13 พ.ย. 2020 เวลา 02:41 • ปรัชญา
ต้นสายปลายเหตุแห่ง "นิโรธ"
...แม้การฟังสัทธรรม พระตถาคตก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังพระสัทธรรม  ควรกล่าวว่า การคบหาสัตบุรุษ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ด้วยประการดังนี้...
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังพระสัทธรรมให้บริบูรณ์
การฟังพระสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์
การมีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 
การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ 
การมีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์
การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์
การมีสุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
ตามนัยแห่ง "ตัณหาสูตร" พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 203
(ภภภ) ขยายความ
การมี "ปรโตโฆสะ" ด้วยการคบ "สัตบุรุษ" คือคนดี ผู้เป็น "กัลยาณมิตร" ที่บริบูรณ์ (๑) ย่อมยังการได้ฟัง "พระสัทธรรม" คือ การเล่าเรียน เสวนา รับฟังคำแนะนำสั่งสอน ที่บริบูรณ์ (๒) อันจะก่อให้เกิด "ศรัทธา" ที่บริบูรณ์ (๓) นำไปสู่ "มนสิการ" คือ การน้อมนำมาพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ที่บริบูรณ์ (๔)
ซึ่งทั้ง "ปรโตโฆสะ" คือเสียงหรือการชักจูงที่เข้ามากระตุ้นจากผู้อื่นภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ "กัลยาณมิตร" ผู้รู้พระสัทธรรม คือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด และ "โยนิโสมนสิการ" การคิดพิจารณาโดยแยบคาย จำแนกแยกแยะ หาเหตุผล อย่างถูกวิธีและเป็นระบบ ให้เห็นสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย ตั้งแต่ต้นจนจบ ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น มีเหตุปัจจัยอะไรสิ่งนั้นจึงดำเนินมา มีเหตุปัจจัยอะไรสิ่งนั้นจึงตั้งอยู่ทนโท่ในวันนี้ และมีเหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้สิ่งนั้นดับสูญสิ้นไปในอนาคต แล้วจึงน้อมลงไปในกฎธรรมชาติทั้ง 4 กล่าวคือ กฎของความเปลี่ยนแปลง (กฎพระไตรลักษณ์) กฏของการกระทำ (กฎแห่งกรรม) กฎของความเป็นเหตุเป็นผล (อริยสัจ ๔) หรือกฎของความเป็นเหตุปัจจัยโยงใยถึงกัน (กฎปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งทั้ง ปรโตโฆสะ" และ "โยนิโสมนสิการ" นี้นี่แหละ คือ ปัจจัยให้เกิด "สัมมาทิฏฐิ" แนวคิดที่ถูกต้อง อันเป็นต้นธารแห่งความดีงามทั้งปวง
การมี "มนสิการ" ที่บริบูรณ์แยบคายนี้แล ย่อมยังให้เกิด "สติ สัมปชัญญะ" ที่บริบูรณ์ (๕) โดยที่ "สติ" คือ ความระลึกได้ ไม่พลาดเผลอ สามารถควบคุมใจไว้กับกิจ ควบคุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง และจำการกระทำ หรือคำที่เคยพูดแล้ว แม้นานได้ ส่วน "สัมปชัญญะ" ก็คือ ทักษะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้และเข้าใจชัดในสิ่งที่ระลึกนึกได้ ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ คือ ๑ รู้ชัดว่า มีประโยชน์ ตรงตามจุดมุ่งหมาย (สาตถกะ-สัมปชัญญะ) ๒ รู้ชัดว่า เป็นที่สบาย เกื้อกูลเหมาะกัน (สัปปายะ-สัมปชัญญะ) ๓ รู้ชัดว่า ยังอยู่ในขอบเขตการงานของตน (โคจร-สัมปชัญญะ) ๔ รู้ชัดว่า ไม่หลงใหลสับสนฟั่นเฟือน (อสัมโมหะ- สัมปชัญญะ)
