29 ต.ค. 2020 เวลา 14:28 • การเมือง
มาลองทำความเข้าใจอย่างใจเป็นกลาง กับกรณีความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศษกับมุสลิมทั่วโลก ในขณะนี้ดูครับ
อิสลามมีปัญหากับฝรั่งเศส หรือฝรั่งเศสมีปัญหากับอิสลาม? ทำไมฝรั่งเศสถึงโดนคว่ำบาตรจากโลกมุสลิม? ก่อนอื่นต้องขอเท้าความก่อนว่า จริง ๆ เคสเรื่องการ์ตูนล้อเลียนนบีมุฮัมมัดในยุโรปไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เหตุการณ์ล้อเลียนศาสนทูตของศาสนาอิสลาม (รวมถึงศาสนาและความเชื่ออื่น) ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวมุสลิมนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในยุโรป ทั้งในนอร์เวย์ สวีเดน รวมถึงประเทศอื่น ๆ หรือถ้าใครจำได้ในปี 2005 ที่หนังสือพิมพ์ 'ยิลลานดส์-โปสเต็น' ของเดนมาร์กได้ตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อเลียนนบีมุฮัมมัด ประชาคมมุสลิมทั้งโลกส่วนใหญ่ก็ออกมาประณามกับเหตุการณ์ครั้งนั้น แม้ฝ่ายที่ล้อเลียนจะอ้างว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความเห็นก็ตาม ต่อมาในปี 2015 นิตยสาร ‘ชาร์ลี เอบโด’ ในฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์ภาพล้อเลียนนบีมุฮัมมัด เป็นชนวนให้เกิดเหตุกราดยิงสำนักงานนิตยสารชาร์ลี เอบโด ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 12 ราย และล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซามูเอล พาที ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์วัย 47 ปี ได้นำภาพล้อเลียนนบีมุฮัมมัดจากนิตยสาร ชาร์ลี เอบโด ดังกล่าวมาสอนในห้องเรียนเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความเห็น จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผู้ปกครองของนักเรียนจำนวนหนึ่งที่รับทราบเกิดอาการไม่พอใจและเรียกร้องให้ผู้ปกครองท่านอื่นร่วมร้องเรียนต่อทางโรงเรียน จนเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์ในหมู่สังคมฝรั่งเศส ทำให้ในที่สุดโรงเรียนต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อทำการสอบสวน และครูพาทีก็ได้ขอโทษพร้อมยอมรับว่าเขาได้หยิบยกหัวข้อขึ้นมาและไม่ควรทำเช่นนั้น ขณะที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้นเมื่อครูพาทีถูกสังหารระหว่างเดินทางจากโรงเรียนกลับบ้าน เป็นเหตุให้ชาวฝรั่งเศสนับหมื่นคนออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อยืนยันหลักการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและไว้อาลัยให้กับครูพาที #ท่าทีและจุดยืนของโลกมุสลิม แน่นอนว่าโลกมุสลิมส่วนใหญ่แทบจะนับได้ว่า 99.99 % ร่วมแสดงความเสียใจแก่บรรดาผู้เสียชีวิตและครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทั้งออกมาประณามเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งหมด ไม่มีการปกป้องหรือสร้างความชอบธรรมใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ที่มีการอ้างการกระทำด้วยนามของอิสลาม . ในขณะที่ตามหลักการแล้วการกระทำเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับหลักคำสอนของอิสลาม ซ้ำการละเมิดชีวิตหนึ่งโดยมิชอบถือว่าเป็นการทรยศต่อหลักการอิสลามอย่างร้ายแรง ยิ่งกว่านั้นมุสลิมยังออกมายืนยันถึงหลักการอิสลามที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกที่อยู่บนพื้นฐานของความเคารพด้วยเช่นกัน . ถึงกระนั้นในนามของศักดิ์ศรีและเกียรติของมุสลิม พวกเขาก็บอกว่าเป็นสิทธิ์ของพวกเขาเช่นกันที่จะบอกว่า “เราไม่ชอบการแสดงออกที่สื่อถึงการจาบจ้วงและการเหยียดหยามเช่นนี้” และส่วนมากชาวมุสลิมในยุโรปก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรง เพราะพวกเขารู้ดีว่ามันเป็นหลุมพรางที่จะพาพวกเขาไปเจอกับกับดักทางการเมืองอะไรบ้าง . ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง นอกจากโลกมุสลิมจะออกมาประณามผู้กระทำผิดแล้ว พวกเขายังร่วมกันรณรงค์คว่ำบาตรประเทศหรือหน่วยงานใด ๆ ที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนทูตของพวกเขา . การคว่ำบาตรทั้งหมดก็เป็นเหมือนการส่งเสียงของประชาคมโลกมุสลิมที่แสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยและไม่พอใจต่อการดูหมิ่นดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงออกอย่างสันติวิธีตามสิทธิที่พวกเขาพึงมี . . . #สิทธิที่ลืมคำนึงถึงหน้าที่ . อีกหนึ่งปัญหาของเสรีภาพในการแสดงความเห็นคือ ทุกคนต่างออกมาพูดเรื่องสิทธิ (ในการแสดงออกของพลเมือง) แต่บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ (ในการรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง) เหมือนทุกคนลืมไปว่าตัวเองต่างก็มีหน้าที่ในฐานะพลเมืองว่าจะต้องหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติในสังคมที่มีความหลากหลาย . หากการเจตนาใช้สิทธิเกินเลยขอบเขตด้วยการกระตุ้นต่อมโทสะผ่านประเด็นที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้อื่น โดยปราศจากการคำนึงถึงหน้าที่ว่าจะต้องมีความอดทนอดกลั้นและให้เกียรติซึ่งกันและกัน . ด้วยเหตุนี้การขาดซึ่งดุลยภาพระหว่างสิทธิกับหน้าที่ และความไม่เข้าใจในความต่างระหว่างเสรีภาพในการแสดงความเห็นกับการให้เกียรติต่อความหลากหลายจึงเป็นภัยสำคัญต่อสันติภาพที่พึงเกิดขึ้นในสังคม . แม้แต่ในสังคมอารยะเองก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกใดที่สัมบูรณ์แบบไร้ขีดจำกัด ขณะที่การพูดจาเชิงเหยียดชาติพันธุ์ต่อคนผิวสี (racist) การเหยียดชาวยิว (anti-Semitic) การปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (holocaust denial) หรือการแสดงออกใด ๆ ที่สื่อถึงความเกลียดชังกลุ่มรักร่วมเพศ (homophobic) ทั้งหมดนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทางการเมือง (PC) และในบางประเทศก็นับว่าผิดกฎหมายเสียด้วยซ้ำ . แล้วเหตุใดการออกมาแสดงความเห็นในเชิงดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนทูตของศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่สามารถสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก กลับได้รับการพิจารณาว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมในการแสดงความเห็นอย่างเสรี ขณะที่กรณีอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นกลับได้รับการพิจารณาว่าเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งควรหลีกเลี่ยงในการกล่าวจาบจ้วงและควรให้ความเคารพ? . แม้ล่าสุดศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (European Court of Human Rights: ECHR) จะออกแถลงการณ์ไปแล้วว่าการเหยียดหยามศาสนา