8 พ.ย. 2020 เวลา 06:06 • ประวัติศาสตร์
บุคคลที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ #4
ชาร์ลส ดาร์วิน ผู้พลิกโฉมโลกชีววิทยา
by หมอเอ้ว x แอดมินฮันนี่
1
เมื่อคนหนึ่งคนจากโลกนี้ไป อะไรเป็นปัจจัยให้คนอยากพูด
และบอกต่อเรื่องราวดี ๆ ของเขาจากรุ่นสู่รุ่นคะ?
.
สำหรับฮันนี่แล้ว ...
ฮันนี่ลองลิสต์มาได้ประมาณนี้ค่ะว่า
.
เพราะสิ่งดี ๆ ที่เขาทำไว้
เพราะความกล้าหาญที่เขาทำไว้
เพราะผลงานที่เขาสร้างไว้
เพราะความรู้ที่เขาถ่ายทอดไว้
.
ยิ่งถ้าสิ่งนั้นมีอิทธิพลขนาดที่เรียกว่าพลิกโฉมโลกล่ะก็
แน่นอนเลยว่า
เรื่องราวของเขาจะถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าตัวเขาจะเสียชีวิตไปนานแค่ไหนก็ตาม
.
น่าสนใจไหมคะ
หากเราได้ก้าวเดินตามชีวิตใครที่เป็นเช่นนี้ เพื่อเรียนรู้ สิ่งที่อาจจะช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า
และสร้างประโยชน์ให้แก่โลกได้
คงจะเป็นการดีมาก ๆ
.
และครั้งนี้คืออีกครั้งที่หมอเอ้วและฮันนี่
ภูมิใจนำเสนอเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ระดับตำนาน
ที่เราปลื้มเขามาก
เพื่อให้ทุกท่านได้รับรู้ ว่าสิ่งที่เขาฝากไว้กับมนุษยชาติคืออะไร
และเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรมาบ้าง
กว่าจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาทำ
..........................................................................
2
(หมายเหตุ เนื้อหานำมาจาก บทที่ 2 ของ หนังสือ "เรื่องเล่าจากร่างกาย"
โดยหมอเอ้ว นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา)
1) วัยเด็ก
ชาลส์ ดาร์วิน เป็นชาวอังกฤษ เกิดมาในครอบครัวหมอที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย
ในวัยเด็กเขาเติบโตมาโดยรับอิทธิพลทางความคิดจาก 3 ทาง
ทางแรกคือ ปู่ของเขาเอง ซึ่งเชื่อในเรื่องของวิวัฒนาการ
ทางที่สอง คือพ่อของเขา มีเรื่องเล่ากันว่า ตลอดชั่วชีวิตของพ่อดาร์วิน
เขาไปโบสถ์เพียงสองครั้ง และทั้งสองครั้งนั้นก็ไม่ได้เดินไปเอง
ครั้งแรกมีคนอุ้มไป (ตอนเป็นทารก)
อีกครั้งมีคนแบกไป (นอนอยู่ในโลงศพ)
2
ซึ่งเรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า
พ่อของดาร์วินไม่นับถือ และไม่เชื่อคำสอนของศาสนาคริสต์
อิทธิพลทางความคิดทางสุดท้าย คือจากแม่ของเขาซึ่งศรัทธาศาสนาอย่างมาก
และเชื่อว่าโลกถูกสร้างโดยพระเจ้า
และด้วยความที่เขาเกิดมาในครอบครัวเช่นนี้
เขาจึงมีพื้นฐานทางความเชื่อ ต่างไปจากเด็กอังกฤษส่วนใหญ่
 
ด้วยความที่พ่อกับปู่เป็นหมอ เขาจึงเลือกอาชีพหมอตามไปด้วย
ดาร์วินเรียนหมอที่มหาวิทยาลัยเอดินบระ (Edinburgh) ในสก็อตแลนด์ ซึ่งในเวลานั้นถือได้ว่าเป็นโรงเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดในคาบสมุทรอังกฤษ
แต่ดาร์วินพบว่าตัวเองแพ้เลือดและเห็นการผ่าตัดไม่ได้
เนื่องจากในยุคนั้นการผ่าตัดยังไม่มีการดมยาสลบ
ก่อนการผ่าตัดจึงไม่มีหมอนำหน้ากากออกซิเจนมาสวมให้คนไข้ แต่จะมีพยาบาลผูกแขนขาคนไข้ไว้กับเตียง และนำไม้พันด้วยผ้ามาให้คนป่วยกัด เพื่อป้องกันการกัดลิ้นตัวเองขาด
การลงมีดของหมอแต่ละครั้ง ก็จะเป็นไปในลักษณะ กรีดไปหยุดไป เพราะคนป่วยจะดิ้นจนผ่าต่อไม่ได้
เมื่อดิ้นจนหมดแรง หมอก็จะลงมีดครั้งต่อไป การผ่าตัดจึงต้องผ่าไปหยุดไป