"สติ สัมปชัญญะ" ที่บริบูรณ์แล้วนี่แล ย่อมยังให้เกิด ความสำรวมอินทรีย์ (อินทรีย์สังวร) ที่บริบูรณ์ (๖) คือมีสติระวังรักษาใจ มิให้กิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง หรือความยินดี ยินร้าย เข้ามาครอบงำ ในเมื่อรับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบ (อารมณ์) ด้วยเครื่องรับรู้ (อินทรีย์) ทั้ง ๖ คือ เห็นรูปด้วยตา ได้ยินเสียงด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก รู้รสด้วยลิ้น รู้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งด้วยกาย และรู้ความรู้สึกนึกคิดด้วยใจ
ความ "สำรวมอินทรีย์" (อินทรีย์สังวร) ที่บริบูรณ์แล้วนี่แล ย่อมยังให้เกิด "สุจริต ๓" ความประพฤติดีประพฤติชอบ ที่บริบูรณ์ (๗) ทั้ง "กายสุจริต" ความประพฤติชอบทางกาย คือ ไม่ฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาต) ไม่ลักทรัพย์ (อทินนาทาน) ไม่ประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร) ทั้ง "วจีสุจริต" ความประพฤติชอบทางวาจา คือ ไม่พูดเท็จ (มุสาวาท) ไม่พูดส่อเสียด (ปิสุณวาจา) ไม่พูดคำหยาบ (ผรุสวาจา) ไม่พูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ) และ "มโนสุจริต" ความประพฤติชอบทางใจ คือ ไม่โลภอยากได้ของเขา (อนภิชฌา) ไม่พยาบาทปองร้ายเขา (อพยาบาท) และ มีความเห็นชอบตามคลองธรรม (สัมมาทิฏฐิ)
"สุจริต ๓" ที่บริบูรณ์แล้วนี่แล ย่อมยังให้เกิด "สติปัฏฐาน ๔" ที่ตั้งของสติ ความระลึกได้ ที่บริบูรณ์ (๘) ได้แก่ การตั้งสติกำหนดพิจารณา ให้รู้เห็นตามเป็นจริง "เช่นนั้นเอง"
ของ "กาย" (กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน - ได้แก่ ลมหายใจ, อิริยาบถ, การประชุมขึ้นของส่วนประกอบอันไม่สะอาด, ความสักแต่ว่าเป็นธาตุ, ความเสื่อมสลายกลายเป็นซากศพ ทั้ง ๙ ระยะ) ว่า "กาย" นั้น เป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีคติธรรมดาของกายว่า ของผู้อื่นเขาเป็นไปเช่นใด ของตนเองก็จักเป็นไปเช่นนั้น
ของ "เวทนา" ความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งทางกายและใจ (เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน - ได้แก่ รู้ชัดเวทนา อันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี หรือเฉยๆ ก็ดี จะมีเครื่องล่อหรือไม่ก็ตาม ที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ) ว่า "เวทนา" นั้น เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
ของ "จิต" (จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน - ได้แก่ รู้ชัดจิตของตนว่า มีราคะหรือไม่ มีโทสะหรือไม่ มีโมหะหรือไม่ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ ตามที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ) ว่า "จิต" นั้น เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
