27 ต.ค. 2020 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
เปรียบเทียบโมเดลธุรกิจของ Amazon และ Alibaba 🇺🇸🇨🇳
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เปลี่ยนตามกันมา ธุรกิจ E-commerce จึงเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตและพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่เป็นช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 💻
หากจะพูดถึงวงการ E-commerce แล้วทุกคนคงจะต้องนึกถึงแบรนด์ที่คว้าอันดับ 1 ของการจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกมาหลายปีอย่าง Amazon และถ้าเทียบ Amazon เป็นยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ยักษ์ใหญ่ของจีนก็คงหนีไม่พ้น Alibaba ที่กุมตลาดจีนเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด วันนี้ TradeTalk จึงจะมาเปรียบเทียบโมเดลธุรกิจของ Amazon และ Alibaba ว่าทั้งสองธุรกิจนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรค่ะ ✨
🔹 Amazon 🇺🇸
ว่ากันว่า Amazon คือร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Amazon นั้นจะขายสินค้าโดยตรงผ่านหน้าร้านออนไลน์ โดยเก็บสินค้าเอาไว้ในเครือข่ายคลังสินค้าขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ก็จะตั้งความหวังว่าสินค้าของ Amazon จะมีราคาถูกและพร้อมที่จะจัดส่งทันทีเมื่อซื้อ 🚚
นอกจาก Amazon จะขายสินค้าโดยตรงแล้ว Amazon ยังจัดให้ร้านค้าปลีกต่างๆ มาขายสินค้าบนแพลตฟอร์มของตนเอง โดยสินค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นสินค้าที่มีราคาสูงและไม่ใช่สินค้าชนิดทั่วๆ ไป ทำให้ไม่ตัดกำไรของ Amazon เอง และ Amazon ก็ยังได้ค่า Commission จากเปอร์เซ็นต์สินค้าที่ร้านค้าปลีกดังกล่าวขายได้อีกด้วย 💰
นอกจากนี้รายได้จาก Kindle และ Amazon Prime ก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่งของ Amazon โดย Amazon จะได้เงินจากการขาย E-book การซื้อแอปพลิเคชัน และการสมัครสมาชิกเพื่อรับบริการ Amazon Prime ซึ่งถ้าลูกค้ามีบัญชีของ Amazon Prime ที่ต้องจ่ายเงินรายปีแล้ว ลูกค้าก็จะสามารถรับสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ส่งฟรีภายในสองวัน หรือส่งฟรีภายในวันที่สั่ง รวมถึงยังสามารถรับชม Streaming Media ต่างๆ ได้ เช่น เพลงและภาพยนตร์ เป็นต้น 📺
🔹 Alibaba 🇨🇳
Alibaba เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สามารถกุมตลาด E-commerce ของจีนเอาไว้ได้มากที่สุด การดำเนินการของ Alibaba นั้นประกอบด้วยโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย แต่หัวใจหลักของธุรกิจนั้นคล้ายๆ กับของ eBay 🖥️
Alibaba ทำตัวเป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายบนโลกออนไลน์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายสินค้าผ่านเครือข่ายเว็บไซต์ที่กว้างขวางของ Alibaba 🌐
Taobao ที่หลายๆ คนรู้จักกันดีก็เป็นเว็บไซต์ของ Alibaba และยังเป็นเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดย Taobao นั้นทำหน้าที่เป็นตลาดกลางที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ Taobao จะได้เงินจากการที่ผู้ขายมาซื้อพื้นที่โฆษณา กล่าวคือผู้ขายจะการจ่ายเงินเพื่อให้อันดับของร้านค้าสูงขึ้นเมื่อผู้ซื้อมาค้นหาภายในเว็บไซต์ ซึ่งคล้ายกับโมเดลธุรกิจของ Google 📣
ในขณะที่ร้านค้าส่วนใหญ่ใน Taobao เป็นผู้ค้ารายเล็ก แต่ Alibaba ก็ยังจัดพื้นที่เฉพาะให้กับผู้ค้ารายใหญ่เช่นกัน คือ Tmall 🛍️
Tmall เป็นเว็บไซต์ E-commerce ของ Alibaba สำหรับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น Gap, Nike และ Apple เป็นต้น และถึงแม้ว่า Tmall จะมีผู้ขายน้อยกว่า Taobao แต่ Alibaba ก็ยังสามารถทำกำไรจากเงินในระบบ ค่าธรรมเนียมผู้ใช้รายปี และค่า Commission จากการขายสินค้าที่หักจากผู้ขายบนเว็บไซต์ 💵
นอกจากนี้ Alibaba ยังมี Alipay ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันการเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนสำหรับลูกค้าที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการโอนเงินผ่านระบบออนไลน์ โดยเมื่อใช้ Alipay ซื้อของกับเว็บไซต์ในเครือ Alibaba ทาง Alipay จะช่วยคุ้มครองผู้ซื้อที่โดนโกงจากผู้ขาย เป็นต้น 📱
Alipay ต่างจากแอปพลิเคชันการเงินอื่นๆ ตรงที่ Alipay ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมการเงิน แต่ Alipay นั้นยังมีธุรกิจสินเชื่อให้บริการอีกด้วย ซึ่งธุรกิจสินเชื่อนี้จะเน้นให้บริษัทหรือธุรกิจขนาดเล็กทำการกู้ยืม และถือเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของ Alipay 🏦
📍 ถึง Amazon และ Alibaba จะนับเป็นธุรกิจ E-commerce เหมือนกัน แต่ก็มีโมเดลธุรกิจและหัวใจหลักที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อย่างการที่หลักๆ แล้ว Amazon จะทำหน้าที่เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ในขณะที่ Alibaba จะทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายแทน วิธีการทำรายได้ก็แตกต่างกัน จึงพูดได้ว่าถึงทั้งสองจะเป็น E-commerce เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีลักษณะทุกอย่างเหมือนกันอย่างสิ้นเชิง รวมถึงเป้าหมายลูกค้าที่อาจไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันเช่นกัน 💡
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตาม #TradeTalk นะคะ
โฆษณา