ส่งผลให้ดาร์วินในวัย 16 ปีเห็นแล้วเข่าอ่อน และตัดสินใจลาออกไม่เรียนต่อ
พ่อของชาลส์ ดาร์วิน กลัวว่าลูกชายคนนี้ จะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
และเห็นว่าตอนเด็กๆลูกคนนี้รักธรรมชาติมาก จึงส่งให้ไปเรียนเพื่อเป็นนักบวชที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
การเป็นนักบวชในยุควิคตอเรียของอังกฤษ จะต่างไปจากที่เราคุ้นเคย คือ ไม่ใช่การละทางโลก แต่นักบวชเป็นอาชีพหนึ่งที่มีเกียรติในสังคมมาก
การเรียนเพื่อเป็นนักบวชจะต้องเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติ เรียนธรณีวิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์และต้นไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น
เมื่อมนุษย์เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็จะสามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้นด้วย
และที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี้เอง
ที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของดาร์วินในเวลาต่อมา
2)
ปี ค.ศ. 1831
ศาสตราจารย์ จอห์น สตีเวน เฮนส์โลว์ (John Stevens Henslow) อาจารย์คนสนิทของดาร์วิน ได้รับเชิญให้เดินทางไปกับเรือของราชนาวีอังกฤษ HMS Beagle ในฐานะนักธรรมชาติวิทยาเพื่อเก็บสะสมตัวอย่างทางธรรมชาติ จากดินแดนที่เรือแล่นผ่าน
1
ยุคสมัยนั้นการเดินเรือแต่ละครั้งจะกินเวลานานเป็นปี ๆ
ขณะที่ลูกเรือส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานคนจน ไม่มีการศึกษาและถูกมองว่าเป็นชนชั้นล่างของสังคม
กัปตันเรือซึ่งเป็นคนมีการศึกษาจึงมักเชิญชนชั้นสูงให้ร่วมเดินทางไปด้วย
แต่ตัวเฮนส์โลว์เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน จึงไม่อยากเดินทางเป็นเวลาหลาย ๆ ปี
เขาจึงแนะนำดาร์วินวัย 22 ปีซึ่งเป็นลูกศิษย์คนโปรด
1
ก่อนที่ดาร์วินจะออกเดินทาง
กัปตันเรือของ HMS Beagle ชื่อโรเบิรต์ ฟิทซ์รอย (Robert Fitzroy) ก็ได้มอบหนังสือให้ดาร์วินนำไปอ่านระหว่างเดินทางหนึ่งเล่ม
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ชาร์ลส์ ไลเอล (Charles Lyell) ซึ่งในเวลาต่อมาจะกลายเป็นเพื่อสนิทคนหนึ่งของดาร์วิน
หัวใจหลักของหนังสือที่ ไลเอล เขียน เขาเสนอแนวคิดและหลักฐานทางธรณีใหม่ว่า
โลกมีอายุเก่าแก่กว่าที่เคยเชื่อกันมาก
นอกจากนั้นแผ่นดิน และผืนน้ำ ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ตลอดเวลา
โดยแรงที่ทำให้แผ่นดินและผืนน้ำเคลื่อนที่นั้น เป็นแรงที่กระทำต่อเนื่องมานาน จากอดีตมาจนถึงปัจจุบันและจะมีต่อไปในอนาคต ซึ่ง ทางวิทยาศาสตร์เรียกทฤษฎีนี้ว่า Uniformitarianism หมายถึง แรงที่กระทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ
และต่อเนื่องทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นแรงอันเดียวกัน (Uniform)
เมื่อแรงในอดีตเป็นแรงเดียวกับปัจจุบันและอนาคต
การศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นกุญแจที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
(ประโยคคลาสสิคที่เขาใช้กล่าวไว้ว่า the present is the key to the past)
ทฤษฎีของไลเอล ที่เสนอใหม่นี้