ของ "ธรรม" (ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน - ได้แก่ นิวรณ์ ๕, ขันธ์ ๕, อายตนะ ๑๒, โพชฌงค์ ๗, อริยสัจ ๔ ว่า คืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร เป็นต้น) ว่า "ธรรม" นั้น เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
ครั้นเมื่อเจริญ "สติปัฏฐาน ๔" จนถึงความบริบูรณ์แล้ว ย่อมยังให้เกิด "โพชฌงค์ ๗" คือธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ที่บริบูรณ์ กล่าวคือ
สติสัมโพชฌงค์ ๑ ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ ๑ วิริยะสัมโพชฌงค์ ๑ ปีติสัมโพชฌงค์ ๑ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๑ สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑
"สติสัมโพชฌงค์" ก็คือ "สติปัฏฐาน ๔" โดยเฉพาะ "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" การพิจารณาตามดูรู้ปัจจุบันของกาย ๑ "เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน" การพิจารณาตามดูรู้ปัจจุบันของเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ ๑ และ "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน" การพิจารณาตามดูรู้ปัจจุบันของจิต ๑ เป็นกระบวนการเก็บเกี่ยวข้อมูลบริสุทธิ์ ที่ไม่ถูกปรุงแต่งให้บิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไป ของกาย เวทนา และจิต เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลต้นทุน ในกระบวนการของ "ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ด้วยการวิเคราะห์วิจัย ตรวจสอบเข้ากับ "คลองธรรม" คือ กฎธรรมชาติทั้ง ๔ อันได้แก่ กฎของการเปลี่ยนแปลง (ไตรลักษณ์), กฎของการกระทำ (กฎแห่งกรรม), กฎของความเป็นเหตุผลสมมูลกัน (อริยสัจสี่), และกฎของความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นปัจจัยเชื่อมโยงกระทบถึงกัน (ปฏิจจสมุปบาท)
"ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์" คือหัวใจสำคัญของ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยกระบวนการ "โยนิโสมนสิการ" การพิจารณาโดยแยบคาย และ "โอปนยิโก" การน้อมเข้ามาสู่ตน ด้วยการพิจารณาองค์ธรรมครั้งละ ๑ เรื่อง (เอกัคตารมณ์) ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นดำเนินมา เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ และเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นสูญสลายสิ้นไป แล้วจึงน้อมลงสู่กฎพระไตรลักษณ์ หรือกฎแห่งกรรม หรือกฎอริยสัจ ๔ หรือกฎปฏิจจสมุปบาท ตามแต่ที่จะเห็นสมควร จนสามารถทำให้ใจของเราปลงวาง ยอมรับความจริง ตามที่มันเป็น "เช่นนั้นเอง" ของสิ่งนั้นๆ อันจะเป็นการถอดถอน "อุปาทาน" ความยึดมั่นถือมั่น ที่ตนเองเคยให้คุณค่า ดี-เลว ชอบ-ชัง ในสิ่งนั้นๆ ออกไปจากใจ
