'สมภารวัดร้าง'
“เออ อยู่ดีๆก็ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง”
พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ทรงมีพระเกียรติยศเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง พร้อมทั้งพระราชทานพระบวรราชวังให้เป็นที่ประทับ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพทรุกโทรมทั้งวัง (ศิลปวัฒนธรรม:พฤศจิกายน 2561)
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ตำนานวังหน้า ตอนหนึ่งเอาไว้ว่า “ซุ้มประตูแลป้อมปราการพังเกือบหมด กำแพงวังชั้นกลางก็ไม่มีท้องสนามในวังหน้า ชาวบ้านเรียกว่าสวนพันชาติ เพราะพันชาติตำรวจในวังปลูกเหย้าเรือนอาศัย และขุดท้องร่องทำสวน ตลอดไปจนถึงหน้าพระที่นั่งศิวโมกข์วิมาน”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาประทับโปรดให้ทำพิธีและสถาปนาอาคารต่างๆขึ้น รวมถึงให้ทำพิธีพราหมณ์ฝังอาถรรพ์ใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2394 โดยให้ฝังหลักอาถรรพ์ทุกป้อมและทุกประตูของพระราชวัง จำนวน 80 หลัก
จากนั้นโปรดให้สร้างพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆขึ้น หนึ่งในนั้นคือ“พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์” เป็นที่ประทับลักษณะศิลปะแบบยุโรป (วาทะประวัติศาสตร์ .ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย.นสพ.มติชน)
“พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์” เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่ได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า กระทั่งเสด็จสวรรคต หลังจากกรมศิลปากรปิดปรับปรุงได้เปิดให้ประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง มีทั้งหมด 2 ชั้น ปัจจุบันชั้นล่างจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ส่วนชั้นที่ 2 เป็นห้องเสวย ห้องรับแขก ห้องบรรทม ห้องแต่งตัว ห้องเครื่อง
“ห้องเสวย หรือ ห้องพระบรมอัฐิ”
เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ อยู่กึ่งกลางพระที่นั่ง สำหรับพระบวรวงศ์เฝ้าระหว่างเสวย มีเฉลียงทึบด้านหลังเป็นห้องอุ่นเครื่องเสวย เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้จัดเป็นห้องประดิษฐานพระบรมอัฐิ โดยโปรดให้ทำตู้ทอง3ตู้ ตู้กลางประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว //ตู้ขวาประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบรมราชชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนตู้ซ้ายประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระบรมราชชนนี สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
ต่อมารัชกาลที่ 5 โปรดให้อัญเชิญพระอัฐิ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญมาประดิษฐานไว้ด้วย ล่วงเข้าสู่แผ่นดินรัชกาลที่ 6 ปรากฏว่าพระราชมณเฑียรสถานในพระราชวังบวรชำรุดทรุดโทรมลง จึงโปรดให้อัญเชิญพระบรมอัฐิ พระอัฐิไปประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ.2460
ปัจจุบันห้องเสวยเป็นที่ประดิษฐานป้ายฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาษาจีน
ถัดจาก”ห้องเสวย“ไปทางด้านเหนือเป็น”ห้องรับแขก” เป็นห้องที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะเป็นการส่วนพระองค์
เมื่อครั้งเซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตอังกฤษเข้าเฝ้าฯเมื่อ พ.ศ.2398 ได้บันทึกเอาไว้ว่า “ทีประทับของพระองค์นั้นสะดวกสบาย ตดแต่งอย่างมีรสนิยม เครื่องเรือนและเครื่องประดับพระราชวังต่างๆจะทำให้ท่านคิดว่ากำลังอยู่ในบ้านคนอังกฤษ”
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก ได้ประทับที่ห้องนี้จนสวรรคต
ภายในห้องนี้มีภาพเขียนประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน สหรัฐอเมริกาติดอยู่ ซึ่งประธานาธิบดีแฟรงกลิน เพียร์ซส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ ในโอกาสที่กัปตันเทาเซนต์ แฮริส เป็นทูตเข้ามาเจรจาสนธิสัญญาไทย-สหรัฐอเมริกา พ.ศ.2399
สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนนั่นคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเครื่องดนตรีแคนเป็นอย่างมาก มีการนำแคนขนาดใหญ่มาจัดแสดง
และยังพระราชนิพนธ์กลอนแอ่วลาว เรื่อง ”นายคำสอน” เอาไว้ด้วย ซึ่งกลอนแอ่วลาวตอนหนึ่งความว่า
“ญิงใดยัวละยาดย่ายเสียงบาทตีนหนัก อย่าได้เอาหัวเฮียงถ่อยคนจิงแท้”
ตีความว่า “หญิงสาวคนไหนเดินเสียงดัง อย่าได้เอามาเคียงคู่”
อีกบท “ญิงใดหน้าผากสวดผัวฮักแวนถนัด การญิงชายก็หากยังแวนจ้อย”
อันนี้แปลยากมาก แต่ถ้าให้เดาคือ หญิงใดหน้าผากนูนโหนก ผัวจะรักจะหลง และผู้ชายมักจะจับจองเป็นคู่ชีวิตนั่นเอง แต่ถ้าผิดก็ยกประโยชน์ให้ผู้ตีความ
ทุกห้องที่จัดแสดงสามารถถ่ายภาพได้ แต่ห้ามใช้แฟลช และห้ามถ่ายภาพเคลื่อนไหว หลายห้องอยู่ระหว่างปรับปรุงและติดแอร์เพิ่ม แต่ก็มีอีกหลายห้องที่จัดแสดงให้คนไทย-เทศได้เข้าไปชม
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