จะต่างจากอีกทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับทั่วไปในยุคนั้น ที่ชื่อ Catastrophism ซึ่งเชื่อว่า
การเปลี่ยนแปลงของโลกจะมาเป็นระลอก และไม่ต่อเนื่อง คือมีแรงมากระทำให้เกิดความหายนะครั้งหนึ่งแล้วก็หายไป
วันดีคืนดีความหายนะก็กลับมาใหม่
ตัวอย่างที่สำคัญได้แก่
น้ำท่วมโลกในพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์
หนังสือของไลเอลเล่มนี้มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการช่วยให้ดาร์วินสามารถต่อยอดทางความคิด เพื่ออธิบายธรรมชาติหรือปรากฎการณ์ที่ไปพบเจอได้ดียิ่งขึ้น
เพราะเมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ และต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนโลกก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
นอกจากนี้การที่โลกดำรงอยู่มานานมากกว่าที่เคยเชื่อ คือหลายร้อยล้านปี (เดิมเชื่อว่ามีอายุแค่หลักหลายพันปี) ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นไปได้มากขึ้น
เพราะหากโลกมีอายุไม่นานพอ เช่น ไม่กี่พันปีตามที่เชื่อกัน
จะมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับทฤฏีวิวัฒนาการของเขา
3)
ดาร์วินเดินทางไปกับเรือ HMS Beagle นานทั้งหมด 5 ปี
ลัดเลาะผ่านชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้ทั้งหมด รวมไปถึงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เกาะกาลาปากอส และยังเดินทางผ่านไปแถวทวีปออสเตรเลียอีกด้วย
2
เมื่อมีโอกาส ดาร์วินจะลงจากเรือและเข้าไปศึกษาธรรมชาติ
เขาจดบันทึก วาดภาพ สิ่งมีชีวิตต่างๆอย่างละเอียด
เขาเข้าป่าไป พูดคุยและเรียนรู้เรื่องสัตว์และพืชจากคนท้องถิ่น
2
ในวันที่ดาร์วินออกเดินทางไปกับเรือ HMS Beagle เขายังไม่ได้สนใจเรื่องของวิวัฒนาการ
สิ่งที่ดึงดูดเขามีเพียงความสวยงามและน่าทึ่งของธรรมชาติ
และวิธีการศึกษาของเขาก็ไม่ต่างไปจากนักธรรมชาติวิทยารุ่นเดียวกัน
คือ พยายามเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ขึ้นมา
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ดาร์วินเริ่มสงสัยนั้น เกิดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ของการเดินทาง
หลังจากที่เขาเห็นธรรมชาติมามากถึงจุดหนึ่งเขาเริ่มเห็นว่าหลายสิ่งในธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายที่มาได้ด้วยความเชื่อแบบเดิม หลายสิ่งหลายอย่างในธรรมชาติมันดูไม่สมเหตุสมผล
 
ความเชื่อหลักในยุคนั้นคือ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกออกแบบและสร้างให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่มาตั้งแต่แรกเกิดของสปีชีส์นั้น และสัตว์สร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับการสร้างโลก จากนั้นสิ่งมีชีวิตก็ถูกนำไปวางตามที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
2
แต่สิ่งที่เขาพบกลับไม่สนับสนุนความเชื่อที่ว่านั้นเลย
เขาเจอนกมีปีกแต่บินไม่ได้
คำถามคือทำไมนกถึงถูกสร้างมาให้มีปีกทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีไว้บิน
จริงอยู่ว่าส่วนของปีกในนกบางชนิดมีไว้ช่วยในการว่ายน้ำ
ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมไม่สร้างเป็นครีบเลยตั้งแต่แรก เพราะอย่างไรปีกที่ว่ายน้ำได้
ก็ทำงานได้ไม่ดีเท่ากับครีบแน่นอน
