รู้จัก ทอม แฮงส์ มั้ยครับ เขาเป็นนักแสดงฝีมือสุดยอดคนนึง ผมชอบดูหนังที่นักแสดงคนนี้เล่นมาก
.
มีหนังเรื่องนึงที่ผมเคยดูเมื่อตอนยังเด็กชื่อเรื่องว่า Cast away เป็นหนังแนว เอาชีวิตรอดบนเกาะ ทอม แฮงส์ รับบทเป็นคนติดเกาะ
.
มีฉากนึงที่ผมประทับใจมากคือตอนที่ทอม แฮงส์ แสดงถึงวิธีปอกมะพร้าว เขาเริ่มจากการโยนลูกมะพร้าวอักใส่หิน หลังจากพยายามไปสักครู่ ก็เปลี่ยนวิธี มาเป็นทุมลงตรงๆกับหิน หลังจากที่ไม่ได้ผลก็เปลี่ยนวิธีอีก คือเอาหินมาทุบมะพร้าวแทน ทุบไปทุบมา หินแตกเป็นเศษๆ แต่นั่นก็ทำให้เขาได้หินที่มีมุมแหลม และค่อนข้างคมมา ทำให้สามารถเจาะเข้าไปที่เปลือกของลูกมะพร้าวได้ในที่สุด
.
ฉากนี้สอนผมสองอย่าง
.
อย่างแรกคือ โชคร้าย กลายเป็นดี ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นว่าหินที่ทุบมะพร้าวมันแตก ก็รู้สึกสิ้นหวังแทน แต่จริงๆแล้วนั่นคือความหวัง เรามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ โดยอาศัยวามสร้างสรรค์ ถ้าหินไม่แตก ก็คงไม่ได้กินมะพร้าวแน่ๆ
.
ครอบครัวของผมเป็นหนึ่งในครอบครัวส่วนใหญ่ที่พ่อแม่แยกทางกัน เหตุการณ์นั้นน่าเศร้าทีเดียว ทำให้ผมต้องย้ายบ้าน เปลี่ยนโรงเรียน แต่นั่นก็ทำให้ผมได้รู้จักกับภรรยาของผมและเดินทางมาเรื่อยๆจนเขียนบทความนี้
.
อย่างที่สองคือ การไปถึงเป้าหมายไม่จำเป็นต้องทำวิธีเดียว เป้าหมายคือ ปอกมะพร้าว รางวัลคือได้กินมะพร้าว ส่วนวิธีที่จะปอกก็มีหลากหลายให้ลอง
.
ตอนแรกเริ่มจากวิธีนึง หลังจากทำไปสักระยะต้องรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล อย่าพึ่งเปลี่ยนเป้าหมาย ยอมแพ้ไป แต่ให้เปลี่ยนวิธีแทน ลองวิธีใหม่ๆ จนในที่สุด ความต้องการอย่างสุดใจจะหาทางให้เราไปถึงจนได้
.
ชีวิตคู่ของผมคุ้นชินกับการเปลี่ยนวิธี แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมายมาก หนึ่งตัวอย่างสุดโต่งคือตอนที่ผมกับภรรยามีเป้าหมายที่จะแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ขณะที่ผมเรียนอยู่ที่ฮาวาย ผมจองหอพักและเฝ้ารอวันที่เธอจะมา แต่ว่าเธอก็ไม่เคยได้รับอนุมัติวีซ่าให้มาหาผมที่นี่
.
เราจึงเปลี่ยนวิธีโดยมีเป้าหมายเดิมคือ ผมเป็นฝ่ายกลับไปหาเธอเองที่ประเทศไทยและได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข
.
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าวิธีนึงมันไม่ได้ผล จะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่ควรลองเปลี่ยนวิธี
.
สำหรับผม ถ้าเราพยายามเต็มที่แล้ว ทำทุกทางแล้ว เราจะรู้ครับ ว่าต้องเปลี่ยนวิธี บางครั้งเราอาจจะต้องไปให้สุดซอยเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นทางตัน ถึงจะเปลี่ยนเส้นทางอย่างมั่นใจว่าทางนี้จะเป็นทางที่ดีกว่า