28 ต.ค. 2020 เวลา 12:41 • ความคิดเห็น
คุณแม่ท่านใดเคยหรือกำลังประสบปัญหานี้บ้างคะ อยากคุยกับลูก............ แต่เมื่อ
ได้คุยแล้ว ก็สามารถทะเลาะกันได้💔
แทบจะทุกครั้ง และทุกเรื่อง
ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเองแถมบางทีก็เถียงใส่กันรุนแรง จนแทบจะตัดแม่ตัดลูกกันเลยทีเดียว😅
ผลคือ.......ลูกจะทำทุกวิถีทางเพื่อ..........
"เลี่ยง" การเผชิญหน้ากับคุณพ่อคุณแม่
และพูดคุยด้วยน้อยลง หรือไม่คุยเลยก็มี
ภาพถ่ายโดย Liza Summer จาก Pexels
เคยสงสัยมั้ยคะว่า.......ทำไม ?
หรือเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเรากันแน่
ลูกถึงไม่เชื่อฟังเรา ,
ไม่ใส่ใจความรู้สึกของเรา เหมือนเมื่อก่อน
หรือเขาไม่รัก..... ไม่เคารพเราอีกแล้ว
ล้วนเป็นคำถามมากมายที่ติดอยู่ในใจของพ่อและแม่.............
ถ้าในกรณี.....ที่ลูกของเราอยู่ในช่วงวัยรุ่น
ก็ใช่ค่ะ........ส่วนหนึ่งของปัญหา
อาจเกิดมาจาก ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ส่งผลให้อารมณ์ของลูก.......แปรปรวน
ลูกอาจติดเพื่อน, ติดเกมส์
หรือเริ่มสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น
ก็มีส่วน......ทำให้ลูกใส่ใจพ่อแม่น้อยลง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว......ที่ลูกไม่อยากคุยกับพ่อแม่ หรือไม่คุยด้วยเลยนั้น.........เป็นเพราะลูกรู้สึกว่า พ่อแม่ "ไม่เข้าใจ"พวกเขา และ "ไม่พยายามที่จะเข้าใจด้วย"
ในพ่อแม่บางคน ไม่รับฟังเหตุผลใดๆของลูกเลยด้วยซ้ำ........... "ไม่มีลูกคนไหนอยากทะเลาะกับพ่อแม่ของตัวเอง"หรอกนะคะ
ฉะนั้น....."การเลี่ยงไม่คุยด้วย" จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด....สำหรับพวกเขา
เพราะลูกไม่ใช่เด็กเล็กๆ
ที่จะมองว่า พ่อแม่คือทุกสิ่ง
และ"เป็นโลกทั้งใบ"ของเขาอีกต่อไปแล้ว
วันนี้โลกของพวกเขากว้างขึ้น
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน.....กับผู้อื่น
มากกว่าอยู่กับเราเสียอีก
โอกาสที่จะเจอกัน หรืออยู่พร้อมหน้ากันนั้นน้อยลงเรื่อยๆ....ในบางครอบครัว
บางครอบครัวมีโอกาสเจอหน้ากัน เกือบทุกวัน........แต่กลับเหมือนคนแปลกหน้าก็มี
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก เริ่มแย่ลงไปทุกที
ยิ่งในกรณีที่.....พ่อแม่ มีอีโก้เยอะมากๆ
คือ......ถือว่าฉันเป็นพ่อแม่นะ,
ฉันอุ้มท้องเธอมาตั้ง9-10เดือนนะ,
ฉันทำงานเหนื่อยแทบตาย...........
หาเลี้ยงเธอมา กว่าจะโต...............
ฉันอย่างนั้น ฉันอย่างนี้ ฉัน................
ทวงบุญคุณกับลูก ไม่รู้จักจบสิ้น....
พ่อแม่ท่านใดเป็นแบบนี้นะคะ
เตรียม "จบ"ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกได้เลย
เพราะการไม่อยากคุยด้วย,ไม่อยากเห็นหน้า,ไม่ยอมเข้าใกล้พ่อและแม่ นั่นคือ
"วิธีการต่อต้าน"จากพวกเขาแล้วค่ะ
และเป็นสัญญานเตือนว่า.......ทุกอย่างจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าพ่อและแม่ไม่ยอมแก้ไข
ภาพถ่ายโดย  Anastasia Shuraeva จาก Pexels
การเลือกใช้วิธีการเดิมๆ
ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือการกระทำที่รุนแรงในการอบรม สั่งสอนลูก........