หรือเขาได้พบซากฟอสซิลของสัตว์ใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วที่ชื่อว่า สล็อธยักษ์ หรือ Giant Ground Sloth แต่ในขณะเดียวกันก็มีสัตว์ที่หน้าตาคล้ายกันมาก แต่ตัวเล็กกว่าเรียกว่า สล็อธ หากินอยู่บนต้นไม้
ในเมื่อสัตว์ต้องใช้ชีวิตแตกต่างกันอยู่แล้ว ทำไมไม่สร้างให้ต่างกัน
และเหมาะกับการใช้ชีวิตของมันไปเลย เหตุใดต้องสร้างให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน ต่างที่ขนาด แล้วมีร่างกายที่ไม่ค่อยเหมาะกับสิ่งแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ด้วย
1
รวมถึงการที่ดาร์วินเห็นซากฟอสซิลของหอยที่ควรอยู่ใต้ท้องทะเลแต่ลอยขึ้นไปฝังอยู่บนหน้าผาที่สูงกว่า 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ทั้งหมดนี้ค้านกับความรู้เดิม ที่ว่าสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกสร้างมาครั้งเดียวให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม
1
เมื่อกลับมาถึงอังกฤษ
ดาร์วินใช้เวลาศึกษาตัวอย่างที่เก็บสะสมมาอีกประมาณ 5 ปี
ยิ่งศึกษามากก็ยิ่งเห็นสิ่งที่ขัดกับความเชื่อเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ
3
ข้อสรุปเดียวจากหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้คือ
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลง และอาจจะเปลี่ยนมาจากสิ่งมีชีวิตที่หน้าตาต่างไป
หรือ พูดสั้น ๆ ว่า สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการ
1
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดาร์วินยังตอบไม่ได้คือ “กลไก”
อะไรทำให้สิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป?
อะไรทำให้สิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกสปีชีส์หนึ่งได้ ?
ในขณะที่เขาพยายามหาคำอธิบายนี้
ดาร์วินไม่รู้เลยว่าคำอธิบายที่เขาต้องการ ถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งมานานกว่า 40 ปีแล้ว
4)
ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ ผู้คนจากชนบทมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือความแออัด สกปรก และความอดอยาก
จึงมีการถกเถียงกันระหว่างนักวิชาการว่า ควรจะทำอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้
หนึ่งในคนที่เขียนถึงปัญหานี้คือ โธมัส มัลธัส (Thomas Malthus)
ในตอนหนึ่งของหนังสือ An Essay on the Principles of Population เขาพูดถึงปัญหาของประชากร ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเร็วเกินกว่าที่ทรัพยากรของโลกจะรองรับได้
และเมื่อถึงจุดนั้นทรัพยากรต่าง ๆ จะมีไม่พอ ทำให้เกิดการแก่งแย่ง ทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย
คนจะอยู่กันอย่างแออัดจนที่อาศัยกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค เกิดโรคระบาด จนมีผู้คนล้มตายมากมาย
ช่วงที่ดาร์วินพยายามหาคำอธิบายว่า อะไรคือกลไกของการวิวัฒนาการ
เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือของมัลธัสและพบว่าสิ่งที่เขากำลังมองหานั้นมันถูกเขียนไว้มานานแล้ว
และเป็นคำอธิบายของมัลธัส ที่ทำให้ทฤษฎีซึ่งมีช่องโหว่ของเขา ผสานเข้าด้วยกันสนิทเกิดเป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจน
1
