1 พ.ย. 2020 เวลา 08:06 • ความคิดเห็น
ทำไมเราจึงมีทางเลือกแค่ที่เป็นอยู่
ด้วยสภาพการเมืองที่ข้อเสนอแต่ละฝั่งดูตื้อตัน
กลับไม่ได้ไปไม่ถึง
ฟากรัฐบาลก็เห็นอยู่ว่าหวงอำนาจ
ฝั่งราษฎรก็ออกจะก้าวร้าวต่อศรัทธาของคนส่วนใหญ่จนเกินงาม
สังคมไทยกลายเป็นยึดมั่นในตัวกูของกู พวกกูย่อมไม่ใช่พวกมึง ไม่มีคำว่าพวกเรา
เราเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร
ขอบคุณภาพจากไทยรัฐออนไลน์(บน) และ มติชน (ล่าง)
#เสรีนิยมเต็มขั้น#
ภาวะแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศ แต่เกิดขึ้นทั่วโลก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลังปี 1970 ทำให้เกิดครอบครัวคนชั้นกลางมากขึ้น
คนรุ่นลูกที่เกิดราวปี 2000 (+ - นิดหน่อย) ส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้เรื่องสงคราม
หรือไม่ต้องเผชิญความอดอยากขาดแคลน
แต่เกิดมาพร้อมกับความสมบูรณ์(บางบ้านต้องเติมคำว่าพูนสุข) เทคโนโลยีสะดวก รวดเร็ว
มีแนวโน้มว่าพวกเขาไม่สนใจเหตุผลที่มา หรือ เรื่องราวในอดีต
นี่คือโลกของฉัน และฉันมีสิทธิ์เลือก คิด ทำ ด้วยตัวของฉันเอง เสรีนิยมทำให้คนไทยรุ่นใหม่ๆ เริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่
ว่ามัน “Function” หรือยังประโยชน์กับโลกของพวกเขาหรือไม่
#ชีวิตสมบูรณ์เกินไป
พ่อแม่ยุค Baby Boomers เคยผ่านโลกที่มีสงคราม หลายส่วนของโลกไม่มีสิทธิเสรีภาพ
พ่อแม่ GEN X ส่วนใหญ่เคยเป็นเด็กที่ไม่พร้อม ชีวิตมีข้อจำกัด คุณภาพชีวิตยังไม่ดีมาก
เมื่อมีลูก จึงพร้อมจะเติมเต็มในสิ่งที่ตนเองเคยขาด
แต่ความรักทำให้ลูกๆที่เป็น GEN Z และ GEN M เติบโตในสภาพเป็นศูนย์กลางของบ้าน
ไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยลำบาก ไม่เคยแพ้
คนวัยนี้กลายเป็นคนเอาแต่ใจ ต้องได้เสมอ
ตัวอย่างง่ายๆ คนรุ่นพ่อแม่ต้องรอดูไอ้มดแดงทุกวันอังคาร แต่ลูกของเขากดดูเมื่อไรก็ได้ทันที
ทุกคนสามารถสร้าง Prime time ของตัวเอง โลกจึงหมุนรอบเขาตลอดเวลา
เมื่อเจอปัญหา ก็สนใจแต่ปัญหาของตนเอง โดยไม่ฟังปัญหาของคนอื่น
#คนเก่งแบบไม่รอบด้าน
ยุคหนึ่งการศึกษาแบ่งเนื้อหารายวิชาออกเป็นส่วนๆ
การมีวิชาชีพเฉพาะทางมากขึ้นๆ นั้นดีในด้านที่ศาสตร์ต่างๆมีการพัฒนาแบบลงลึก
แต่ในอีกมุม ก็ทำให้คนขาดการเห็นภาพรวม
ช่วงนั้นผู้บริหารเก่งๆมักเป็นคนเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง(ที่เหมาะกับสถานการณ์ขณะนั้น)
แต่เมื่อโลกซับซ้อนด้วยพฤติกรรมของผู้คนมากขึ้น
เราเริ่มต้องการคนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาแบบครบวงจร
ฟังและเข้าใจ เพื่อประสานความต้องการของทุกฝ่ายเพื่อไปสู่เป้าหมาย
บริษัทระดับโลกหลายแห่งเริ่มใช้ผู้บริหารที่รอบรู้ สื่อสารเก่ง มีภาวะผู้นำ
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มที่วิสัยทัศน์ สามารถจัดการทั้งเรื่องเงิน การบริหาร คน ฯลฯ
ที่น่าสังเกตคือ คนรุ่นใหม่เลียนแบบความสำเร็จของไอดอลแต่เปลือก
ไม่เคยศึกษาถึงความรอบด้าน ความพยายาม
หรือความสามารถในการเชื่อมโยงคนทั้งองค์กรให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
แต่ไปเน้นเรื่องความสำเร็จที่เป็นตัวเงิน วัดผลจากการเป็นที่สุดหรือที่หนึ่งตลอดเวลา