"วิริยะสัมโพชฌงค์" คือความพากเพียรไม่ท้อถอย อันเป็น "พละ" กำลังผลักดันสำคัญ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือความตรัสรู้ในที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ จากความมี "ศรัทธา" เลื่อมใสในพระศาสดา หรือครูอาจารย์ผู้สอน ผู้เป็น "กัลยาณมิตร" และแนวทางการปฏิบัติที่ท่าน แนะนำสั่งสอนเลือกให้ปฏิบัติ จนเกิด "วีระ" คือความกล้าหาญ ไม่ท้อถอย ที่จะบุกบั่นฝ่าฟัน ปฏิบัติวิปัสสนา ไปตามแนวทางที่ท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนไว้
ส่วนที่เหลืออีก ๔ ประการ คือ "ปีติสัมโพชฌงค์", "ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์", "สมาธิสัมโพชฌงค์" และ "อุเบกขาสัมโพชฌงค์" เป็นการบ่งบอกว่า ในกระบวนการปฏิบัติ "วิปัสสนากรรมฐาน" ซึ่งดำเนินไป ในขั้นตอนของ "ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์" จนถึงผลสำเร็จ คือ "วิปัสสนาภาวนา" เข้าถึงความ "ตรัสรู้" สัจธรรมความจริงได้นั้น ย่อมมีสมาธิขั้นสูง ระดับ "อัปปนาสมาธิ" คือ "ฌาน" ตั้งแต่ ฌาน ๑ จนถึง ฌาน ๔ เกิดควบคู่กันไป โดยไม่ได้แยกจากกัน หรือแยกกันทำคนละคราว อย่างที่สำนักปฏิบัติส่วนใหญ่เข้าใจกัน
ยกตัวอย่าง การได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ของชาวเมืองแคว้นมคธ หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน พร้อมๆ กับพระเจ้าพิมพิสาร ณ สวนตาลหนุ่ม จากผู้เข้าฟังธรรมหนึ่งแสนสองหมื่นคน อะไรจะง่ายขนาดนั้น เขาเอา "สมาธิ" จากไหนกัน มาเป็นเครื่องช่วยให้บรรลุธรรม บางคนก็ด้นเดาว่า คนในสมัยก่อน คงแข่งขันกันนั่งสมาธิเป็นกีฬา เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว บ้างก็ว่า คนยุคนั้นเขามีบุญมาก มีบุญพร้อมแล้วต่อการที่จะบรรลุธรรม ซึ่งล้วนแต่หลักลอย ไร้น้ำหนัก ขาดเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ เพราะแท้จริง คนเราในยุคสมัยใด ก็มี กิเลส ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อุปาทาน และอวิชชา ไม่แตกต่างกัน หรือแตกต่างจากคนในสมัยนี้เลยแม้แต่น้อย แล้วถ้าอย่างนั้น การบรรลุธรรมหมู่ครั้งใหญ่ในวันนั้นล่ะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ ทรงรู้แจ้งทั้งทางโลกและทางธรรม ตลอดจนอัธยาศัยของผู้มาฟังธรรม ทรงแสดงธรรมเหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนแสงสว่างที่ส่องสว่างเข้าไปในที่มืด ใครได้ฟังคำของพระองค์ ก็จะเกิดความรื่นรมย์ เพลิดเพลิน และเข้าใจกระจ่างแจ้ง จนเผลออุทานออกมาเองว่า อะโหพุทโธ อะโหธัมโม อะโหสังโฆ ช่างอัศจรรย์จริงหนอ ฯลฯ ขณะเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม ผู้ฟังก็ "โยนิโสมนสิการ" น้อมนึกคิดพิจารณาตามไปโดยแยบคาย ในความสมมูลของเหตุและผล ตลอดจนตัวอย่างที่พระองค์ทรงยกขึ้นอ้างอิง แล้วยัง "โอปนยิโก" น้อมเข้ามาสู่ตน เทียบเคียงกับประสบการณ์ตรงของตน ที่เคยสั่งสมรับรู้มา ว่ามีความเป็นไปได้และสามารถตอบโจทย์ แก้ข้อสงสัยที่ค้างคาใจตน ได้มากน้อยเพียงใด ยิ่งฟังไป ยิ่งกระจ่างแจ้ง ยิ่งเกิดความสว่างไสว รื่นรมย์ สนุกสนานเพลิดเพลิน ในพระธรรมคำสอนของพระองค์ และก็เป็นธรรมชาติธรรมดาว่า เมื่อใดที่บุคคลกำลัง "สนุกสนาน" เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งใด เขาย่อมมีสมาธิ มีความจดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้น ไม่สนใจในสิ่งอื่น...
