1 พ.ย. 2020 เวลา 06:06 • ประวัติศาสตร์
กวย ราชอาณาจักรที่หายไป โดย หนานอัน
ในกฏหมายเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา กฏหมายลักษณะอาญาหลวง พ.ศ.1974 ประกาศห้ามไพร่ฟ้ายกลูกสาวให้แก่คนต่างชาติต่างศาสนา ระบุชาติไว้ 9 ชื่อ คือฝรั่ง อังกฤษ กปิตัน วิลันดา คุลา ชวา มลายู แขก กวย แกว และในมาตราที่ 25 กล่าวถึงชาวต่างชาติที่มาสู่โพธิสมภารและค้าขายกับอยุธยา ระบุถึงกวยว่า “มาตราหนึ่ง แขกพราหมณ์ ญวน ประเทศฝรั่ง อังกฤษ จีน จาม วิลันดา ชวา มลายู กวย ขอม พะม่า รามัญ เข้ามาสู่โพธิสมภารก็ดี เข้ามาค้าขายทางบกทางเรือก็ดี…” สังเกตได้ว่ากวยมีฐานะเป็นชาวต่างชาติมีเอกราช ไม่ได้เป็นข้าในราชอาณาจักร
.
กวยและชนชาติข่าเป็นชนชาติพื้นเมืองดั่งเดิม มีถิ่นฐานอยู่ในเขตอีสานใต้และลาวใต้ในปัจจุบันนี้ ประมาณปี พ.ศ.1100 กษัตริย์ขอมในราชวงศ์เสนะ ได้สถาปนาอำนาจขึ้นปกครองดินแดนแถบนี้ มีกษัตริย์องค์สำคัญนามว่าพระเจ้าศรีมเหนทรวรมัน หรือเจ้าชายจิตรเสน ได้ขยายอาณาเขตคลุมบริเวณดังกล่าว ในรัชกาลต่อมาพระเจ้าอีศานวรมันพระราชโอรส ได้ย้ายศูนย์กลางอำนาจลงไปไว้ที่ปากแม่น้ำโขง ตั้งเมืองหลวงขึ้นเรียกว่าอีศานปุระ ต่อมาราชอาณาจักรขอมได้แยกออกเป็นสองภาค เรียกกันในวงวิชาการว่าเจินละบก เจินละน้ำ ในแคว้นทางเหนือตั้งแต่เทือกเขาพนมด็องเร็งขึ้นมายังมีกษัตริย์เชื้อสายพระเจ้าจิตรเสนปกครองสืบต่อมาดังปรากฏในตำนานเมืองจำปาศรี (สาเกตุนคร) ว่ามีกษัตริย์นามว่ายศวรราชเจ้า เชื้อสายจิตรเสนราชาปกครอง ขอมโบราณปกครองกวยและข่าเป็นเวลายาวนาน จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เสด็จสวรรคต ใน พ.ศ.1762 รวมระยะเวลาประมาณ 600 ปี กวยและข่าชนพื้นเมืองจึงรับอิทธิวัฒนธรรมด้านภาษาจากขอม ใช้ภาษาพูดตระกูลออสโตเอเชียติก – มอญเขมร ตราบเท่าปัจจุบันนี้
.
ภายหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคตแล้ว จักรวรรดิ์ขอมได้เสื่ออำนาจลงอย่างรวดเร็ว ชนพื้นเมืองในปกครองลุกขึ้นต่อต้านอำนาจจากพระนครหลวง สถาปนารัฐขึ้นใหม่หลายรัฐ เช่นสุโขทัย อยุธยา ทางฝั่งตะวันออกแถบลุ่มแม่น้ำโขงนี้ พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชลาวก็สถาปนาอาณาจักรรวบรวมลาวขึ้น ราว พ.ศ.1892 ในตอนนี้ชาวกวยและข่าคงอยู่ในอำนาจพระเจ้าฟ้างุ้มของลาว ในพงศาวดารกล่าวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มนำทัพเข้าตีเมืองปากกบเป็นเมืองแรก ซึ่งเมืองปากกบอยู่บริเวณปากน้ำชี ไหลลงแม่น้ำมูล คือบริเวณบ้านวังยาง ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ อุบลราชธานี ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนของกวยมาแต่เดิม แล้วยกทัพขึ้นตีไปตามแนวลำน้ำโขงได้ตลอด จนตั้งราชธานีที่เมืองเชียงทอง ชนชาติกวยและข่าก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของลาวตลอดมา
.
ถึงรัชสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า (พ.ศ.2093 – 2115) พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองตีได้เชียงใหม่แล้ว ก็ยกเลยไปตีหลวงพระบางราชธานีลาว จนกระทั่งต้องย้ายราชธานีลงมาตั้งที่นครเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ.2103 ได้เชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ รวมทั้งพระมหาอุปราชวรวังโส พระราชอนุชากลับไปเวียงจันทน์ด้วย และเมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองตีได้อยุธยาแล้ว ก็ยกไปตีเวียงจันทน์อีกครั้งใน พ.ศ.2113 ในขณะที่อำนาจลาวเริ่มไม่มั่นคงนี้เอง ชาวพื้นเมืองในปกครองคือกวยและข่าในหัวเมืองทางใต้ (ตั้งแต่เขตสาละวันลงมา) ได้โอกาสจึงตั้งแข็งเมือง ไม่ยอมรับขึ้นต่อเวียงจันทน์อีกต่อไป ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าต้องยกทัพมาปราบปราม
วิเคราห์จากปราสาทหินในวัฒนธรรมขอมที่พบสูงสุดที่แขวงสะหวันนะเขตในปัจจุบัน เหนือสาละวันขึ้นไปเล็กน้อย นั่นก็อาจจะแปลว่า ชาวพื้นเมืองในบริเวณนี้แต่ก่อนอยู่ในอำนาจขอม แล้วจึงตกมาอยู้ในอำนาจลาวในสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มจนถึงสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช รวมเป็นเวลา 100 ปี จึงคิดประกาศเอกราช ตั้งราชอาณาจักรของตัวเอง
.
สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้ายกทัพมาตีจนถึงเมืองโองการอัตตะบือ ในพงศาวดารลาวกล่าวว่าเป็นกลอุบายของพระยาละคร (นครพนม) สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าสูญหายไปในลำน้ำโขง กองทัพหลวงเวียงจันทร์แตกกลับคืนไป สิ้นรัชกาลสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า ใน พ.ศ.2115 นี้เอง แต่ตำนานเมืองไซยเสดถา พื้นเมืองอัตตะปือกล่าวว่า สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าถูกข่าจับตัวไป และภายหลังก็ยกขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองชาวข่าชาวกวยพื้นเมืองนั้น พระองค์ร่วมกันกับพระภิกษุและชาวเมืองสร้างเมืองไซยะเสดถาขึ้น จึงปรากฏวัดวาอารามใหญ่โต เจริญรุ่งเรือง พระองค์สวรรคตในเมืองไซยะเสดถาที่ทรงสร้างใน พ.ศ.2118 พระภิกษุและชาวเมืองได้ก่อธาตุบรรจุพระบรมอัฐิไว้ที่วัดไซยะเสดถา ปรากฏมาถึงปัจจุบันนี้
.
ในระหว่าง 3 ปีที่ทรงประทับอยู่ที่เมืองไซยะเสดถานั้น พระองค์ได้ทรงฝึกหัดพลเมืองชาวข่าและชาวกวย พร้อมทั้งฝึกจับช้างเถื่อนมาฝึกหัดเป็นช้างศึก ปรากฏชื่อสถานที่ต่างๆ ที่ใช้ฝึกกองทัพในพื้นเมืองอัตตะปือ มีภาพจิตรกรรมใาผนังเล่าเรื่องของพระองค์ปรากฏอยู่ที่วัดไชยะเสดถาจนถึงทุกวันนี้ ความเข้มแข็งของกองทัพกวยกองทัพข่าในตอนนั้น จะปรากฏในพงศาวดารลาวต่อมา
.
ทางด้านเวียงจันทน์ เมื่อกองทัพหลวงแตกกลับคืนไปแล้ว สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้ามีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง นามว่า พระหน่อเมือง ประสูติแต่พระมเหสีผู้เป็นธิดาของพระยาแสนสุรินทร์ (ตำแหน่งเมืองแสน เทียบกับตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายกลาโหมของไทย) ขณะนั้นพระราชโอรสมีพระชนม์เพียง 5 ชันษา พระยาแสนสุรินทร์ (นามเดิมว่า จัน เป็นบุตรกวานบ้านหนองคาย) จึงเข้าสำเร็จราชการแทน พระยาจันสีหราช (หรือพระยาจันกองนาง ตำแหน่งเมืองจันทน์ เทียบตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายมหาดไทยของไทย) จะอภิเษกพระหน่อเมืองขึ้นเป็นพระเจ้าเวียงจันทน์ตามราชประเพณี พระยาแสนสุรินทร์ไม่ยอม ฆ่าพระยาจันสีหราชเสีย แล้วประกาศตัวขึ้นเป็นพระเจ้าเวียงจันทน์ ใช้พระนามว่าพระสุมังคลอัยโกโพธิสัตว์ แสนสุรินทรฦๅชัย คนทั่วไปเรียกว่าพระเจ้าตาหลาน คงจะเป็นด้วยเหตุนี้เอง สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงทรงประทับและใกกองทัพอยู่ที่เมืองไซยะเสดถา หมายจะยกกลับไปเอาราชบัลลังก์คืน หากแต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน
.
ในพงศาวดารลาวกล่าวต่อไปว่า เมื่อพระยาแสนสุรินทร์ชิงราชบัลลังก์แล้ว หัวเมืองเห็นว่าเป็นไพร่ต่างไม่ยอมรับอำนาจ ตั้งแข็งเมือง กระด้างกระเดื่องไม่มาอ่อนน้อม ชาวพระนครในแขวงเวียงจันทน์แตกหนีกระจัดกระจาย ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งขวาและทางใต้ตั้งแต่แขวงเมืองร้อยเอ็ดจนไปถึงจำปาสักแทรกอยู่กับชนพื้นเมืองกวยและข่าเป็นจำนวนมาก เสนาอำมาตยไม่เต็มใจทำราชการ บ้านเมืองระส่ำระสาย พระเจ้าแผ่นดินกรุงหงสาวดียกกองทัพมาเอานครเวียงจันทน์ได้โดยง่าย พระสุมังคลอันโกฯ นั่งเมืองได้ 2 ปี ถึง พ.ศ.2117 เสียงกรุงเวียงจันทน์ให้กับพระเจ้าหงสาวดี จับเอาพระสุมังคลอัยโกและพระหน่อเมืองกลับไปหงสาวดี แล้วโปรดให้พระมหาอุปราชวรวังโส พระราชอนุชาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชกลับมาปกครองเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ.2118 ในฐานะเมืองประเทศราชส่งส่วยหงสาวดีเช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยา
.
ถึง พ.ศ.2120 มีพระภิกษุรูปหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ยกกองทัพข่าและกวยยกขึ้นตีเมืองมั่น เมืองทองคำ ได้ทุกเมือง ประชาชนและแม่ทัพนายกองลาวเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก แล้วยกขึ้นตีเมืองละคร จนถึงเวียงคุก สมเด็จพระมหาอุปราชวรวังโสเห็นว่าจะรักษาเมืองไม่ได้ พาเอามเหสีและราชธิดา 2 องค์ เสด็จหนีจะไปหงสาวดี ไปถึงแก่งกลางแม่น้ำโขงแห่งหนึ่ง เรือล่มจมน้ำสิ้นพระชนม์ทั้งสิ้น กองทัพข่าและกวยยกเข้าตั้งในนครเวียงจันทน์ เหตุการณ์นี้แสดงถึงความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ของกองทัพข่าและกวย ซึ่งจะเป็นมูลเหตุในการตั้งราชอาณาจักรต่อมา
.
ฝ่ายหงสาวดีถือว่าเวียงจันทน์เป็นเมืองขึ้นของตน ก็ส่งกองทัพมาปราบปรามกบฏข่าและกวย กองทัพข่าและกวยก็ถอยกลับไปที่แขวงอัตตะปือ พระเจ้าหงสาวดีโปรดฯ ให้พระสุมังคลอัยโกโพธิสัตว์ พระยาแสนสุรินทรฦๅชัย กลับมาปกครองเวียงจันทน์อีกครั้งใน พ.ศ.2123 และเกิดความวุ่นวายต่อมาอีกหลายปี เวียงจันทน์ไม่มีกำลังพอจะยกลงมาทำศึกกับหัวเมืองทางใต้ ชนชาติข่าและกวยก็ขาดจากอำนาจของเวียงจันทน์ตั้งแต่นั้นมา
.
ความอ่อนแอของเวียงจันทน์ ประกอบกับความเข้มแข็งของกองทัพข่าและกวยที่ปรากฏในพงศาวดาร ชนพื้นเมืองทางใต้จึงตั้งเป็นเอกราชตั้งราชอาณาจักรขึ้น ชาวกวยเอาราชธานีเก่าของพวกขอมเป็นที่มั่น ในพงศาวดารนครจำปาสัก ฉบับพระพรหมเทวานุเคราะห์ กล่าวว่าปฐมกษัตริย์ของราชอาณาจักรนี้มีนามว่าพระยากมมะทา ปรากฎชื่อในพงศาวดารว่า “นครกาลจามบากนาคบุรีศรี” ซึ่งพระยาประกิจกรจักร์ (แช่ม) ให้ความหมายว่า นคร-เมือง กาล-ดำ จาม-จาม บาก-พราก หนี รวมความว่า เมืองที่จามดำ (คือขอม) ทิ้งไว้
.