รวมถึงการดูหมิ่นนบีมุฮัมมัดนั้นไม่นับว่าเข้าในความหมายของเสรีภาพในการแสดงความเห็นก็ตาม . ดังนั้นการเอาแต่สิทธิโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่นอกจากมันจะไม่มีอยู่จริงในระเบียบทางสังคมแล้ว มันยังเป็นอุปสรรคและเป็นภัยคุกคามที่อันตรายต่อการสร้างสังคมที่สันติด้วยเช่นกัน . . . #ภายใต้ความรุนแรงกับคำถามที่เกิดขึ้นมากมาย . แน่นอนว่าเราทุกคนต่างรับรู้และสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การตั้งคำถามเพื่อทบทวนและศึกษาที่มาที่ไปของปัญหา รวมถึงมูลเหตุและแรงจูงใจของผู้กระทำผิดนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรับมือป้องกันเพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมทำนองนี้เกิดขึ้นอีก . การยั่วยุอารมณ์ที่กระทบต่อความรู้สึกผู้คนกว่าพันล้านคนเช่นนี้เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ และหากในพันกว่าล้านมีเพียงหนึ่งคนที่วุฒิภาวะทางอารมณ์และทางปัญญาบกพร่อง หรือมีสุขภาพจิตไม่ปกติ แล้วเขาเกิดเลือกที่จะโอบรัดความคับแค้นใจและตอบสนองต่อความโกรธแค้นด้วยความรุนแรง โศกนาฏกรรมเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่มีกระแสการยั่วยุขึ้นมา . ขอย้ำอีกครั้งว่านี้ไม่ใช่การปกป้องหรือสร้างความชอบธรรมให้กับผู้กระทำผิด ผู้ร้ายที่กระทำผิดทั้งในหลักฎหมายและหลักศีลธรรมนั้นต้องถูกประณามและได้รับการลงโทษตามความผิดของเขาอย่างแน่นอน . แต่แค่ออกมาประณามหรือการมานั่งนับว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมดเท่าไหร่มันไม่สามารถแก้ปัญหาต่อเรื่องนี้ได้ เราต้องขยับไปให้ไกลกว่านั้นว่าจะสามารถป้องกันปัจจัยที่ผลักให้บุคคลที่มีทัศนคติสุดโต่งไม่ให้แสดงความรุนแรงออกมาในลักษณะนี้อย่างไร . นักวิชาการมุสลิมบางท่านกล่าวว่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอิสลามมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมอีก 99.99% ที่เหลือซึ่งไม่ได้มีชุดความคิดที่ผิดเพี้ยนแบบนี้ต้องออกมาขอโทษหรือรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อิสลามนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะข้ออ้างที่คนร้ายใช้สร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตนเองเพียงเท่านั้น . แน่นอนว่ามุสลิมทั่วโลกต่างก็ตระหนักถึงความอันตรายเช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องออกมานำเสนอความเข้าใจที่ถูกต้องของอิสลาม พร้อมปฏิเสธและคัดค้านกับการตีความและความเข้าใจศาสนาที่คับแคบและสุดโต่ง . ซึ่งถ้าสำรวจหน่วยงาน สภาข้อชี้ขาดทางศาสนาและสถาบันวิชาการต่าง ๆ ในโลกก็จะเห็นว่าโลกมุสลิมทั้งหมดต่างก็ออกมาประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นพร้อมชี้แนะความเข้าใจที่ถูกต้องทุกครั้ง . แม้ข้อเท็จจริงเราทราบแล้วว่า ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่มีประวัติไม่เคยธำรงวัตรปฏิบัติศาสนา (เช่น ละหมาด ถือศีลอด ฯลฯ) ไม่มีความเข้าใจศาสนา หรือไม่เคยแม้แต่ปฏิสัมพันธ์กับชุมชนมุสลิมมาก่อน จากนั้นเขาก็ผันตัวเองมาเอาศาสนาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ก่อนจะก่อเหตุรุนแรงในนามของศาสนาเพื่อพิทักษ์หรือแก้แค้นให้กับศาสนากระนั้นหรือ? . นี่คือตัวอย่างความเสียหาย