22 ต.ค. 2020 เวลา 15:54 • ธุรกิจ
ครอบครัว,การเมือง, และ ความเข้าใจ
ก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน สิงหาคม 2563
หากมีโอกาส ผมจะไปเข้าร่วมการชุมนุมอยู่ตลอด มีจะขาดไปบางวันที่มีกิจส่วนตัว หรือกรณียังสะสางงานของมหาวิทยาลัยไม่เสร็จ ก็อาจไม่ได้ไปเข้าร่วมการชุมนุม
หากคนที่อยู่กับผมจะทราบดี ว่าการที่ผมจะแสดงออกถึงจุดยืน มันยากนักที่จะทำได้เต็มที่ มันเป็นเพราะข้อจำกัดบางอย่างของครอบครัว ที่ทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นมายืนได้เต็มสองเท้าเสียที
การแสดงจุดยืน หรือการออกความคิดเห็นใดๆของผม ทำได้เพียงเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือ แม้กระทั่งการไปชุมนุมก็ต้องไปอย่างเซฟตี้ที่สุด
มีเพียงพื้นที่หน้าสื่อออนไลน์ ที่ผมพอจะแสดงออกตัวตนของตัวเองออกมาได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เต็มที่นัก (ในจุดนี้อาจมีคนนึกปรามาสในใจว่า การแสดงออกมันต้องลงสื่อออนไลน์เท่านั้นหรือ ขอแจ้งไว้ตรงนี้ว่าไม่ใช่ครับ ทุกคนมีพื้นที่การแสดงออกของตนเองทั้งนั้น ตามแต่ถนัด แต่การแสดงออกมาผ่านตัวอักษรเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำได้ดีที่สุด จะให้เขียนแล้วอ่านเองคนเดียวก็กะไรอยู่)
ระหว่างทางการชุมนุมตั้งแต่สิงหาคม-ปัจจุบัน
มีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้อกของผมมันหนักขึ้นมา
คือ “ข้อจำกัด” ของครอบครัว
พ่อผมมักจะถามว่า “ได้ไปม็อบไร้สาระนั้นหรือเปล่า” ใจจริงอยากจะตอบออกไปว่า “ก็ไปตลอดแหละ” แต่ด้วย ผมไม่อยากมีปัญหา และไม่อยากให้เรื่องการเมืองเข้ามาในบ้าน จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบไปเสียทุกรอบ
ผมจึงเข้าใจและอึดอัดมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ ว่าพ่อไม่ได้สนับสนุน ทั้งๆที่สถานะการงานของท่านน่าจะเป็นสัมมาอาชีพที่เข้าใจถึงปัญหาการเมือง,การคอรัปชั่น,การกดขี่ ได้มากที่สุด
เขาปรามผมทุกครั้ง ยามดูข่าวในทีวีพร้อมกัน หรือจะโทรมาบางครั้งยามมีการชุมนุมเพื่อที่จะเช็ค ว่าผมได้ไปเข้าร่วมหรือเปล่า (แต่ก็ไม่ทัน ผมกลับมาก่อนทุกรอบ🤣)
จนถึงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมตัดสินใจโพสต์ “พลีชีพ” ผมได้เขียนถึงเรื่องที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมเมื่อค่ำวันที่ 16 ตุลาคม ณ แยกปทุมวัน
ความอดทนมันเดินมาสุดทาง
ความอดทนที่จะต้องเห็นพี่น้องโดนกระทำ
ความอดทนที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างหลบๆซ่อนๆมาโดยตลอด
มันสุดทางแล้วจริงๆ
ผมโตมากับคติ “ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ” คำๆนี้ที่ผมใช้สอนตัวผมเองอยู่เสมอ และผมก็ได้ทำมันเสียที ทำโดยไม่กังวลว่าจะทะเลาะกับพ่อ เพียงเพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำ “ผมเชื่อในมันจริงๆ” และสิ่งๆนั้นมัน “ถูกต้อง”
หากเป็นศัพท์ฟุตบอล การเขียนของผมในวันนั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการ ”กึ่งยิงกึ่งผ่าน” การโยนลูกฟุตบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ในขณะเดียวกันทิศทางของมันก็สามารถเข้าประตูได้เหมือนกัน
และวันนี้ผลลัพธ์มันออกมาแล้วครับ
ช่วงหัวค่ำผมได้รับโทรศัพท์จากพ่อ (ลึกในใจทราบอยู่แล้ว ว่าต้องเรื่องการเมืองแน่ๆ)
แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ
ระหว่างบทสนทนานั้น สิ่งที่พ่อผมพูดออกมา ไม่มีคำด่าแม้แต่คำเดียว เป็นบทสนทนาราว 6 นาทีเศษ ที่ผมไม่อาจลืมจริงๆ
“ไปมงไปม็อบ ก็ดูแลตัวเองนะลูก โตแล้วหนิ มีความคิดเองแล้ว”
“มีอะไรมา คดีทางการเมือง พ่อยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้นะลูก เซฟตัวเองให้ดี”
“พ่อไม่สามารถห้ามความคิดภูพานได้ จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอย่าลืม ครอบครัวมาก่อนเสมอ ภูพานก็รู้หนิ”
และคำแนะนำต่างๆอีกมากมาย ราวกับเรือใหญ่ที่ผจญมาแล้วทุกคาบสมุทร จึงทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า เราเป็นเพียงเรือลำน้อย ที่พึ่งแล่นเข้ามาในกระแสน้ำเชี่ยวของคาบสมุทรเพียงครั้งแรกเท่านั้น
ผมพรรณาเรื่องราวที่อยากจะพูดมาโดยตลอดออกไปทั้งหมด และขอบคุณจริงๆที่เขา “รับฟัง” และ “เข้าใจ”
เพราะเราต้องการเท่านี้จริงๆ
บทสนทนาผมกับพ่อในวันนี้ มันเหมือนได้ปลดล็อคอะไรในใจบางอย่างออกไปจนหมดจด มีช่วงนึงของบทสนทนา ผมถามว่า รู้ได้อย่างไรถึงสิ่งที่ผมทำอยู่ เขาตอบเพียงว่า
“พ่อมีวิธีการดูแลคนในครอบครัวอยู่เสมอแหละ”
สุดท้ายแล้ว “การเมือง” สำหรับผมแล้วมันก็ควรถูกถอดไว้แค่หน้าบ้านจริงๆ เหนือกว่าสถาบันอื่นใด ก็คือสถาบันครอบครัวนี่แหละ
ขอบคุณจริงๆที่เข้าใจ หลังจากนี้จะได้ยืนเต็มสองเท้าเสียที..
ผมเกือบลืมเล่า ก่อนจะวางสายพ่อผมได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า
“เรื่องการเมืองยังมีอีกเยอะลูกไว้คุยกัน”
“พ่อก็ไม่ชอบมันเหมือนก๊านนน ไอลุงหนะ”
“แม่งมีอำนาจแล้วหลงระเริง จบเห่แล้วมึง”
🤣🤣🤣
ภูพาน.
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
โฆษณา