30 ต.ค. 2020 เวลา 18:43 • ประวัติศาสตร์
“ปราสาทนครหลวง” พระเมรุมาศมหาปราสาทแห่งพระเจ้าปราสาททอง
เมกะโปรเจคที่ไม่ได้ใช้งาน
.
.
.
“ปราสาทนครหลวง” ตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำป่าสัก ในเขตตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ช่วงปี พ.ศ. 2174 ห่างจากตัวเกาะเมืองประมาณ 16กิโลเมตร ตามเส้นทางแม่น้ำป่าสัก ใกล้กับวัดใหม่ประชุมพลและวัดเทพจันทร์ ที่เป็นชุมชนรอยต่อ (ค่อนข้าง) กึ่งกลางระหว่างตัวพระนครกับทางน้ำสามแพรกคลองบางพระครู และท่าเรือแม่น้ำป่าสัก “พระตำหนักท่าเจ้าสนุก” เดินทางเท้าต่อไปยังพระพุทธบาทสระบุรี เล่าตามตามเอกสารพรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา เอกสารจากหอหลวง ว่า “.. พระที่นั่งนครหลวง ปราสาทมียอดปรางค์ยอดเดียว แลมียอดมณฑปเรียงรายเป็นหลายยอด เป็นบริเวณพระที่นั่งใหญ่ในพระราชวังพระนครหลวง เป็นที่ทรงประทับร้อนแลประทับแรม เมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท แลลางคราวในฤดูแล้ง ก็เสด็จขึ้นไปประทับในพระราชวังพระนครหลวง เป็นการพระราชพิธียิงอัตนาในที่นั้นเนือง ๆ ลางทีในเดือนสิบก็เสด็จขึ้นไปประทับแรมในพระราชวังพระนครหลวง ทรงถวายข้าวยาคูแก่พระราชคณะถานาเปรียญ เจ้าอธิการวัดแลทรงธรรม พระราชพิธีมธุปายาส กวนข้าวทิพย์ในพระมหาปราสาทพระที่นั่งพระนครหลวงเนือง ๆ ...”
.
ในช่วงเวลานั้น ราชสำนักพระเจ้าปราสาททอง หันกลับไปนิยมงานศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบเมืองพระนคร ที่เคยนิยมมาก่อหน้าในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏความในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เพิ่ม) ว่า “ศักราช 993 ปีมะแมศก (พ.ศ.2174) ทรงพระกรุณาให้ช่างออกไปถ่ายอย่างพระนครหลวง แลปราสาทกรุงกัมภุชประเทศเข้ามา ให้ช่างกระทำพระราชวังเป็นที่ประทับร้อน ตำบลวัดเทพจัน สำหรับจะเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซึ่งถ่ายมาให้ชื่อว่า พระนครหลวง และในปีสร้างพระนครหลวงนั้นก็สถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์เสร็จ...”
.
ซึ่งในเวลานั้น เมืองพระนครหลวง ก็คงมีแต่ “ปราสาทนครวัด” (Angkor Wat) ที่ยังปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ยังมียอดปราสาทตั้งตระหง่านบนฐานพีระมิดยกสูงอย่างครบถ้วน ทั้งยังถูกใช้ดัดแปลงมาเป็นพระอารามในพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะปราสาทที่ตั้งอยู่บนฐานสูงหลายแห่งได้พังทลายลงมาจากการขาดการดูแลรักษา รวมทั้งยังถูกรื้อดัดแปลงในยุคหลัง อย่างเช่น “ปราสาทบาปวน” ที่ถูกรื้อกลุ่มอาคารด้านบน (รวมทั้งปราสาทประธาน) เกือบทั้งหมด แยกหินลงมาสร้าง “พระพุทธรูปปางนิรวาณ” (ปรินิพพาน) ขนาดใหญ่ ที่ด้านหลังทางทิศตะวันตก ตั้งแต่ยุคของ “พระญาจันทราชา” (Chan Reachea) หรือ “นักองค์จัน” (Ang Chan I) ในช่วงปลายสุดของพุทธศตวรรษที่ 21 ครับ
.