การคร่าชีวิต และโศกนาฏกรรมต่าง ๆ ตลอดประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการละเมิดสิทธิและชีวิตของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าคุณจะมีลัทธิ ความเชื่อ หรือศาสนาใดก็ตาม . แม้คุณจะเป็นคนที่เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ว่าคุณจะมีชุดความคิดสุดโต่งแบบไอซิสหรือคูคลักซ์แคลน หากย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อย่างสงครามครูเสด การรุกรานของจักรวรรดิมองโกล การล้มล้างอำนาจราชวงศ์ของจีน การคร่าชีวิตและขับไล่ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียและในอเมริกา การสังหารและค้าทาสในทวีปแอฟริกา . ไปจนถึงหายนะต่าง ๆ ที่นำโดยลัทธิอเทวนิยมอย่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 หรือการยึดครองของชาวยิวไซออนิสต์ที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ กลุ่มพุทธขวาจัดในพม่าที่กระทำต่อชาวโรฮิงยา รัฐบาลสังคมนิยมจีนที่กระทำต่อชาวอุยกูร์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีฮิตเลอร์ และสงครามกลางเมืองอีกมากมายทั่วทุกมุมโลกที่เกิดขึ้นในนามของสันติภาพ . โศกนาฎกรรมที่กล่าวมาข้างต้น มนุษย์สามารถอ้างได้ว่าจะกระทำด้วยนามของปรัชญา ศาสนา หรือผลประโยชน์ใดก็ได้ตามแต่ตนจะอ้าง ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ชุดคำสอนของศาสนา แต่เป็นชุดความคิดที่มีปัญหาในตัวมนุษย์ เป็นชุดความคิดที่บ่งบอกเพียงว่าคนเหล่านั้นเป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม . แต่คำถามคือแรงขับสู่ความรุนแรงครั้งนี้มาจากศาสนาเพียงอย่างเดียวจริงหรือ? หรือมันมีปัจจัยอื่นทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจที่มีส่วนในการผลักให้บุคคลเหล่านั้นแสดงความโกรธแค้นออกมาด้วยความรุนแรงลักษณะนี้? . . . #ทำไมฝรั่งเศสถึงโดนคว่ำบาตรจากโลกมุสลิม . จริง ๆ สาเหตุที่โลกมุสลิมร่วมกันคว่ำบาตรประเทศฝรั่งเศสไม่ได้เริ่มที่ภาพล้อเลียนที่ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์คนนั้นยกขึ้นมา หากแต่เป็นภาพล้อเลียนดังกล่าวที่ถูกทางการฝรั่งเศสนำขึ้นมาติดบิลบอร์ดใหญ่โตบนอาคารพร้อมยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ละทิ้งการนำเสนอภาพเหยียดหยามเหล่านั้นเด็ดขาด . อีกทั้งรัฐบาลยังนำเหตุการณ์ครั้งนี้มาเป็นเหตุผลประกอบในการปิดมัสยิด ปิดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ปิดองค์กรการกุศลของมุสลิม จำกัดกิจการทางศาสนาอิสลาม รวมถึงการบุกเข้าจับกุมผู้นำองค์กรการกุศลอิสลามถึงที่พัก โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเป็น “กลุ่มอิสลามิสต์แยกเอกเทศ” หัวรุนแรง . การจัดการรับมือต่อวิกฤตดังกล่าวของรัฐบาลจึงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศชัดเจนถึงจุดยืนของพวกเขาที่มีเจตนาไม่ให้ความเคารพต่อประชาชนชาวมุสลิมเกือบ 6 ล้านคนในประเทศตัวเอง (ซึ่งถือว่ามากที่สุดในยุโรป) และชาวมุสลิมทั่วโลก . หากย้อนกลับไปดูเราจะเห็นว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์อันเศร้าสลดครั้งนี้ ประชาคมโลกมุสลิมได้แสดงท่าทีเป็นกังวลมาก่อนแล้วต่อมาตรการต่าง ๆ ที่ประธานาธิบดีมาครงประกาศใช้เพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลามในประเทศ . วาทกรรม “กลุ่มอิสลามิสต์แยกเอกเทศ” (Islamist Separatism) เริ่มถูกนำมาใช้เหมารวมมุสลิมในประเทศว่าเป็นมุสลิมสุดโต่งและมุสลิมก่อการร้ายที่พยายามสร้างรัฐคู่ขนานและปฏิเสธคุณค่าเสรีนิยมและความเป็นรัฐฆราวาสนิยมของฝรั่งเศส . ทุกคนทราบดีว่านี่คือกลยุทธิ์ประชานิยมของมาครง (ซึ่งก็เป็นกลยุทธิ์เดียวกับที่ทรัมป์ใช้ในอเมริกา โมดีใช้ในอินเดีย โบลโซนาโรใช้ในบราซิล หรือเนทันยาฮูใช้ในอิสราเอล) ที่ใช้วาทกรรมสร้างกระแสเหยียดชาวต่างชาติ (xenophobic) กระแสหวาดกลัวอิสลามและชาวมุสลิม (Islamophobic) และกระแสเหยียดชาติพันธุ์ (racist) เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและความนิยมในคะแนนเสียงทางการเมือง . ด้วยการเบี่ยงประเด็นจากปัญหาที่แท้จริง ทั้งปัญหากลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง นโยบายที่ผิดพลาดในลิเบีย ปัญหาการว่างงาน วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม ปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษี ปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรง ปัญหาการเหยียดผิว เหยียดเพศ ฯลฯ . จากปัญหาทั้งหมดทั้งมวล มาครงกลับประกาศว่าการต่อสู้กับ “กลุ่มอิสลามิสต์แยกเอกเทศ” เป็นความสำคัญลำดับแรกสุดของเขา ทั้ง ๆ ที่ในฝรั่งเศสไม่มีมุสลิมคนใดที่เรียกร้องให้มีการแยกเอกเทศจากความเป็นสาธารณะรัฐและค่านิยมของฝรั่งเศสแม้แต่คนเดียว . แล้วเขาก็ใช้อารมณ์ทางการเมืองสร้างความนิยมให้กับตนผ่านการประทับมลทินให้กับชาวมุสลิม แล้วโยนความผิดให้กับชาวมุสลิมและชนผู้อพยพ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพให้กับประชาชนที่จะเป็นคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ . ซึ่งเป็นที่วิธีที่ฝรั่งเศสเคยกระทำต่อชาวยิวเมื่อศตวรรษที่แล้ว และเป็นวิธีเดียวกันกับที่ฮิตเลอร์พรรคนาซีใช้เอาชนะคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามอย่างถล่มทลายจนก้าวเข้ามาครองอำนาจได้สำเร็จ . ฝรั่งเศสจึงเป็นเหมือนห้องทดลองกระแสอิสลาโมโฟเบีย ก่อนที่การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะเผยแพร่ไปยังนักการเมืองปีกขวาในประเทศเบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ ฮังการี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ แคนาดา รวมถึงอเมริกา . มาครงแถลงเสนอร่างกฎหมายเพื่อต่อสู้กับ “กลุ่มอิสลามิสต์แยกเอกเทศ” ว่าจะส่งเข้าไปยังคณะรัฐมนตรีภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะนำไปหารือในสภาในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นปีแสดงผลงานปีสุดท้ายของเขาก่อนจะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีวาระใหม่ในปี 2022 . มาตรการที่จะเสนอเพื่อนำมาใช้จำกัดกิจการทางศาสนาอิสลามในประเทศฝรั่งเศสมีตั้งแต่ นโยบายห้ามคลุมฮิญาบสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรเอกชน ห้ามมีการละหมาดในสถาบันของรัฐ ห้ามแยกแผนกอาหารฮาลาลตามสถานที่ราชการและศูนย์การค้าต่าง ๆ ห้ามแยกสระว่ายน้ำระหว่างชาย-หญิง เป็นต้น . นอกจากนี้ทางรัฐจะมีการตรวจสอบองค์กรและสมาคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรกีฬา การกุศล สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน หรือภาคประชาสังคมของมุสลิมทั้งหมด