29 ต.ค. 2020 เวลา 23:12 • ธุรกิจ
“ค่าปากถุง” ในธุรกรรมขายฝาก ฉลาดรู้ฉลาดใช้
จากหนังสือ "คัมภีร์ธุรกิจขายฝาก ฉบับสมบูรณ์" โดย อ.อนุชา กุลวิสุทธิ์
การขายฝากอสังหาริมทรัพย์ที่นิยมทำกันในหมู่ชาวบ้านทั่วไป จะมีค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บกันอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยอมรับกันเป็นการทั่วไป ค่าธรรมเนียมที่ว่านั่นก็คือ “ค่าปากถุง” นั่นเอง
มูลเหตุการเรียกเก็บค่าปากถุงกัน ที่มักกล่าวอ้างกัน ก็คือเพื่อเอามาใช้จ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับเจ้าของเงินทุน และนายหน้าที่ช่วยในการทำธุรกรรม โดยอัตราที่นิยมจัดเก็บกันทั่วไป จะอยู่ที่ 5% โดยเงินปากถุงจำนวนนี้ ว่ากันว่าจะถูกแบ่งครึ่งๆ ระหว่างเจ้าของเงินกับนายหน้า หรือบางครั้งเจ้าของเงินจะอาจเอาไว้ 2% และนายหน้าได้ไป 3% ก็มี ขึ้นอยู่กับเงื่อนข้อตกลงระหว่างกัน
ไม่ว่าเงินปากถุง จะถูกเอามาจ่ายตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ หรือเป็นส่วนที่ตกมาสู่ผู้ซื้อฝากทั้งหมดในลักษณะเป็นการคิดดอกเบี้ยที่ซ่อนอยู่ในตัวธุรกรรมก็ตาม แต่ค่าธรรมเนียมตัวนี้ ก็ถือว่ามีนัยสำคัญกับการทำธุรกรรมขายฝากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอัตราการจัดเก็บสูงมาก และเป็นเงินที่ถูกจัดเก็บโดยหักจากเงินค่าขายฝากที่ได้รับในตอนแรกเลย จึงเป็นค่าธรรมเนียมสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด
ที่จริงแล้ว เงินปากถุง ไม่ได้มีเฉพาะแต่ในแวดวงการขายฝากอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ เป็นค่าธรรมเนียมที่มีมานานแล้ว และมักนิยมใช้ในแวดวงการเงินและอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับการขายฝาก มีความรู้และความเข้าใจดีขึ้น ในเรื่องการคิดค่าปากถุง รวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดีขึ้นด้วย จึงขออนุญาตพามารู้จัก กับแง่มุมส่วนลึกๆ ในเรื่อง ค่าปากถุงกัน
“ค่าปากถุง” บางทีเรียกว่า “เงินปากถุง” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “ค่าธรรมเนียมการกู้เงิน” “ค่าจัดการเงินกู้” “เงินกินเปล่า” ถ้าในต่างประเทศอาจใช้เป็นคำว่า "เงินล่วงหน้า(Front Money)" ส่วนชาวบ้านทั่วไป อาจเรียกทำนองกึ่งประชดว่า เงินกินเปล่าของเจ้าหนี้ หรือนายทุน หรือ เงินค่านายหน้านั่นเอง
จริงๆ แล้ว “เงินปากถุง” เป็นศัพท์เทคนิค (Technical Term) คำหนึ่ง ที่นิยมใช้เรียกกันในวงการเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ โดยผู้เป็นลูกหนี้ทั้งกับเจ้าหนี้ธรรมดาหรือสถาบันการเงินจะรู้จักกันดี เพราะเงินปากถุงจะใช้บังคับทุกครั้งที่เกิดการกู้ยืมเงินขึ้น โดยหักจากเงินกู้ที่ทำเรื่องกู้ยืมกันตั้งแต่ครั้งแรก นั่นหมายความว่า ลูกหนี้จะไม่ได้รับเงินเต็มจำนวนเพราะต้องถูกหักเงินปากถุงหรือค่าธรรมเนียมการกู้ไว้ก่อน
สำหรับค่าปากถุงที่คุ้นเคยกันดีในแวดวงการเงินและอสังหาฯ หลักๆ จะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน คือ “Front-End Fee” หรือ “ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้” ซึ่งจะเป็นค่าธรรมเนียมที่สถาบันการเงินคิดจากผู้กู้ สำหรับการจัดการให้ได้สินเชื่อแบบร่วมให้กู้ จะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อมีการเซ็นสัญญา