ไม่ส่งผลที่ดี กับจิตใจของลูกเลย...พ่อแม่ควรนำ"พรหมวิหาร 4" มาปรับใช้กับลูกค่ะ
เมตตา คือ อยากเห็นลูกมีความสุขกายสบายใจ
กรุณาคือ อยากช่วยให้ลูกพ้นจากความทุกข์กายและทุกข์ใจ
มุฑิตา คือ ยินดีในความสุข และความสำเร็จของลูกในทุกๆเรื่อง แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย
อุเบกขา คือ วางเฉยกับความผิดพลาดของลูก ไม่ซ้ำเติมด้วยคำพูดที่ปราศจากความเมตตา
ให้อภัยและให้โอกาส เมื่อลูกพูดหรือกระทำอะไรผิดพลาดไป.....ในทุกๆเรื่อง
และควรอบรมสั่งสอนลูกด้วยความกรุณา
ความต้องการเอาชนะลูก ในพ่อและแม่บางท่าน อาจเผลอทำทุกวิถีทาง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
จนลืมนึกถึงความรู้สึกของลูก นำไปสู่ โศกนาฏกรรม ดังที่ตกเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง
ไม่ควรคุยกับลูก เมื่อ"คุณกำลังรู้สึกโกรธ"
เพราะจะทำให้คุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ
การจัดการกับความโกรธของตัวเองนั้น
ทำง่ายมั้ย...ไม่ง่ายเลยค่ะ😊
แต่ก็ไม่ยาก....ค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองไปนะคะ
ภาพถ่ายโดย Artem Podrez จาก Pexels
วิธีที่ฉันนำมาใช้ และปฏิบัติกับลูก กรณีที่เผลอปะทะคารมกันไปแล้ว ซึ่งได้ผลลัพธ์
ที่ดีคือ............
Give up หรือ"การยอมแพ้" ค่ะ😁😁
เลือกที่จะจบบทสนทนาใดๆก็ตาม ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ระหว่างคุณกับลูก.....
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ "รู้สึกโกรธ"
จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังโกรธ สังเกตุจาก.......หัวใจของคุณ ที่เริ่มเต้นผิดจังหวะ การหายใจถี่และแรงขึ้น........ถอยออกมาค่ะ
กลับมาจัดการกับความรู้สึกโกรธของตัวเองก่อน โดยแยกตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนั้นๆ
แล้วอยู่กับตัวเอง สูดลมหายใจลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ทำอย่างนี้สัก 5 ครั้ง
จะช่วยลดความโกรธได้ในเบื้องต้นค่ะ
จากนั้น....หากิจกรรมทำ เช่นทำสวน, รดน้ำ, พรวนดิน, ปัด, กวาด, เช็ดถูอะไรก็ได้ให้ร่างกายได้ออกแรง
การเต้นรำ, ร้องเพลง ก็เป็นการระบายความโกรธ ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งจะช่วยบรรเทาความโกรธให้ลดลงไปได้อีก
แต่วิธีจัดการความโกรธที่ดีที่สุด.....และได้ผลในระยะยาว.....สำหรับฉัน คือ
"การปรับวิธีการคิด"ค่ะ "คิดบวก" เข้าไว้......
แล้วการมองโลกในแง่ดี
หรือการคิดบวกทำยังไง........ต้องฝึกค่ะ
ง่ายสุด ก็คือการบอกตัวเองทุกวัน ซึ่งจะมีให้เลือกหลากหลายในยูทูปนะคะ
จากไลฟโค้ชหลายๆท่าน เลือกฟังได้เลย เราถูกจริตกับไลฟโค้ชท่านใด
ก็ดาวน์โหลดไว้ฟังทุกเช้าและก่อนนอน ฟังไปทุกวัน จะช่วยให้เรามีกำลังใจมากขึ้นค่ะ
ส่วนดิฉันจะเปิดไลฟโค้ชฟัง เวลาที่ทำสมาธิทุกเช้าวันละ 40 นาที และฟังก่อนนอนจนหลับไปทุกวัน
การทำสมาธิบ้างเพียงวันละ 5-15 นาทีในแต่ละวัน (อาศัยว่าทำทุกวัน) จะช่วยให้เกิดความสงบเย็นในใจ เป็นการดูแลสุขภาพจิตของหัวใจ ได้ดีอีกวิธีหนึ่ง
การออกกำลังกาย เช่นเล่นโยคะ, วิ่ง,
ปั่นจักรยาน, เต้นแอโรบิค กิจกรรมเหล่านี้ จะช่วยให้สุขภาพคุณแม่แข็งแรงขึ้น
เมื่อร่างกายแข็งแรง,สุขภาพจิตดีขึ้น คุณแม่จะสัมผัสได้ถึงความสุขที่แท้จริง
ซึ่งสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง
แล้วมุมมองในการใช้ชีวิตของคุณแม่
จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยอัตโนมัติอันเกิดจากจิตสำนึกที่รักและเมตตาตัวเองมากขึ้น
จะไม่คิด, พูดหรือทำอะไรที่เป็น"ลบ" ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความทุกข์กายและทุกข์ใจในภายหลังอีก
เมื่อคุณแม่ ผ่านกระบวนการรักและดูแลตัวเองเป็นแล้ว จึงเกิดการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลผู้อื่นได้ดีมากขึ้นด้วย
ส่งผลให้คุณแม่ กลับมาเป็นคุณแม่ที่น่ารักสำหรับลูกๆ และคุณพ่อเหมือนเดิมค่ะ
เพราะตัวเราเป็นคนแบบไหน
เราจะมองผู้อื่นเป็นแบบนั้นด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่าง.....เริ่มจากตัวเองก่อนทั้งสิ้น
ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย
แล้วความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในครอบครัวจะกลับคืนมาอย่างแน่นอนค่ะ
อย่าท้อนะคะ เพราะถ้าดิฉันทำได้
คุณแม่ทุกท่านก็ย่อมทำได้เช่นกัน
เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกๆท่านค่ะ❤
โฆษณา