งานสถาปัตยกรรมเจดีย์ทรงปรางค์แบบยุคต้นกรุงศรีอยุธยาจึงได้ถูกนำกลับมาประยุกต์เข้ากับการจัดวางผังแบบปราสาทนครวัดโดยตรง โดยเริ่มต้นจากการสร้างกลุ่มอาคารประธานของวัดไชยวัฒนาราม ประมาณปี พ.ศ. 2173 รวมทั้งพระราชนิยมในการสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ เจดีย์ทรงปราสาท รวมทั้ง “มณฑปยอดปราสาทซ้อนชั้นแบบชะลูดสูง” ที่เป็นการผสมผสานเข้ากับเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 (ทรงสามเหลี่ยมยอดแหลม) แบบนิยมในช่วงอยุธยาตอนกลางขึ้นในเวลาต่อมา
.
*** แผนผังการก่อสร้างปราสาทนครหลวงที่มีเค้ารแบบผังของปราสาทนครวัด สร้างเป็นฐานยกสูงซ้อนสามชั้นแบบพีระมิดขั้นบันได จัดวางมณฑปยอดปราสาททิศตามมุมและกึ่งกลางในแต่ละขั้น รวม 24 - 28 ยอด (ชั้นบนอาจมี แค่ 4) เชื่อมต่อด้วยอาคารระเบียงคดหลังคาเครื่องไม้ล้อมรอบอาคารประธาน ผสมผสานกับคติและงานศิลปะอยุธยา หันหน้าปราสาทไปทางทิศใต้เฉียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยโดยไม่ทำบันไดทางขึ้น อีกสามด้านที่เหลือทำบันไดขึ้นและซุ้มประตูทางเข้าแบบไม่ผ่านตัวปราสาทไว้ทั้งสามด้าน โดยด้านหลัง-ทิศเหนือเฉียงตะวันตก เป็นทางเข้าจากท่าน้ำริมแม่น้ำป่าสักครับ
.
ผนังระเบียงคดของปราสาทนครหลวง ยังได้แสดงความสัมพันธ์กับรูปแบบระเบียงคดกึ่งโปร่งของปราสาทนครวัด ที่ด้านนอกจะมีผนังประดับหน้าต่างช่องเป็นลูกกรงหลอก กำแพงด้านในเป็นผนังทึบเพื่อวาดภาพจิตรกรรม (นครวัดเป็นภาพสลักนูนต่ำ) ระเบียงอีกฝั่งหนึ่งทำเป็นช่องโปร่ง รองรับเครื่องไม้หลังคาด้วยเสาก่ออิฐ
.
ปราสาทนครหลวงหันหน้าไปทางใต้ โดยดูจากตรงกลางของระเบียงคดฐานล่าง ที่ทำเป็นปราสาท 3 ยอด แบบปราสาทนครวัดแต่ไม่มีบันไดและประตูทางเข้าผ่าคูหาเรือนธาตุ ผังของฐานชั้นที่สอง เลื่อนถอยหลังห่างจากระเบียงคดของฐานชั้นล่างเกิดเป็นพื้นที่ว่าง จึงมีการเพิ่มมุขฐานขนาดใหญ่ยื่นออกมาอย่างตั้งใจ ซึ่งด้านบนของฐานชั้นที่ 2 ก็มีร่องรอยของฐานอาคารทรงปราสาท 3 ยอด รับตรงแนวกับระเบียงคดของฐานล่าง โดยมีหลุมสี่เหลี่ยมตื้น ๆ ที่ไม่ปรากฏช่องประตู (เพื่อใช้เป็นห้อง) จำนวน 4 หลุมครับ
.
ตามแผนผังของปราสาทนครวัด หลุมทั้ง 4 ที่ปราสาทนครหลวงนั้น จะตรงกับตำแหน่งของโถงระเบียง “พลับพลารูปกากบาท” (Cruciform Galleries) บริเวณด้านหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างฐานชั้นล่างกับชั้นที่สอง ที่ตั้งของ “สระน้ำศักดิ์สิทธิ์” ในความหมายของ “มหาสมุทรทั้ง 4” (ปิตสาคร ผลิกสาคร ขีรสาคร นิลสาคร) ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาลในคติความเชื่อ ทั้งฮินดูและพุทธ
.
