11 พ.ย. 2020 เวลา 11:50 • ธุรกิจ
Amazon กับ Microsoft กำลังแข่งขันกันที่ “นอกโลก”
Amazon และ Microsoft สองบริษัทเทคโนโลยีนี้ มีมูลค่ารวมกันถึง “100 ล้านล้านบาท”
แม้จะไม่ได้เป็นคู่แข่งกันตรงๆ แต่ทั้งสองบริษัท มีธุรกิจหนึ่งที่ทั้งคู่ทำเหมือนกัน
นั่นก็คือ ธุรกิจคลาวด์
1
รู้ไหมว่าในตอนนี้ บริการคลาวด์ ของทั้งคู่
ไม่ได้แข่งกันแค่บนโลกของเราเท่านั้น
แต่ยังออกไปแข่งกันไกลถึง “นอกโลก”
แล้วเรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
3
Amazon เป็นเจ้าของแบรนด์ Amazon Web Services หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า AWS
1
Microsoft เป็นเจ้าของแบรนด์ Microsoft Azure
2
รู้ไหมว่า ปัจจุบัน 2 เจ้านี้ ครองส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจคลาวด์ทั่วโลกเกิน 50%
AWS ครองตลาดประมาณ 33% ส่วน Azure ครองตลาดประมาณ 18%
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า คลาวด์ คืออะไร?
1
คลาวด์ คือ การประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลที่ทำงานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยลูกค้าที่ใช้บริการไม่จำเป็นต้องซื้อทรัพย์สินอะไร เพียงแค่จ่ายเงินกับผู้ให้บริการ ก็สามารถใช้การประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลนั้นได้
4
ซึ่งการที่ไม่ต้องซื้อทรัพย์สิน ก็เปรียบเสมือนใช้บริการที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และเป็นเหตุผลที่เรียกว่า คลาวด์ ที่แปลว่าก้อนเมฆนั่นเอง..
5
แล้ว บริการคลาวด์ ดีอย่างไร?
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ สมัยก่อนองค์กรต่างๆ อาจต้องมีการลงทุนซื้อหรือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการทำงาน พื้นที่ และระบบจัดเก็บข้อมูลด้วยตนเอง
2
เช่น ถ้าบริษัท A มีข้อมูลจำนวนมากที่ต้องเก็บ ก็จะต้องลงทุนสร้างห้องเก็บข้อมูลหรือที่เรียกว่า Data Center ด้วยตัวเอง ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง
1
Cr. CloudSigma
แต่ในทุกวันนี้ บริษัท A ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้าง Data Center เพื่อเก็บข้อมูลเองอีกแล้ว
1
เพราะสามารถนำเงินไปเช่าพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล จากผู้ให้บริการอย่างเช่น AWS หรือ Azure แล้วส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อไปเก็บในพื้นที่นั้น ซึ่งนี้ก็คือตัวอย่างบริการคลาวด์รูปแบบหนึ่งนั่นเอง
2
ด้วยเทรนด์ของการทำธุรกิจในปัจจุบัน กำลังเคลื่อนเข้าสู่โลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกที ก็เลยทำให้ความต้องการใช้บริการคลาวด์ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของการให้บริการคลาวด์ทั้งโลก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 18% และมีมูลค่าตลาดทั้งหมดในปี 2019 ถึง 3.5 ล้านล้านบาท
1
ที่น่าสนใจคือ การระบาดของ COVID-19
ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความต้องการใช้บริการคลาวด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ถ้าลองมาดูอัตราการเติบโตของรายได้จากบริการ Cloud ของทั้งสองบริษัท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
Amazon Web Services รายได้เติบโต 30.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
Microsoft Azure รายได้เติบโต 31.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
1
การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของความต้องการใช้บริการคลาวด์ ยิ่งทำให้ทั้ง Amazon และ Microsoft แข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้มาครองให้ได้มากที่สุด
1
จนการแข่งขัน “บนโลกใบนี้”
ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับสองบริษัทนี้..
ปี 2018 Amazon ร่วมมือกับ Lockheed Martin บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตอาวุธและเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและดาวเทียม ก่อตั้ง “AWS Ground Station”
1
Cr. Geospatial World
โดย AWS Ground Station คือสถานีภาคพื้น ที่มาช่วยซัปพอร์ตการทำงานระบบคลาวด์ของ AWS ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ด้วยการอาศัย “ดาวเทียม” เป็นตัว รับ-ส่งสัญญาณ กับสถานี
1
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ช่วยให้บริการคลาวด์ของ AWS ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกมากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ส่วนทาง Microsoft ก็ไม่น้อยหน้า
เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือกับ “SpaceX” บริษัทสำรวจและขนส่งอวกาศเชิงพาณิชย์ ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ เพื่อก่อตั้ง “Azure Space”
1
โดย Azure Space เป็นโครงการที่จะช่วยยกระดับการให้บริการระบบคลาวด์ ของ Microsoft Azure ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีบนห้วงอวกาศมาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
1
ซึ่งหนึ่งโพรเจกต์สำคัญของโครงการนี้ คือการนำ “อินเทอร์เน็ตจากอวกาศ” จากดาวเทียม Starlink ที่ SpaceX กำลังจะเริ่มทดสอบการให้บริการในปลายปีนี้ มาเชื่อมต่อเข้ากับบริการคลาวด์ Azure
1
หมายความว่า บริการคลาวด์ของ Microsoft กำลังจะเริ่มให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตจากอวกาศในไม่ช้านี้แล้ว..
1
Cr. Microsoft News
และทางฝั่ง Amazon เองก็มีโครงการอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเช่นกัน
เพราะในปี 2019 Amazon ก็ได้ประกาศก่อตั้งโครงการที่ชื่อว่า “Project Kuiper”
1
ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปบนอวกาศ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต คล้ายๆ กันกับดาวเทียม Starlink ของ SpaceX
โดยบริษัทที่จะส่งดาวเทียมของ Project Kuiper ขึ้นไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็น “Blue Origin” บริษัทสำรวจและขนส่งอวกาศของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon นั่นเอง..
Cr. GeekWire
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงได้รู้แล้วว่า
ในขณะที่หลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม
กำลังแข่งขันกันอยู่บนโลกของเรา ณ เวลานี้
สองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี
กำลังไปไกล ถึงขนาดที่หลายคนอาจจินตนาการไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
1
และถึงแม้เรื่องนี้ อาจจะยังดูไกลตัวเราคนไทย ในตอนนี้
แต่ใครจะไปรู้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
คนทั่วโลก อาจได้ใช้บริการเทคโนโลยีเหล่านี้
ที่ส่งตรงมาจาก “นอกโลก” อย่างไม่รู้ตัว ก็เป็นได้..
โฆษณา