นั่นหมายความว่า ตลอดระยะเวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม อันยังความรู้แจ้ง สว่าง กระจ่างใจ และสนุกสนานรื่นรมย์ ให้เกิดแก่ผู้ฟังนั้น ย่อมเป็นขณะที่ผู้ฟัง เข้าถึง "ฌาน ๑" ซึ่งเป็นอัปปนาสมาธิ โดยมีองค์ ๕ คือ มี "วิตก" การยกขึ้นสู่อารมณ์ ๑, และ "วิจาร" การเคล้าไปในอารมณ์ ๑, อันดำเนินไปด้วยการ "โยนิโสมนสิการ" การพิจารณาโดยแยบคาย และ "โอปนนิโก" การน้อมเข้ามาเทียบเคียง กับประสบการณ์ตรงในชีวิตของตน มี "ปีติ" ความฟูของใจ ๑ และ "สุข" ความพึงพอใจ หรือ "ปัสสัทธิ" ความเย็นกายเย็นใจ ๑ ซึ่งทั้งปีติ และสุข หรือ ปัสสัทธิ นี้แหละ ที่รวมกันเรียกว่าเป็นความ "สนุก" อันเป็นการกระเพื่อมของจิต โดยมี "ปีติ" ซึ่งเป็นลักษณะที่ฟู หรือขยายออก และ "สุข" ความพึงใจ หรือ "ปัสสัทธิ" ความเย็นกายเย็นใจ อันเป็นลักษณะที่ยอบยุบ กลับเข้าหาตน และเมื่อใดที่เรา "สนุก" ในสิ่งใด จิตของเราก็จะตั้งมั่นเป็นหนึ่ง คือ "เอกัคคตา" มีอารมณ์เดียว อยู่กับสิ่งนั้น โดยไม่แส่ส่ายคลอนแคลน ๑ จึงเป็นอันว่า "ฌาน ๑" ซึ่งมี องค์ ๕ ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เกิดขึ้นพร้อมในจิตของผู้ฟัง ในขณะแห่งการแสดงธรรมของพระพุทธองค์
ครั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง หมดกระแสพระวจนะแห่งพระองค์แล้ว ผู้ฟังก็มิได้มีจิตคลางแคลงสงสัยใดๆ อีก การ "วิตก วิจาร" ด้วยการ "โยนิโสมนสิการ" คิดนึกพิจารณา ตามไปโดยแยบคาย และโอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ตน ก็ยุติลง คงเหลือแต่ความกระเพื่อมของจิต คือความ"สนุก" ตื่นรู้ สว่าง กระจ่างแจ้ง ปีติ สดใส อิ่มเอม พึงพอใจ ในรสพระธรรม กล่าวคือ "ปีติ" ความฟูของใจ ๑ "สุข" ความพึงพอใจ หรือ "ปัสสัทธิ" ความเย็นกายเย็นใจ ๑ ตลอดจน "เอกัคคตา" ความมีอารมณ์เดียว ๑ อยู่กับธรรมารมณ์ แห่งพระสัทธรรม ที่พึ่งเรียนรู้ผ่านพ้นมาใหม่ สดๆ ร้อนๆ นั้นเอง จึงเป็นอันว่า "ฌาน ๒" ซึ่งมี องค์ ๓ ได้แก่ ปีติ สุข เอกัคคตา เกิดขึ้นพร้อมในจิตของผู้ฟัง ในขณะสิ้นสุดแห่งการแสดงธรรมของพระพุทธองค์
ครั้นความ "สนุก" คือ "ปีติและสุข" คลายจางลง เหลือแต่ความ "สุข" ความพึงพอใจ หรือ "ปัสสัทธิ" ความเย็นกายเย็นใจ ๑ และ "เอกัคคตา" ความแน่วแน่ มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ๑ ที่สืบทอดเนื่องต่อมานั้น นี้ก็เป็น "ฌาน ๓" ซึ่งมีองค์ ๒ ได้แก่ สุข หรือ ปัสสัทธิ กับเอกัคคตา
และเมื่อความ "สุข" หรือ "ปัสสัทธิ" คือ ความพึงพอใจ หรือความเย็นกายเย็นใจคลี่คลายลงจนหมดสิ้น เหลือแต่เพียง "อุเบกขา" ความมีใจเป็นกลาง ๑ และ "เอกัคคตา" ความแน่วแน่ มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ๑ ที่สืบทอดต่อมา ซึ่งนั่นก็คือ "ฌาน ๔" ซึ่งมีองค์ ๒ ได้แก่ อุเบกขา กับเอกัคคตา