และหากเป็น Front-End Fee สำหรับการซื้อ-ขายหน่วยลงทุนกับกองทุนรวม ก็จะหมายถึงค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าต้องจ่ายเมื่อซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก
ค่าปากถุงอีกตัว จะเป็นศัพท์เทคนิคใช้เฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เท่านั้น นั่นคือ “Front Money” ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึงเงินสดที่ต้องจ่ายไปในการเริ่มต้นพัฒนาโครงการ ตัวอย่างเช่น Front Money ปกติจะถูกเรียกให้ต้องจ่ายในการซื้อทำเลที่ตั้ง ในการศึกษาและวางแผน การได้รับอนุญาต หรือได้รับการสนับสนุนสินเชื่อ
โดยทั่วอัตราสากลในการคิดเงินปากถุงนั้น จะไม่มีกำหนดตายตัวแต่อย่างใด เจ้าหนี้บุคคลธรรมดาอาจคิดร้อยละ 5 จากจำนวนเงินกู้ ส่วนสถาบันการเงินก็จะมีอัตราตามที่เขากำหนดขึ้นมาเอง เนื่องจากธนาคารชาติไม่มีมาตรการกำหนดเงินจำนวนนี้ไว้ จึงเป็นความเห็นอิสระของแต่ละสถาบันการเงิน โดยมากจะสูงต่ำมากน้อยเพียงใด มักขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อและความน่าเชื่อถือของลูกหนี้ เป็นสำคัญ
หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าผลประโยชน์ที่เจ้าหนี้ได้รับจากการปล่อยกู้ ก็คือ ดอกเบี้ยจากจำนวนเงินกู้เต็ม ขณะที่ลูกหนี้จะได้รับเงินสุทธิหลังจากหักเงินปากถุงหรือค่าธรรมเนียมเงินกู้แล้ว แต่เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินกู้เต็ม ไม่ใช่เงินสุทธิหลังหักเงินปากถุงหรือเงินที่ได้รับแท้จริง ลูกหนี้จึงต้องรับภาระหนี้ที่ตนไม่ได้ก่อไปด้วยเพราะไม่ได้รับเงินส่วนนั้น แต่ต้องใช้หนี้ต้นเงินเต็มจำนวน
การคิดเงินปากถุงหรือค่าธรรมเนียมการกู้เงินนั้นไม่ได้ใช้เฉพาะการกู้เงินระดับชาวบ้านหรือกิจการทั่วไปเท่านั้น แต่การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศในนามของประเทศก็มีการคิดเงินเหล่านี้รวมไปด้วย และใช้วิธีปฏิบัติเดียวกัน โดยอาจเรียกชื่อแตกต่างในภาษาต่างชาติว่า เงินล่วงหน้า ก็ได้ เมื่อมีข้อตกลงเงื่อนไขการกู้เงินระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้แล้ว ในวันรับเงินกู้นั้นเจ้าหนี้จะหักเงินปากถุงไว้ตามระเบียบที่เจ้าหนี้กำหนด
ลูกหนี้จึงรับเงินส่วนที่เหลือจากการหักนั้นไปใช้สอยได้ แต่คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินกู้เต็มตามสัญญาแม้จะรับเงินไม่เต็มจำนวนก็ตาม
ความแตกต่างระหว่างเงินปากถุงของเจ้าหนี้ทั่วไปกับสถาบันการเงินในต่างประเทศนั้น ก็คือ กรณีเจ้าหนี้ทั่วไปซึ่งมีลูกหนี้ระดับชาวบ้านนั้น เงินปากถุงจะเป็นผลประโยชน์เฉพาะเจ้าหนี้เท่านั้น ส่วนลูกหนี้ระดับประเทศนั้นเงินปากถุงจะนำไปแบ่งจ่ายให้แก่ผู้แทนประเทศที่ลงนามในสัญญากู้ด้วย โดยเงินส่วนนี้ไม่ถือเป็นรายได้ของประเทศ แต่เป็นประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลเป็นหลัก
หนังสือคัมภีร์ขายฝาก https://www.facebook.com/1493676304234481/posts/2716770471925052/
1
โฆษณา