4 พ.ย. 2020 เวลา 08:12 • ไอที & แก็ดเจ็ต
Samsung
รู้จัก Samsung และ อี คุน ฮี
คนของโลก : อี คุน ฮี ผู้นำ “ซัมซุง” สู่บริษัทระดับโลก
ที่มามติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2563
คอลัมน์คนของโลก
เผยแพร่วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2563
อีคุน ฮี ประธานบริษัทซัมซุงเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยวัย 78 ปี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เปลี่ยนผ่านบริษัท “ซัมซุง” ให้กลายเป็นบริษัทระดับโลกอย่างทุกวันนี้
อีแม้จะเป็นประธานบริษัทผู้สันโดษไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะเท่าใดนัก แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคม
อีเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารซัมซุง หลังจากอี บยุง ชุล พ่อผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงเสียชีวิตในปี 1987 จากนั้นอีก็เริ่มต้นปรับภาพลักษณ์บริษัทที่ถูกมองว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพต่ำในทันที
ในปี 1983 อีประกาศกับพนักงานว่า “เรามาเปลี่ยนทุกอย่าง ยกเว้นภรรยาและลูกของพวกเรากัน”
เหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนด้านภาพลักษณ์ของซัมซุง เริ่มต้นจากการที่ประธานอีตัดสินใจใช้พนักงานบริษัทราว 2,000 คน สวมผ้าคาดหน้าผากที่เขียนคำว่า “คุณภาพต้องมาก่อน” ใช้ค้อนทุบทำลายโทรศัพท์มือถือที่ผลิตในยุคนั้นจำนวนกว่า 150,000 เครื่อง ก่อนโกยไปเผาทำลายทิ้งทั้งหมดจนไม่เหลือซาก
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหมือนคำประกาศจุดเริ่มต้นเพื่อนำคำว่า “คุณภาพ” ให้อยู่คู่กับแบรนด์ให้ได้ ก่อนนำไปสู่การเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่น Anycall สมาร์ตโฟนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งของซัมซุง
ไม่นานจากนั้น อีสั่งสินค้าเทคโนโลยีจีนเข้ามาจัดแสดงที่อาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทเพื่อเตือนสติพนักงานให้รู้ว่า จีนมีเทคโนโลยีการผลิตที่ไล่ตามมาเร็วเพียงใด เพื่อย้ำเตือนว่าหากหยุดพัฒนาเมื่อใดซัมซุงจะตกเป็นผู้ตามในทันที
จากนั้นซัมซังก็ทะยานกลายเป็นบริษัท “แชร์โบล” ยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศเกาหลี จากซากปรักหักพังจากสงครามไปสู่การเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลกได้
ขณะที่ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ในเวลานี้กลายเป็นผู้พัฒนาและผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน และจอแอลซีดีชั้นนำของโลกไปแล้ว
อีบยุง ชุล ผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงที่เดิมเป็นบริษัทส่งออกปลาและผลไม้ ก่อนจะผันตัวมาผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและธุรกิจการก่อสร้าง มีอี คุน ฮี เป็นลูกชายคนที่ 3
อีเติบโตและเริ่มต้นชีวิตวัยเรียนตั้งแต่อายุ 11 ปีในประเทศญี่ปุ่น จบมหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาวิทยาลัยชั้นนำในญี่ปุ่น ก่อนจะจบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
อีก้าวขึ้นเป็นรองประธานบริษัทลูกของซัมซุงที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างและการนำเข้าส่งออกด้วยวัยเพียง 36 ปี ก่อนจะกลายเป็นประธานกลุ่มบริษัทซัมซุงในอีก 9 ปีต่อมา หลังจากพ่อเสียชีวิตลง