เพื่อไม่ให้กลายเป็นแนวหน้าในการสอนหรืออบรมศาสนาอิสลามในประเทศ อีกทั้งยังยุติระบบอิหม่ามที่ถูกส่งเข้ามายังฝรั่งเศสจากต่างประเทศ กิจการบริหารและการกำกับดูแลของมัสยิดจะต้องถูกแก้ไขปรับปรุง การเรียนศาสนาที่บ้านจะต้องถูกจำกัด และมาตรการอื่น ๆ อีกมากมายที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศว่าจะเข้ามาแทรกแซงในกิจการของศาสนาอิสลาม . มาครงประกาศว่า “ศาสนาอิสลามตอนนี้เป็นศาสนาที่อยู่ในวิกฤตทั่วโลก” เขาจึงริเริ่มโครงการเพื่อสถาปนาศาสนา “อิสลามฝรั่งเศส” (French Islam) ซึ่งจะเป็นอิสลามแบบเดียวที่อนุญาตให้ดำรงอยู่ในประเทศได้ เป็นอิสลามชนิดที่มาครงอ้างว่าเป็น “อิสลามสายกลาง” (Moderate Islam) . รัฐบาลจึงมีนโยบายที่ร่วมกับสภาศาสนาอิสลามแห่งฝรั่งเศสเพื่อทำการฝึกอบรมอิหม่ามเฉพาะสำหรับดูแลกิจการศาสนาในประเทศของฝรั่งเศสเอง ส่วนประชาชนคนใดที่ไม่ดำเนินตามแนวทางอิสลามฝรั่งเศสที่ทางรัฐบาลจัดวางไว้ให้ พวกเขาก็จะถูกผลักให้เป็นมุสลิมสุดโต่งและหัวรุนแรงทันที . เช่น หากมีมุสลิมคนใดกล่าวว่า “การบังคับใด ๆ ในศาสนาหรือแม้แต่การสวมฮิญาบนั้นขัดกับหลักความเชื่ออิสลาม (เพราะการศรัทธาและการปฏิบัติตามหลักการนั้นต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ) ส่วนการที่รัฐบังคับให้มุสลิมต้องถอดฮิญาบออกนั้นก็ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการสวมฮิญาบทั้งจากมุมมองศาสนาและมุมมองสิทธิมนุษยชนจึงไม่ขัดแย้งกัน” . ถ้าเป็นที่อื่นทั่วไป นี่คือคำพูดปกติที่สนับสนุนเสรีภาพในการนับถือศาสนา (Freedom of Conscience) แต่ในฝรั่งเศส การพูดจาลักษณะนี้กลับโดนตีตราว่าเป็นชุดความคิดของมุสลิมหัวรุนแรง (Radicalized Islamist) เพราะฮิญาบไม่ใช่เป็นเพียงการแต่งกายที่สื่อถึงการสงวนเนื้อสงวนตัว แต่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ในเมื่อมันเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา มันจึงไม่ใช่เรื่องของเสรีภาพส่วนบุคคล!? . . . #การเลือกปฏิบัติและความเป็นสองมาตรฐาน . ดูเหมือนประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเสรีภาพ (Liberté) เสมอภาค (Égalité) และภราดรภาพ (Fraternité) จะเป็นดินแดนที่ไม่ยอมมอบเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพแก่ชาวมุสลิมในประเทศ ทั้งในเรื่องศาสนสถาน การปฏิบัติศาสนกิจ การแต่งกาย อาหาร การจ้างงาน ไปจนถึงเรื่องอัตลักษณ์และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของพวกเขา . นี่คือผลผลิตของรัฐฆราวาสนิยมตามแบบฉบับของฝรั่งเศสที่เรียกว่า ‘ลาอิซิเต’ (Laïcité) ที่นำอัตลักษณ์ของฝรั่งเศสไปใช้ในแบบอำนาจนิยม และปฏิบัติตนประหนึ่งขั้วตรงข้ามของศาสนจักรที่หากใครศรัทธาในศาสนาแล้วจะต้องตีตราคนเหล่านั้นว่าเป็นพวกนอกรีตและเป็นภัยอันตรายต่อค่านิยมในสังคมของพวกเขา . รัฐบาลฝรั่งเศสไม่มีความเป็นธรรมในการให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชน มีอคติและเลือกปฏิบัติกับประชาชนชาวมุสลิมและกลุ่มชนผู้อพยพมาโดยตลอด . เมื่อปี 2009 ซีเน่ นักเขียนการ์ตูนให้กับนิตยสารชาร์ลี เอบโด ได้พูดจาส่อไปในทางดูหมิ่นชาวยิวและเป็นคำพูดที่เสียดสีกระทบไปถึงลูกชายของอดีตประธานาธิบดีซาร์กอซี สิ่งที่เกิดขึ้นคือซีเน่ ถูกดำเนินคดีข้อหาเหยียดเผ่าพันธุ์ชาวยิว (anti-Semitic) และโดนไล่ออกจากนิตยสารฉบับนั้นภายใน 2 สัปดาห์!? . หรือล่าสุดที่ประธานาธิบดีแอร์โดอาน ของตุรกีออกมากล่าวถึงมาตรการรับมือของรัฐบาลฝรั่งเศสที่ปั่นกระแสความเกลียดชังให้กับประชาชนภายในประเทศตัวเองเพียงเพื่อเรียกคะแนนนิยม แอร์โดอานจึงพูดจาเหน็บแนมมาครงว่าควรไปตรวจสุขภาพจิต แต่มาครงกลับออกมาตอบโต้แอร์โดอานว่าเป็นการให้ความเห็นที่หยาบคายและรับไม่ได้ จากนั้นเขาก็เรียกเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำตุรกีให้กลับมาเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ!? . ดังนั้นความกลับกลอกในความเป็น 2 มาตรฐานของฝรั่งเศสต่างหากที่ทำให้ประชาคมมุสลิมต้องออกมาแสดงเจตจำนงต่อต้าน ทั้ง ๆ ที่ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์และเสรีภาพในการแสดงออกควรได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม . ทุกวันนี้รัฐบาลฝรั่งเศสขอให้มุสลิมออกมากล่าวขอโทษต่อเหตุการณ์ อีกทั้งกล่าวหาอิสลามว่าเป็นศาสนาก่อการร้าย ในขณะที่พวกเขาเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการคร่าชีวิตผู้คนนับล้านด้วยนโยบายที่พวกเขาดำเนินอย่างโหดเหี้ยมที่มนุษย์ปกติที่มีมโนธรรมจะไม่มีวันทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเด็ดขาด . ดังอาชญากรรมและการสังหารต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศสที่กระทำต่อประชาชนชาวแอลจีเรีย รวมถึงการสังหารในช่วงการปฏิวัติปลดปล่อยของกลุ่มต่อต้าน และไม่นานมานี้ในช่วงเกือบศตวรรษที่แล้ว ฝรั่งเศสก็ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในทะเลทรายของแอลจีเรียซึ่งส่งผลร้ายให้กับทั้งชีวิตและสิ่งแวดล้อมจวบจนถึงปัจจุบัน . กลับกลายเป็นว่าชีวิตของคนอาหรับ คนแอฟริกา และชีวิตของชาวมุสลิมมีค่าน้อยกว่าชีวิตของพลเมืองชาวยุโรป ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ขณะที่เราประณามต่อเหตุการณ์การสังหารครั้งนี้ เราต้องการให้ผู้คนทั้งโลกตระหนักถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันทุกชีวิต . เพียงเพราะว่าที่อิรัก ซีเรีย มีคนจำนวนมากถูกสังหารทุกวัน แต่กลับถูกมองอย่างเฉยเมยเพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ? . แต่พอมีเหตุการณ์ 1 ชีวิตถูกสังหารในฝรั่งเศสที่ชาวมุสลิมเป็นผู้ร้าย กลับกลายเป็นกรณีพิพาทที่สะเทือนอารมณ์ผู้คนไปทั่วโลก? ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันที่มีสตรีมุสลิม 2 คนถูกจ้วงแทงและพยายามฆ่า ณ บริเวณหน้าหอไอเฟล ใจกลางกรุงปารีส กลับไม่มีสื่อไหนให้ความสำคัญและโลกไม่ได้เสียใจเพียงเพราะเหยื่อผู้ถูกกระทำนั้นเป็นชาวมุสลิม? . ผลตอบรับและการแสดงออกที่เป็นสองมาตรฐานและการเลือกปฏิบัติเช่นนี้เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เราต้องให้คุณค่าชีวิตมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันทุกชีวิต และต่อต้านความอธรรมทุกชนิดที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่ากับผู้คนในฝรั่งเศส หรือกับผู้คนในซีเรีย ปาเลสไตน์ พม่า ซินเจียง รวันดา คองโก และที่อื่น ๆ ในโลก แม้บุคคลนั้นจะมีสีผิว ชาติพันธุ์ หรือศาสนาใดก็ตาม ถึงตอนนั้นเองที่เราจะสามารถเรียกหาคุณค่าสากลอย่างเสรีภาพ เสมอภาคและภราดรภาพร่วมกันได้ในฐานะมนุษย์ . . โดย Book Station
โฆษณา