบครัวก่อนทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว)
โดยการเปิดบ้านหนังสือของคุณอิชิอิก็มีจุดประสงค์สำคัญอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือ เหมือนห้องสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ทำไมหนังสือบางเล่มเด็ก ๆ ถึงเลือกที่จะหยิบมันบ่อย ๆ และทำไมบางเล่มถึงไม่ถูกหยิบขึ้นมาเลย
คุณอิชิอิจะสังเกตว่า หนังสือเล่มแรกที่เด็กหยิบคือเรื่องไหนกันนะ โดยคุณอิชิอิเขียนผลการสังเกตการณ์จากเด็กจำนวน 20 คน ซึ่งมีการใส่รายละเอียดลักษณะนิสัยของแต่ละคนไว้ ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ในหนังสือเล่มนั้นน่ะแหละค่ะ
นอกจากนี้ในเล่มคุณอิชิอิยังยืนกรานว่าห้องสมุดสาธารณะสำหรับเด็กถือเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับการมีผู้ตีพิมพ์หนังสือที่เขียนดี ๆ สำหรับเด็ก เพราะห้องสมุดทำให้เกิดฟังก์ชั่นระหว่างเด็กกับหนังสือดี ๆ ส่งผลไปถึงตลาดหนังสือเด็กที่ต้องผลิตหนังสือคุณภาพดีออกมา ซึ่งช่วยรักษามาตรฐานคุณภาพของหนังสือเด็ก
สุดท้ายยังกล่าวถึง ความยากในการบริหารบ้านหนังสือ ที่ต้องการเสียสละตนเองเป็นอย่างมากกับภาระที่ต้องรักษาสภาพของบ้านหนังสือให้กับบุคคลทั่วไป ทั้งนี้จึงควรมีห้องสมุดสาธารณะที่ได้รับการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอจากภาษี และห้องสมุดก็ยังจะเป็นสถานที่สำหรับโปรโมทหนังสือสำหรับเด็กได้อีกด้วย (จากการสำรวจในปี 1965 ในขณะนั้นมีห้องสมุดสาธารณะทั่วประเทศญี่ปุ่นเพียง 750 แห่ง)
พูดคุยนอกเรื่องนิดหน่อยนะคะ
แม้ดรุณบรรณาลัยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ของรัฐบาล กรมสุขภาพจิตให้พื้นที่ในการจัดทำห้องสมุดแต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนในการดำเนินงานหรือการบริหาร เราใช้จ่ายจากเงินบริจาค ถึงอย่างนั้นเงินบริจาคก็น้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย สาเหตุอาจเป็นเพราะเราต้องซื้อหนังสือใหม่ ๆ เข้ามา
ที่ต้องซื้อหนังสือมือ 1 เพราะเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะช่วยจูงใจให้เด็กอยากหยิบหนังสือค่ะ อีกทั้งหนังสือใหม่ก็แข็งแรงกว่าหนังสือมีสอง เพราะเราไม่มีการเสื่อมสภาพของหนังสือจากการใช้งาน (ไม่ขอนับรวมหนังสือใหม่ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานแล้วกาวเก่าจนหลุดมาเป็นแผ่น ๆ นะคะ) และเมื่อเด็ก ๆ ได้จับหนังสือใหม่ เขาก็จะรู้สึกเกิดความประทับใจแรกในการอ่านหนังสือค่ะ
ดังนั้นหนังสือที่เรารับบริจาคจึงขอเป็นหนังสือที่ผ่านการใช้งานแต่สภาพดีค่ะ นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนของหนังสือ ก็ยังมีพวกค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่เขียนมาทั้งหมดเพียงเพื่ออยากแนะนำว่า ถ้าเปิดบ้านหนังสือ อยากให้เตรียมใจเรื่องค่าใช้จ่ายและการเสียสละค่ะ เพราะถ้าการอ่านสำคัญตั้งแต่เล็กจริง ๆ อยากให้มีบ้านหนังสือสำหรับเด็กในที่ต่าง ๆ เยอะ ๆ นะคะ
โฆษณา