ชีวิตการบริหารบริษัทของอีต้องด่างพร้อยเมื่อในปี 1996 อีถูกตัดสินให้มีความผิดฐานจ่ายสินบนให้กับโร แท อู อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เพื่อให้ออกนโยบายทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์กับบริษัทซัมซุง
นอกจากนี้ อียังถูกตัดสินให้มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์และเลี่ยงภาษี ในงบประมาณอื้อฉาวเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคดีศาลตัดสินให้รอลงอาญา ทำให้ไม่ต้องรับโทษจำคุก และในเวลาต่อมา อีก็ได้รับการอภัยโทษจากประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 2 ครั้ง
และนำซัมซุงในการเป็นผู้นำเพื่อคว้าสิทธิการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวให้เกาหลีใต้ได้ในปี 2018 ที่ผ่านมา
แม้อีจะไม่ชอบออกสื่อจนได้รับฉายาว่า “ราชาผู้สันโดษ” แต่การออกมากล่าวถ้อยแถลงต่อพนักงานบริษัทแต่ละครั้งก็จะได้รับการจับตามองเสมอ โดยเฉพาะการเข้าประชุมกับผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ที่เกิดขึ้นน้อยครั้งมากๆ อีมักจะให้ความสำคัญกับการเปิดใจให้กว้างในการทำธุรกิจแม้จะเผชิญปัญหาก็ตาม
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่มีอะไรน่ากลัวหากเรามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม” อีระบุ
“ในยุคที่การแข่งขันไม่สิ้นสุด การจะชนะหรือแพ้ขึ้นอยู่กับอัจฉริยะกลุ่มหนึ่ง…และคนอัจฉริยะ 1 คนสามารถเลี้ยงคน 100,000 คนได้”
อีล้มป่วยด้วยโรคหัวใจครั้งแรกในปี 2014 โดยสื่อคาดว่าสุขภาพของอีย่ำแย่ลงนับตั้งแต่นั้นจนกระทั่งเสียชีวิต
จากนี้คงต้องติดตามประเด็นการส่งต่อมรดกมูลค่ามหาศาล รวมไปถึงการส่งต่อตำแหน่งประธานบริษัทซัมซุงต่อให้กับทายาทรุ่นต่อไปด้วย
จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมสินค้าอิเลคโทรนิคส์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดของ “ทีวี” ที่ถูกสร้างสรรค์ออกแบบมาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ ดีไซน์ และเทคโนโลยีแสดงผลที่แตกต่างกันออกไปตามจุดขายของแต่ละแบรนด์ จนก่อให้เกิดการแข่งขันทางการตลาดกันอย่างดุเดือด แต่ขณะเดียวกัน ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ก็ยังคงครองบัลลังก์ผู้นำอันดับ 1 ในตลาดทีวีมาอย่างยาวนาน ด้วยการค้นคิดและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันของผู้บริโภค รวมถึงสานต่อเทคโนโลยีสู่อนาคตอีกด้วย
อาจต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนว่าเกือบครึ่งศวรรษที่ผ่านมา การพัฒนาจากหน้าจอขาว-ดำไปเป็นทีวีสียังใช้เวลานับ 10 ปี หลังจากนั้นเราก็รับชมกันผ่านทีวีจอตู้มาโดยตลอด จนกระทั่งในปี 2006 ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ได้ปฏิวัติวงการทีวีครั้งใหญ่ โดยการนำจอ LCD ที่มีดีไซน์จอแบนอันเป็นเอกลักษณ์ ต่อมายังได้พัฒนาไปสู่หน้าจอ LED ที่มีขนาดบางกว่าและสีสดกว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามตลาดหน้าจอทีวีทั่วโลกยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และประเภทของทีวีที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันคือหน้าจอแสดงผลแบบ OLED และ QLED ซึ่งมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้