ทั้งหมดมันเริ่มจากความจริงที่ว่า
โลกเรามีทรัพยากรที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่อาศัย อาหาร
ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะกับสิ่งแวดล้อมนั้นมากกว่า ก็จะมีโอกาสหาอาหารได้ดีกว่า ดำรงชีวิตได้ดีกว่า มีโอกาสสืบพันธุ์มากกว่าและมีลูกหลานมากกว่า
ทำให้ลักษณะดังกล่าว ถูกคัดเลือกให้ดำรงอยู่ต่อไปในธรรมชาติ
1
ส่วนสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมนั้น ก็จะน้อยลงจนอาจสูญพันธุ์ไปในที่สุด
2
แต่ธรรมชาติก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามคำอธิบายของไลเอล
ดังนั้น ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะกับสิ่งแวดล้อมจึงเปลียนแปลงตามไปด้วย


และนั่นก็คือ กลไกหนึ่งของการวิวัฒนาการ
5)
เมื่อหนังสือ On the Origin of Species ตีพิมพ์ออกไป ก็นำไปสู่การถกเถียงเรื่องของวิวัฒนาการกันอย่างกว้างขวางและรุนแรง
อังกฤษในยุควิคตอเรีย ศาสนา วิทยาศาสตร์และการเมืองเกี่ยวข้องกันจนแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน การเสนอความคิดที่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนา จึงเท่ากับเป็นการต่อต้านวิทยาศาสตร์และการเมืองไปด้วย
1
นักวิทยาศาสตร์หลายคนที่เป็นอาจารย์และเพื่อนของดาร์วินมาเป็นยี่สิบปี จึงกลับกลายมาเป็นศตรูที่เกลียดชังกัน ริชารด์ โอเวนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและคนที่ช่วยดาร์วินศึกษากระดูกต่าง ๆ ที่สะสมมา กลายมาเป็นศตรูอันดับหนึ่งที่คอยทำลายทฤษฎีและชื่อเสียงของดาร์วิน
แต่สุดท้าย หลักฐานต่าง ๆ บวกการศึกษาเพิ่มเติมอีกกว่ายี่สิบปี
ก็ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการและการคัดเลือกตามธรรมชาติ ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกวันนี้ทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่ยอมรับกันทั่วไปในแวดวงชีวิวทยา
แต่ปัจจุบันยังถือว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเสาหลักของวิชาชีววิทยา
ถึงขนาดว่า ธีโอดอร์ ดอปแชนสกี (Theodore Dobzhansky)
นักชีววิทยาที่ยิ่งใหญชาวยูเครนเคยกล่าวไว้ว่า
"Nothing in Biology Makes Sense except in the Light of Evolution"
ไม่มีอะไรในวิชาชีววิทยาที่ดูสมเหตุสมผล
ยกเว้นเสียแต่จะเข้าใจผ่านกระบวนการวิวัฒนาการ
และนี่คือเรื่องราวในช่วงที่สำคัญ
ของชายผู้พลิกโฉมโลกแห่งชีววิทยา
ชาร์ลส ดาร์วิน
.
แม้ว่าจะเล่ายาวมาถึงขนาดนี้
แต่ต้องบอกเลยค่ะว่าชีวประวัติของชายคนนี้
ยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ
จนแทบไม่อยากจะตัดเรื่องราวสำคัญส่วนใดของเขาทิ้ง
.
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวของชาร์ลส ดาร์วิน ที่เรานำมาเสนอนี้
จะเป็นเหมือนอีกหนึ่งเชื้อไฟประจำสัปดาห์
ที่จะช่วยให้ทุกคนมีพลังและมีความเชื่อมั่น
มีแรงบันดาลใจและอยากใช้ชีวิตให้สนุก
และมีความหมายกันต่อไปนะคะ :)
.
แล้วพบกับบุคคลที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าค่ะ :)
ไม่อยากพลาดการแจ้งเตือนเมื่อมีคลิป
และบทความใหม่ ๆ Add Line
เพื่อรับการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
🔔 Line: @chatchapolbook
🐱ภาพประกอบโดย แอดมินฝ้าย
โฆษณา