คติอยุธยาไม่คิดตามแบบนครวัด จึงเอาความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ที่ต้องวางผังปราสาทให้รับกับเส้นทางแม่น้ำป่าสัก จึงทำประตูทางเข้าไว้ด้านหลังทางทิศเหนือและด้านข้างให้รับกับเส้นทางจากตำหนักท่าเรือริมแม่น้ำครับ
.
แล้วพระเจ้าปราสาททอง จะสร้างปราสาทนครหลวงขึ้นเพื่ออะไร ? หากนับจากแรกสร้างในปี พ.ศ. 2174 จนถึงช่วงสวรรคต ในปี พ.ศ. 2199 ก็มีเวลาสร้างถึง 25 ปี ซึ่งหลักฐานทางโบราณวิทยาได้ชี้ว่า มีการก่ออิฐวางเอ็นรากฐานเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่รองรับหมู่อาคารทั้งสามชั้น และมีระบบระบายน้ำอย่างสมบูรณ์ แต่มีร่องรอยการก่อหลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องเพียงเล็กน้อย หลายจุดยังไม่มีการฉาบปูนปิดเนื้ออิฐ ไม่ปรากฏรูปประติมากรรมทางพุทธศาสนาหลงเหลือมากนัก คงมีแต่ซากพระพุทธรูปฐานพระพุทธรูปตามแบบวัดไชยวัฒนาราม อีกทั้งยังไม่ปรากฏลวดลายปูนปั้นประดับ จึงดูเหมือนว่าปราสาทนครหลวงจะหยุดสร้างและถูกทิ้งร้างไป
.
ในครั้งแรกสร้าง พระเจ้าปราสาททองอาจทรงโปรด ฯ ให้สร้างขึ้น ตามคติเดียวกับวัดไชยวัฒนาราม ที่สร้างขึ้นถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระราชมารดา พระองค์อาจได้คิดสร้างปราสาทนครหลวงขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เพื่อเป็น “พระเมรุมาศมหาปราสาท” แบบปราสาทนครวัดอันยิ่งใหญ่ และจึงค่อยถวายเป็นพระอาราม เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลแก่พระองค์ภายหลังการเสด็จสู่สวรรคาลัยในภายหลังครับ
.
แต่การเปลี่ยนแปลงความเชื่อในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ที่ทรงเดินตามแนวทางการประกาศพระบรมเดชานุภาพ พระราชกฤษฎาภินิหารที่เหนือว่ากษัตริย์พระองค์ก่อน ภายหลังการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ ทั้งการลบศักราช และการเฉลิมพระเกียรติว่า อดีตชาติพระองค์คือช้างป่าลิไลยก์ (ช้างป่าลิไลหัตถี) ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาปกครองกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้ผ่านพ้นจากกลียุค การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ ในความหมายว่าในอนาคตพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสุมงคลพุทธเจ้า (อนาคตโตทศพุทธ-อนาคตา ทสพุทฺธ-อนาคตพระพุทธเจ้า) ในวรรณกรรมคำฉันท์สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปราสาททอง อาจได้ทัดทาน ทวีความไม่สบายพระราชหฤทัย ด้วยเพราะคติความเชื่อของอยุธยาที่แตกต่างไปจากคติฮินดูโบราณ การสร้างปราสาทเขาพระสุเมรุตามแบบปราสาทนครวัด อาจดูเหมือนพระองค์กำลัง “สาปแช่ง” ตนเอง ในช่วงเวลาที่พระองค์กำลังต้องสร้างพระบรมเดชานุภาพอย่างเข้มข้น เพื่อครอบครองราชบัลลังก์กรุงศรีอยุธยา
.
*** ถึงแม้มหาปราสาทนครหลวงจะเป็นการแสดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์เองตามแบบคติเขมรโบราณ แต่ด้วยคติความเชื่อต่างยุคสมัยที่ขัดกันอย่างรุนแรงนี้ การสร้างปราสาทนครหลวงจึงดำเนินไปได้เพียงช่วงระยะหนึ่ง พระองค์จึงได้เปลี่ยนพระทัย ให้ยุติการสร้างปราสาทนครหลวงมิให้เสร็จสมบูรณ์ คงใช้ประโยชน์เพียงเป็นพระที่นั่งชั่วคราว และประกอบพระราชพิธี ในระหว่างการเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทเท่านั้นครับ
.
.
.
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า
โฆษณา