OLED คือหนึ่งในหน้าจอแสดงผลที่ได้รับความนิยมในตลาด เนื่องจากพิกเซลสามารถให้กำเนิดแสงได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหลอดไฟเหมือนหน้าจอ LCD หรือ LED ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่กินไฟน้อย แถมยังมีความบางและความยืดหยุ่นสูง ส่งผลให้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นจอโค้งหรือสร้างสรรค์ดีไซน์รูปแบบใหม่ได้ไม่ยาก แต่ในขณะเดียวกันตัวเม็ดพิกเซลที่ให้กำเนิดแสงนั้นอาจทำให้เกิดความร้อนมากเป็นพิเศษเมื่อมีการเปิดหน้าจอทิ้งไว้ ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับโลโก้หรือตัวอักษรในหน้าจอที่สว่างอยู่ที่เดิมป็นระยะเวลานานอย่างที่เราเรียกกันว่าเบิร์นอิน (Burn In) หรืออาการรอยภาพไหม้ค้างติดหน้าจอนั่นเอง
หลังจากที่ซัมซุงได้ลองผลิตและขายทีวี OLED ได้เพียง 1 ปี ก็พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงได้ปิดไลน์การผลิตทีวี OLED ด้วยความเชื่อที่ว่าหน้าจอแสดงผลแบบ OLED นั้นเหมาะกับการนำมาใช้กับหน้าจอขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟนมากที่มีอายุการใช้งานสั้น และใช้พลังงานน้อยกว่า
จากนั้นจึงหันไปพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมดอท (Quantum Dot) จนเกิดเป็นทีวีในชื่อ SUHD TV ในปี 2016 และต่อยอดจนเปลี่ยนชื่อเป็น QLED หรือเวอร์ชั่นอัพเกรดของ LED TV ที่เข้ามาเติมให้ภาพมีสีสันสวยสดขึ้น มีความสว่างมากขึ้น เพื่อให้ภาพออกมาดูสมจริงมากที่สุด โดยหลักการกำเนิดภาพพื้นฐานยังเป็น LED TV ซึ่งไม่มีจุดพิกเซลที่ส่องสว่างเองและให้ระดับความร้อนที่ต่ำมาก จึงมีโอกาสเกิด Burn–In น้อยมาก
เทคโนโลยี QLED มีความโดดเด่นที่คุณภาพเม็ดสี คมชัดทุกเฉด ให้ภาพสว่างมีชีวิตชีวา เห็นชัดทุกรายละเอียดในทุกสภาพแสงโดยเฉพาะในที่แสงน้อย ด้วยระบบป้องกันแสงสะท้อน ‘อัลตร้าแบล็ค’ แสดงภาพได้เหมือนต้นฉบับ อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการจอไหม้ (Burn-In) หรือการเสื่อมของจอภาพอย่างถาวร อย่างที่ไม่เคยมีเทคโนโลยีใดทำได้มาก่อน ดังนั้นความแตกต่างอย่างชาญฉลาดนี้ ส่งผลให้ ซัมซุง รั้งตำแหน่งผู้นำในตลาดทีวีมาโดยตลอด
ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ “ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์” ผู้กล้าที่จะหันหลังให้กับทีวีแบบ OLED ที่กำลังเป็นที่นิยมในตลาดขณะนั้นและหันมาพัฒนาทีวี QLED เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว เพื่อต้องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยการสร้างสรรค์เทคโลโนยีอันล้ำหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตของผู้ใช้งาน ล่าสุดเพิ่งเปิดตัว “ซัมซุง QLED 8K”ถ่ายทอดความคมชัดเสมือนจริงระดับ 8K ด้วยการประมวลผลทุกความบันเทิงทั้งภาพและเสียงอย่างชาญฉลาดของชิปเซต Quantum Processor 8K และเทคโนโลยี 8K AI Upscaling ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทีวีอันดับหนึ่งระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
คงต้องมาลุ้นกันว่าหลังจากนี้ “ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์” ผู้นำอันดับ 1 ตลาดทีวีโลกและเมืองไทยมานานกว่าทศวรรษ จะซุ่มผลิตนวัตกรรมอะไรออกมาให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การรับชมเหนือระดับขึ้นไปอีก คงต้องติดตามกันต่อไป…
โฆษณา