เราย่อมเห็นได้ว่า ในการฟังธรรมของชาวแคว้นมคธ ณ สวนตาลหนุ่ม ในวันนั้น ผู้ฟังธรรม ได้ดำเนินปัญญา "วิปัสสนากรรมฐาน" ซึ่งมีทั้ง "โยนิโสมนสิการ" การพิจารณาโดยแยบคาย และ "โอปนยิโก" การน้อมเข้ามาสู่ตน เป็นกระบวนการหลัก และมี "สมาธิ" ในระดับแน่วแน่ คือ "อัปปนาสมาธิ" ตั้งแต่ "ฌาน ๑" จนถึง "ฌาน ๔ " ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน จนได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็น "พระโสดาบัน" ในที่สุด มิได้แยกกันทำ แต่ควบคู่กันไปตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
เมื่อเป็นดังนี้ จึงครบองค์ของ "โพชฌงค์ ๗" ธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ที่บริบูรณ์ กล่าวคือ "สติสัมโพชฌงค์ ๑, ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ ๑, วิริยะสัมโพชฌงค์ ๑, ปีติสัมโพชฌงค์ ๑, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๑, สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑, และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑
"โพชฌงค์ ๗" ที่บริบูรณ์ ย่อมยังให้เกิด "วิชชา" และ "วิมุตติ" ที่บริบูรณ์
จาก "ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์" อันเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติ "วิปัสสนากรรมฐาน" ด้วยการยกองค์ธรรมครั้งละ ๑ หัวข้อ/เรื่อง (เอกัคตารมณ์) ขึ้นมา "โยนิโสมนสิการ" พิจารณาโดยแยบคาย ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้น เกิดขึ้น, ดำเนินมา, ตั้งอยู่ และสูญสลายสิ้นไป แล้วน้อมลงสู่กฎพระไตรลักษณ์, กฎแห่งกรรม, กฎอริยสัจ ๔ หรือกฎปฏิจจสมุปบาท ตามแต่จะสมควร จนสามารถ "ปลงวาง" ยอมรับความจริง ตามที่มันเป็น "เช่นนั้นเอง" ของสิ่งนั้นๆ อันจะเป็นการ "วิมุตติ" ถอดถอน "อุปาทาน" ความยึดมั่นถือมั่น ที่ตนเองเคยให้คุณค่า ดี-เลว ชอบ-ชัง ในสิ่งนั้นๆ ออกไปจากใจ และ "โอปนยิโก" น้อมเข้ามาสู่ตนว่า แม้แต่ "ขันธ์ ๕" ที่เราสำคัญผิดยึดเอามาเป็นตัวตนเราเขานั้น แท้จริงก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติธรรมดา มิได้แตกต่างไปจากองค์ธรรม ที่เรายกขึ้นสู่ "ธัมมวิจยะ" คือ "โยนิโสมนสิการ" จนจบสิ้นไปนั้นเลยแม้แต่น้อย
เปรียบเสมือนการหักก้านธูป ถ้ามีคนส่งก้านธูป ๕๐๐ ก้าน ที่มัดหัวมัดท้าย มาให้เราหักพร้อมกันในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งที่ยากเกินวิสัยที่คนทั่วไปจะทำได้ นอกเสียจากว่า เราได้ผ่านรังสีสีเขียว แล้วกลายเป็นไอ้ฮัก (Huge) ยักษ์ตัวเขียว ที่มีพลังมหาศาล หรือเรามาจากดาวคริปตอน เป็นซูเปอร์แมน ก็อาจเป็นไปได้ ที่เราจะหักก้านธูป ๕๐๐ ก้านที่มัดหัวมัดท้ายนั้น ให้หักสะบั้นไปในคราวเดียวกัน ในพริบตาเดียว... แต่น่าเสียดาย ที่เราไม่ใช้ทั้งไอ้ฮัก และไม่ใช่ทั้งซูเปอร์แมน เราจึงหักไม่ไหว... ถ้าอย่างนั้นถ้าเราต้องการจะหักให้หมด เราจะต้องทำอย่างไร? ก็ทยอยหักไปรอบๆ หักไปทีละก้าน วนไปรอบๆ และในระหว่างที่เรายังพากเพียรทำการหักก้านธูปอยู่นั้น เราก็หาโอกาสออกกำลังกาย วิดพื้น ซิทอัพ ยกดัมเบลล์ เพาะกายให้มีพลังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ หักมากพอ แข็งแรงเพิ่งขึ้น, หักมากพอ แข็งแรงเพิ่มขึ้น, หักมากพอ แข็งแรงเพิ่มขึ้น จนวันใดวันหนึ่ง ที่กำลังกายที่เพิ่มขึ้นมาของเรา เพียงพอต่อก้านธูปส่วนที่เหลือทั้งหมด วันนั้น... เราก็จะสามารถหักก้านธูปส่วนที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นได้ ในคราวเดียวกัน