นครกาลจามบากนาคบุรีศรี มีกษัตริย์ปกครองเรื่อยมา จนถึงรัชกาลของพระเจ้าสุทัศราชาก็สิ้นเชื้อพระวงศ์ โดยมีเค้าในพงศาวดารนครจำปาสัก ฉบับ ม.ร.ว.ปฐม คเนจร ว่า … ครั้นพิราลัยแล้วเจ้าสุทัศนราชาผู้บุตรได้ครองเมืองต่อมาจนถึง จุลศักราช 1000 ปี (พ.ศ.2181) พิราลัยไม่มีบุตร ประชุมชนจึงยกผู้มีตระกูลผู้หนึ่งนามไม่ปรากฏ ขึ้นเป็นผู้อำนวยการบ้านเมืองได้ 6 ปี ก็ถึงแก่กรรม นางแพงบุตรนางเภาหลานได้เป็นหัวหน้าอำนวยการบ้านเมืองต่อมา ….
.
จนกระทั่งเจ้าราชครูโพนสเม็ก ได้อัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์เชื้อวงศ์ลาวเวียงจันทน์มาปกครองนครกาลจามบากนาคบุรีศรี เมื่อ พ.ศ.2256 ราชาภิเษกเป็นเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธรางกูร เปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็นนครจำปาสัก ราชอาณาจักรกวยตั้งเป็นเอกราชตั้งแต่ พ.ศ.2123 จนกลายเป็นเมืองลาวใน พ.ศ.2256 รวมระยะเวลา 123 ปี
.
ราชอาณาจักรกวยมีพื้นที่กว้างขวาง ปรากฏในพงศาวดารนครจำปาสักว่า ทิศตะวันตกจรดแดนอยุธยาที่ลำกะยุงพิมาย ทิศตะวันออกจดแดนญวนที่เทือกเขาบรรทัด ทิศใต้คงจะถึงเชียงแตงหรือสตึงเตรง ที่โปรดให้ท้าวสุดไปปกครอง ทิศเหนือถึงสาละวันที่โปรดฯให้ท้าวมั่นไปปกครอง ดินแดนที่อ้างถึงนี้สันนิษฐานว่าเป็นราชอาณาจักรกวยที่นางแพงปกครองอยู่ก่อน แล้วมอบเวนอำนาจให้กับเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธรางกูรต่อมา ปรากฎในพงศาวดารนครจำปาสักตอนเจ้าศรีสร้อยสมุทรพุทธรางกูรตั้งเจ้าเมือง ว่า
…..แล้วเจ้าสร้อยศรีสมุท ฯ
– ให้จารหวดเป็นนายอำเภอรักษาบ้านดอนโขง ซึ่งเป็นเกาะอยู่ในลำแม่น้ำโขง (คือที่เรียกว่าเมืองศรีทันดรบัดนี้)
– ให้ท้าวสุดเป็นพระไชยเชษฐ์รักษาอำเภอบ้านหางโคปากน้ำเซกอง ซึ่งอยู่ฝั่งโขงตะวันออก (คือเมืองเชียงแตงเดี๋ยวนี้)
– ให้จารแก้วเป็นนายอำเภอรักษาบ้านทง (ภายหลังเรียกบ้านเมืองทงคือเมืองสุวรณภูมิบัดนี้) ให้จันสุริยวงศ์เป็นอำเภอรักษาบ้านโพนสิมเมืองตะโปนเมืองพินเมืองนอง
– ให้นายมั่นบ่าวเดิมของนางแพง เป็นหลวงเอกรักษาอำเภอบ้านโพน (ภายหลังเรียกว่าเมืองมั่นคือเมืองศาลวันเดี๋ยวนี้)
– ให้นายพรหมเป็นซาบุตตโคตรักษ
าอำเภอบ้านแก้วอาเฮิมซึ่งมีเจดีย์อยู่ที่นั้นลาวเรียกว่าธาตุกำเดาทึก ภายหลังเรียกว่าเมืองคำทองหลวง (คือเมืองคำทองใหญ่บัดนี้)
– ให้จารโสมรักษาบ้านทุ่งอิดกระบือ (คือเมืองอัตปือบัดนี้) เป็นทำเลเมืองร้างมาก่อนเรียกว่าเมืองโสกเมืองซุงคือซองและพะเนียดแต่ก่อนพวกเวียงจันทน์แซกคล้องและฝึกช้างเถื่อนที่นั้น
– ให้ท้าวหลวงบุตรพระละงุมเป็นขุนนักเฒ่ารักษาอำเภอโขงเจียม
.
เขตต์แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ในเวลานั้นมีว่าทิศเหนือตั้งแต่ยางสามต้นอันสามขวายหลักทอดยอดยาง ทิศตะวันออกถึงแนวภูเขาบรรทัดต่อแดนญวน ทิศใต้เวลานั้นยังไม่ปรากฏ ทิศตะวันตกต่อเขตต์แขวงเมืองพิมายฟากลำน้ำกระยุง….
ปราสาทเรือนหิน ไชยพุทองแขวงสุวรรณเขต ภาพจากเพจพุทธศิลป
CR:บทความโดย หนานอัน ขอบคุณเจ้าของบทความ ผมก็อปมาให้อ่านทั้งดุ้น
โฆษณา