5 พ.ย. 2020 เวลา 01:00 • ประวัติศาสตร์
โฉมหน้าศักดินาไทย, สมสมัย ศรีสูทรพรรณ (นามปากกาของจิตร ภูมิศักดิ์)
1 ใน 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน
เล่มนี้ของจิตร เป็นการนำเสนอวิวัฒนาการของระบบศักดินาในไทย วิธีการที่ศักดินาเอารัดเอาเปรียบประชาชน รวมถึงเล่ห์เพทุบายบางอย่างที่ศักดินาใช้เพื่อประคองระบบนี้ไว้ไม่ให้ล่มสลายไป
จิตรลำดับเรื่องราวให้เราสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก แม้จะเป็นหนังสือเก่าแต่ภาษาที่จิตรใช้ค่อนข้างร่วมสมัย (ส่วนที่ยากจะเป็นภาษาของส่วนที่อ้างอิง) และมีการเสียดสีอย่างพอเหมาะพอดี โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงปลายสุโขทัยต่อเนื่องมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5
เล่มนี้เปิดโลกทัศน์ประวัติศาสตร์ชาติไทยมากๆ อ่านจบยอมรับว่าเกลียดหนังสือนิยาย และละครที่อวยพวกเจ้าขุนมูลนายไปเลย เพราะ romanticize ชนชั้นนำจนเกินพอดี ถึงขั้นเรียกว่ากลับหัวกลับหางเลยก็ว่าได้ ไม่พอยังพาลทำให้เกลียดระบบราชการไทยด้วย เนื่องจากเห็นต้นตอของการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งปัจจุบันก็ยังพบเห็นซากเดนเหล่านี้อยู่เกลื่อนกลาด (ข้อเท็จจริงคือคนดีๆ ในระบบราชการไทยก็มีอยู่มาก) รวมถึงสงสารชนชั้นกรรมมาชีพอย่างจับใจ เพราะเข้าใจว่าทำไมประชาชนตาดำๆ ถึงไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากเสียที
เป็น 1 ใน 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่านจริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีอุดมการณ์แบบราชาชาตินิยม จะได้เปิดหูเปิดตาจากความเชื่อเดิมๆ ที่ฝังหัวอยู่ จะเชื่อหนังสือหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ แต่อย่างน้อยก็น่าจะกระตุกให้คิดอยู่บ้างว่าสิ่งที่เราถูกสอนในห้องเรียนมันมีความน่าเชื่อถือกว่าหนังสือเล่มนี้เชียวหรือ
จิตรเริ่มต้นด้วยการพาเราทำความเข้าใจกับระบบศักดินาโดยภาพรวมว่าแท้จริงระบบบนี้ผูกติดอยู่กับ 'การผลิต' ซึ่งระบบการผลิตในยุคเกษตรกรรมนั้นก็พัวพันกับ 'ที่ดิน' อย่างเลี่ยงไม่ได้
กล่าวคือ ผู้ที่มีอำนาจเหนือที่ดิน (เจ้าของที่ดิน) จะมีอำนาจเหนือบุคคลที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณนั้นๆ ด้วย เพราะที่ดินเป็นปัจจัยหลักของการดำรงชีพในสังคมกสิกรรม ซึ่งกลุ่มคนส่วนน้อยที่มีสิทธิเหนือที่ดินเหล่านั้นก็คือพวกศักดินา อันได้แก่ พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าขุนมูลนายต่างๆ นั่นเอง
การมีอำนาจเหนือบุคคลในพื้นที่ทำให้เหล่าศักดินาสามารถควบคุมสังคมทั้งในระดับเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เช่น การบังคับใช้แรงงาน การออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีต่างๆ การผูกขาดการค้าทั้งในและต่างประเทศ การสร้างหลักสูตรการเรียนการสอนที่ให้ผลประโยชน์แก่ชนชั้นนำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ศักดินาหาประโยชน์จากประชาชนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ระบบผลิตของศักดินาขึ้นกับการเกษตรและหัตถการที่ต้องใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก แต่เมื่อมีการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลาง เช่น พวกพ่อค้า ช่างฝีมือ คนเหล่านี้มาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยี กอปรกับเมื่อมีการขยายตัวของประชากรของคนในกลุ่มนี้ จึงทำให้เกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ระบบผลิตของศักดินาแบบเก่าที่พึ่งพาแรงงานจึงไม่อาจอยู่ต่อได้ ศักดินาจึงต้องยอมปรับตัวร่วมมือกับพวกชนชั้นกลางเพื่อหาประโยชน์จากชนชั้นกรรมาชีพแทน
สังคมแบบศักดินานั้นวิวัฒน์มาจากสังคมแบบทาส ซึ่งเป็นสังคมที่มีลักษณะ 'ขูดรีดโดยสิ้นเชิง' หมายความว่าทาสไม่มีสิทธิเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทรัพย์สินใดๆ แม้กระทั่งชีวิตของทาสเอง การลงมือลงแรงเพื่อผลผลิตใดๆ ก็เพื่อประโยชน์แก่เจ้าของทาสทั้งสิ้น
การขูดรีดโดยสิ้นเชิงนี้เป็นเหตุให้ประสิทธิภาพการผลิตตกต่ำลงถึงขีดสุดเพราะทาสไม่มีแก่ใจที่จะผลิต รวมทั้งโกรธแค้นจากการถูกกดขี่ เหล่านายทาสจึงเริ่มคิดหาวิธีหลอกล่อเพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการผลิต และลดความเดือดดาลจากการถูกกดขี่ โดยปลดให้ทาสกลายเป็นไท และมีโอกาสได้รับสิทธิ์ในการครองทรัพย์บ้าง ซึ่งกลายมาเป็นไพร่ (และชนชนแรงงานอื่นๆ)ในระบบศักดินาในเวลาต่อมา
สำหรับวิวัฒนาการของระบบศักดินาในไทย จิตรเองพยายามนำเสนอว่าก่อนจะมาเป็นศักดินาไทยนั้นสังคมเราก็เป็นสังคมทาสมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย (ซึ่งขัดกับประวัติศาสตร์ไทยอีกฝั่ง) และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นสังคมศักดินาในตอนต้นสมัยอยุธยา
การก่อร่างสร้างตัวของระบบศักดินาไทยสมัยอยุธยาเริ่มจากการเริ่มมีการแบ่งสรรที่ดินอันเป็นผลมาจาก ความขัดแย้งในผลประโยชน์ระหว่างเจ้าขุนมูลนายด้วยกันเอง และการสิ้นลงของระบบทาส ซึ่งการสิ้นสุดของระบบทาสนี้แหละที่ทำให้พวกเจ้านายขาดแรงงานจึงยอมทำการแบ่งสรรที่ดินบางส่วนให้กับทาสที่เป็นไทแล้วโดยแลกกับการตอบแทนในรูปแบบส่วย หรือค่าเช่า
การแบ่งสรรนี้มีขุนวังเป็นหัวแรงหลัก และประกาศออกมาเป็น 'พระอัยการตำแหน่งที่นาทหารและพลเรือน' ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถโดยทำไปเพื่อจำกัดอำนาจของเหล่าเจ้าขุนมูลนาย (อำนาจปกครองมักต้องพึ่งพาอำนาจทางเศรษฐกิจนั่นคือปริมาณที่ดินตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้) และเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นบุญคุณต่อทั้งชั้นเจ้าขุนมูลนาย และพวกไพร่
จำนวนที่ดินที่ไพร่ได้รับจะอยู่ที่ 5-15 ไร่ ซึ่งน้อยเสียเต็มประดาต่อการทำมาหากิน ยังมาถูกขูดรีดทั้งจากศักดินาทั้งหลายด้วยกลวิธีต่างๆ นาๆ ให้ราษฎรไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
สำหรับไพร่ที่เช่านาเขาทำ ผลผลิตที่ได้ส่วนหนึ่งก็ต้องส่งให้เจ้าที่เป็นค่าเช่า จำนวนที่มากที่สุดคือครึ่งหนึ่งของผลผลิตที่ทำได้เรียก 'การทำนาแบ่งครึ่ง' ถ้าส่งค่าเช่าช้าก็ถูกปรับสองเท่าอีก บางรายจำต้องไปขอกู้หนี้ยืมสิน ก็ต้องเสียดอกเบี้ยคิดๆ แล้วตกที่ร้อยละ 37.5 ต่อเดือน! ทำให้ชาวนาหลายรายต้องล้มละลายไปขายตัวเป็นทาส เป็นกรรมกรอยู่ร่ำไป