สิ่งที่เรามีอุปาทานเข้าไปยึดถือทั้งหมด เปรียบได้กับก้านธูปทั้งห้าร้อยก้านนั้น เมื่อเราหักก้านธูปพร้อมกันในคราวเดียวกันไม่ไหว เราก็ต้องทยอยหักไปทีละก้าน ทีละก้าน เท่าที่จะทำได้ นั่นก็คือ การยก "องค์ธรรม" อันเรามี "อุปาทาน" เข้าไปยึดถือว่า ดี-เลว ชอบ-ชัง ขึ้นสู่กระบวนการ "วิปัสสนากรรมฐาน / ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ / โยนิโสมนสิการ" ทีละหัวข้อ ทีละองค์ธรรม จนเห็นแจ้งในความเป็นธรรมชาติธรรมดา ของสิ่งนั้นๆ ตามกฎพระไตรลักษณ์ หรือกฎแห่งกรรม หรือกฎอริยสัจสี่ หรือกฎปฏิจจสมุปบาท ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมพลังจิต ด้วยการปฏิบัติ "สมถกรรมฐาน" ในแบบมาตรฐาน คือ "กรรมฐาน ๔๐" (กสิณ ๑๐, อนุสติ ๑๐, อสุภะ ๑๐, อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑, จตุธาตุววัฏฐาน ๑, พรหมวิหาร ๔, อรูปฌาน ๔ ตามที่แสดงไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์) ซึ่งเป็นแบบจดจ่อนิ่งแน่ว เปรียบดุจการเพาะกายของนักกล้าม (เวทเทรนนิ่ง) หรือจะเป็นแบบเคลื่อนไหว เช่น การเดินจงกรม, สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น, หรือบริกรรมพระปริตร ฯ ซึ่งเปรียบดุจการวิ่งออกกำลังกาย ของนักมวยในตอนเช้าเย็น ที่มีผลต่อหัวใจ (cardiac) และปอด ในการสูบฉีดโลหิต ส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และทั่วร่างกาย เป็นการเพิ่มความอึดในการอยู่บนเวทีให้ครบยก (มวยสากล ๑๒ ยก, มวยไทย ๕ ยก)
และแล้ว เมื่อถึงวันที่กำลังกายที่เพิ่มขึ้นมาของเรา เพียงพอต่อก้านธูปส่วนที่ยังเหลือทั้งหมด วันนั้น... เราก็สามารถที่จะหักก้านธูปส่วนที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นได้ ในคราวเดียวกัน... ในทางการปฏิบัติ "วิปัสสนากรรมฐาน" ก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่ "พลังจิต" ของเราที่เพิ่มขึ้นมา เพียงพอต่อ "อุปาทาน" ส่วนที่ยังเหลือทั้งหมด เราก็จะสามารถเข้าถึง "นิโรธ" ความหลุดพ้นสิ้นเชิง อันเป็นความบริบูรณ์ของ "วิมุตติ" ด้วยความประจักษ์แจ้งในสัจธรรมที่ว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" (สภาพธรรม ทั้งหมดทั้งปวง อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นั้น ล้วนไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นที่พึ่งพาอาศัยใดๆ ไม่ได้ กล่าวคือ ห่วยแตก ไร้สาระทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นเอง) ณ ขณะนั้นแล สิ่งที่ท่านเรียกว่า "มัคคสมังคี" คือ "บูรณาการ" (integration) ของความ "วิมุตติ" หลุดพ้นย่อยๆ ในแต่ละเรื่อง ที่ได้ที่ยกขึ้นเป็น "องค์ธรรม" ในการปฏิบัติ "วิปัสสนากรรมฐาน" ด้วยการ "โยนิโสมนสิการ" การพิจารณาโดยแยบคาย และ "โอปนยิโก" การน้อมเข้ามาสู่ตน ที่ได้ดำเนินการมาแล้วทั้งหมด ก็จะเกิดการสรุปรวบยอดขึ้นว่า แม้สิ่งอื่นใดอันเรายังไม่เคยได้พิจารณา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ย่อมมีสภาวะเหมือนกัน ด้วยความเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) ไม่ตามใจเรา ไม่ตอบสนองความทุรนร่านทะยานอยากของเรา ทำให้เราเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และท้ายที่สุดก็คือ ห่วยแตก ไร้สาระ เป็นที่พึ่งใดๆ แก่เราไม่ได้ทั้งสิ้น (อนัตตา) สม่ำเสมอเท่าเทียมกัน
ณ ขณะนั้น "กิเลส" คือความเศร้าหมองที่หมักหมม ดองจิตมายาวนานข้ามภพข้ามชาติ อันได้แก่ "อวิชชา" ความไม่รู้ตามความเป็นจริง "โมหะ" ความมืดบอดเพราะถูกปิดบังอำพราง "มิจฉาทิฏฐิ" ความเห็นที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง "อุปาทาน" ความยึดมั่นถือมั่น ให้คุณค่าตีราคาว่า ดี-เลว ชอบ-ชัง "มานะ" ความถือตัวถือตนเปรียบเทียบกับผู้อื่น และ "ตัณหา" ความทุรนร่านทะยานอยาก ทั้ง "โลภะ" อยากดึงเข้า ทั้ง "โทสะ" อยากผลักออกหรือแม้แต่ "ราคะ" ความติดอกติดใจ ก็จะถูกขจัดสิ้นไปเป็น "สมุจเฉทปหาน" ! และในขณะเดียวกันนั้นนั่นเอง "พระอรหันต์" องค์ใหม่ ก็ได้เกิดขึ้นแล้วในโลก และพระอรหันต์องค์นั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ... ท่านผู้อ่าน ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ยังไงล่ะ โมทนาสาธุๆๆ
อ้อ... ลืมบอกไป... ว่า ในมัดก้านธูปทั้ง ๕๐๐ ก้านนั้น มีตะเกียบแทรกอยู่ด้วยคู่หนึ่ง แน่นอนตะเกียบคู่นั้น ย่อมใหญ่และหนากว่าก้านธูปมากมาย การที่จะหักตะเกียบ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าก้านธูปมากมายนั้น ให้หักลงได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ยาก ต้องใช้ความเพียร ความอดทน และสติปัญญามากมาย... ในแง่ของการปฏิบัติก็เช่นกัน ตะเกียบคู่นั้น ข้างหนึ่งก็ได้แก่ "อุปาทานขันธ์ ๕ ภายใน" ก็คือ รูป-นาม กาย-จิต ของตัวเราเอง และอีกข้างหนึ่งก็ได้แก่ "อุปาทานขันธ์ ๕ ภายนอก" ก็คือ รูป-นาม กาย-จิต ของบุคคลอันเป็นที่รัก ที่เป็นไอดอลในใจของเรา... การที่เราหักตะเกียบนั้น ต้องหักพร้อมกันไปทั้งคู่ จะมาหักข้างใดข้างหนึ่งแต่เพียงข้างเดียวไม่ได้ เพราะตะเกียบนั้น ต้องเป็นมาเป็นคู่เสมอ เพราะเมื่อข้างใดข้างหนึ่งหักไปแล้ว ข้างที่เหลืออยู่ มันก็จะดูดเอาข้างใหม่ เข้ามาแทนที่ ข้างที่หักไปแล้วนั้นเสมอ... ฉะนั้น การพิจารณาเพื่อถอดถอนอุปทานขันธ์ ๕ จึงต้องพิจารณาทั้งภายนอก และภายใน สลับสับเปลี่ยนกันไปมา จนกว่าจะถอนรากถอนโคนกันได้ทั้งคู่นั่นแหละ จึงจะขจัด "อุปาทานขันธ์ ๕" ทั้งในและนอกได้อย่างแท้จริง... และในระหว่างที่ยังไม่เกิด "มัคคสมังคี" ก็ขอให้เราพิจารณาถอดถอนในองค์ธรรมอื่นๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงพร้อมซึ่งพละกำลัง อันสมมูลกับส่วนที่เหลือ ดังที่กล่าวมาแล้ว
ภภภ พิจารณาธรรม ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๒๑:๒๕ น.
โฆษณา