#ขาดการตั้งคำถามกับตัวเอง
เด็กไทยเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์น้อยลงทั้งๆที่นี่คือพื้นฐานของการสร้างนวัตกรรม
เป็นรากความคิดที่สร้างตรรกะเชื่อมโยงเหตุและผล ซึ่งนำไปสู่ทักษะการแก้ไขปัญหา
ประสบการณ์การทำงานร่วมกับคนหลากรุ่นทำให้ผมสังเกตว่า
แนวโน้มของเด็กไทยจะไม่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
เช่นเมื่อถามว่า อยากเป็นอะไร
ส่วนใหญ่ตอบว่าอยากมีชื่อเสียง อยากรวย ถ้าตอบสวยๆคืออยากเลี้ยงดูพ่อแม่
แต่ไม่เกิน 10 % จะสามารถตอบได้ว่า ผมจะทำอะไรเพื่อให้คนยอมรับ
หรือจะหาเงินด้วยอาชีพอะไรเพื่อให้รวยพอจะมีเงินมาเลี้ยงพ่อแม่ดีๆ
อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆนะครับ
แต่เมื่อขาดเป้าหมาย ย่อมไร้การลงลึกรายละเอียดเชื่อมโยง
เราจึงเห็นเด็กไทยจำนวนมากที่เรียนจบมาแบบไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร
ที่สำคัญมองตัวเองเก่งเกินจริง สามารถสร้างความสำเร็จได้ทั้งๆที่ยังเอาตัวไม่รอด
ขณะเดียวกันการไม่ตั้งคำถามกับตัวเองทำให้ขาดการไตร่ตรอง มีแนวโน้มใช้ความรู้สึก
ไม่ใส่ใจกับกระบวนการที่ต้องใช้เวลากับการคิดรอบด้าน
และพร้อมเชื่ออะไรที่เข้าข้างตนเองเสมอ
ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาให้บรรลุเป้าหมายคือ “วิธีการ”
#อยากดังโดยไม่สนโลก
คนรุ่นใหม่จำนวนมากเคยตัวกับการวัดการยอมรับผ่านจำนวน like หรือการเป็น Influencer
ต้องการเป็นที่ชื่นชม โดยไม่แคร์ว่าภาพหรือเนื้อหานั้นดีงาม หรือมีคลาสมากพอหรือไม่
เราจึงเห็นการตั้งชื่อร้าน ข้อความโฆษณา ที่เน้นเอามัน เอาสนุก
หรือรู้สึกอะไรก็ใส่โครมๆลงใน Digital Platform
ยิ่งได้ฟีดจากหลายแพลตฟอร์มซ้ำๆก็พร้อมเชื่อโดยไม่มี judgement
พร้อมแสดงปฏิกริยากราดเกรี้ยวต่อการวิพากษ์วิจารณ์
ระเบิดความปากร้ายแบบไม่สนกาละและเทศะ
มีคำพูดเท่ๆว่า “ก็นี่แหละกู กูเป็นตัวกูอย่างนี้”
(เอาเข้าจริงคนรุ่นเก่าหลายคนก็ติดนิสัยเหล่านี้จนกลายเป็นอัตตาต่อสันดานไปด้วย)
ขอบคุณภาพจากไทยรัฐออนไลน์(บน) บีบีซีไทย(ล่างซ้าย) เดลินิวส์(ล่างขวา)
พอแต่ละฝ่ายเชื่อว่าตนเองมีสิทธิ์เสรี ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ไม่เห็นภาพการผสมผสานทางสังคม ขาดการคิดวิเคราะห์วิธีการ ใช้แต่อารมณ์
บวกกับไฟที่สุมโดยกลุ่มอำนาจหน้าฉากหลังฉาก
การเมืองไทยทั้งในสภาและบนถนนจึงฝุ่นตลบ เต็มไปด้วย Hate Speech กรุ่นด้วยอารมณ์โกรธแค้น หยาบคาย พร้อมจะเอาเปรียบเพื่อตอบสนองความต้องการชนะ
ไม่สนใจข้อเท็จจริง
ไม่คิดหาวิธีการที่ไม่ทำร้ายกัน ไม่วิเคราะห์อย่างลุ่มลึกถึงข้อเสนอเพื่อเป็นทางออกให้คนทั้งประเทศอยู่ร่วมกันได้ เมื่อกลุ่มหนึ่งตามัวเพราะอำนาจ อีกกลุ่มหนึ่งตามัวเพราะอารมณ์
เส้นทางของคนไทยก็เลยมัวซัวไปหมด
ดูเหมือนเรากำลังอยู่ในสังคมที่ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง
ทั้งๆที่เราควรมีทางเลือกมากกว่า 2 ข้างนี้ เราควรตระหนักว่าด้วย ทุกครั้งที่มีการประจันหน้า ย่อมอ่อนไหวง่ายมากที่จะนำไปสู่ความรุนแรง
......... คำถามคือ เราคนไทยเรียนรู้แค่ไหน
ที่จะนำเรื่องง่ายๆที่รู้กันอยู่ไปสู่การปฏิบัติจริงๆ
โฆษณา