วิธีการอีกทางที่พวกศักดินาใช้ขูดรีดประชาชนนั่นก็คือการเก็บ ส่วย ฤชา จังกอบ อากร พูดง่ายคือภาษีและค่าธรรมเนียมยุบยับเต็มไปหมด การขูดรีดมีขนาดถึงว่าไปริบทรัพย์เอากับคนตาย เรียกว่า 'พัทธยา'
ส่วยอาจมาในรูปแบบที่ทางการขอให้มีการส่งของ เงิน หรือขอแรงในการทำกิจการบางอย่างเป็นครั้งคราวเรียก 'เกณฑ์เฉลี่ย' นอกจากนี้ทางการยังมีการเกณฑ์เอาชายฉกรรจ์อายุ 18-60 ปี ไปทำงานไถ งานโยธา ปีหนึ่งๆ ก็เป็นเวลาถึง 6 เดือน เรียก 'ส่วยแทนแรง' ถ้าไม่ไปก็ต้องส่งเงินให้หลวงแทน เงินนี้ต่อมาเรียกว่า 'เงินรัชชูปการ'
การ 'เข้าเวร' ในส่วยแทนแรงนั้นเมื่อเข้าเวรแล้วทางหลวงจะออกหนังสือรับรองให้เรียก 'ตราภูมิคุ้มห้าม' เป็นการรับรองว่าได้มาเข้าเวรแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ออกให้ฟรีๆ มีค่าธรรมเนียม (ฤชา) อยู่ที่เก้าสลึงเฟื้อง (2.35 บาท) สรุปคือไพร่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานเดือนเว้นเดือนทั้งปีจนอายุ 60 ไม่พอยังต้องเสียเงินให้หลวงอีกปีละ 2.35 บาท
พูดเรื่องค่าธรรมเนียม เงินเหล่านี้เข้าคลังพระมหากษัตริย์ทั้งหมด จะมีแบ่งปันบ้างก็ให้แก่เจ้านายที่มีอิทธิพลมากๆ เป็นเหตุให้บรรดาข้าราชการทั้งหลายออกหากินกับประชาชนโดยเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม กลายมาเป็นการทุจริตในหน้าที่อย่างมหาศาล
จังกอบ คือการเรียกเก็บภาษีจากการค้าขายโดยอาจจะเรียกเก็บเอาสินค้าหนึ่งชิ้นจากที่นำมาขายทุกๆ สิบชิ้น เรียก 'สิบหยิบหนึ่ง' หรือร้อยละ 10 นอกจากนี้ยังมีการเก็บภาษีจากขนาดพาหนะที่ขนส่งสินค้ามาขายอีกด้วย
สุดท้ายคือ อากร หรือ เงินเรียกเก็บค่าสัมปทานในการประกอบกิจการอะไรบางอย่าง เช่น ทำนา กลั่นเหล้า จับปลา โดยมีวิธีเรียกเก็บต่างกันไป เช่น จากจำนวนวัวควายที่ใช้ไถนา จากอุปกรณ์ที่ใช้จับปลา
ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ว่าไพร่คนหนึ่งจะต้องเสียค่าอะไรบ้าง สมมติว่าไพร่นั้นเช่าที่เขาปลูกมะพร้าวอันดับแรกก็ต้องเสียค่าเช่าที่ ไม่พอยังต้องเสียอากรที่แก่หลวง ถ้าอยากจะเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวก็ต้องไปขอหลวงออกใบอนุญาตก่อน หลวงก็จะขอเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต (ฤชา) ถ้าจะเอาน้ำมันมะพร้าวไปขายก็โดนจังกอบอีก สุดท้ายอาจจะโดนผูกขาดการซื้อสินค้าบางชนิดจากหลวง (โดนกดราคาสินค้าจากหลวง) อีกชั้นหนึ่ง
จะเห็นว่าบรรดาศักดินานั้นเชือดเนื้อเถือหนังประชาชนตั้งไม่รู้กี่ทาง เอาเปรียบขนาดนี้หลายครั้งยังชอบอ้างว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ บางทีลดภาษีให้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ร้องแรกแหกกระเชอ โอ้อวดสรรพคุณตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไปรีดไถเอาจากเขามาตั้งมากมายไม่รู้เท่าไหร่
ในตอนท้ายจิตรสรุปว่าจะศักดินาก็ดี ทุนนิยมก็ดี ต่างก็ขูดรีดประชาชนไม่แพ้กัน แค่มาในรูปแบบที่ต่างกัน มีเพียงระบบสังคมนิยมเท่านั้นที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชากรกินดีมีสุขอย่างถ้วนหน้า (จิตรเป็นนักคิดนักเขียนสาย communist)
โฆษณา