ออฟฟิศซินโดรม ภัยเงียบ ที่อาจทำให้ตกงาน 12 เดือน (Office Syndrome)
“ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่ทำงานในออฟฟิศ กลุ่มอาการที่พบบ่อย เกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานที่มีลักษณะงานที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน
ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยหรือชาตามบริเวณต่างๆ และอาจส่งผลให้เกิดอาการของโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อตามมาได้ เช่น
• กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง (myofascial pain syndrome)
• เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (carpal tunnel syndrome)
• ความผิดปกติของความตึงตัวของเส้นประสาท (nerve tension)
• กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (tennis elbow)
• นิ้วล็อก (trigger finger)
• เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis)
• ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (postural back pain)
• หลังยึดติดในท่าแอ่น (back dysfunction)
ดูรายละเอียดการวางแผนสุขภาพเพื่อรับไว้ดีก่อนสายได้ที่ https://bit.ly/2IwZzgX
แนวทางการรักษา “ออฟฟิศซินโดรม”
การรักษากลุ่มอาการ “ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” นั้นมีด้วยกันหลายวิธี
1.การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยยา
2.การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน
3.การทำกายภาพบำบัดเพื่อยืดกล้ามเนื้อ
4.การออกกำลังกายเพื่อรักษาปวดหลังเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย และปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง
5.การรักษาด้วยศาสตร์ทางเลือกอื่น เช่น การฝังเข็ม การนวดแผนไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาที่ดีและเหมาะสมคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั้นคือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น ลดอาการบาดเจ็บจากการทำงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างถาวร
ดูรายละเอียดการวางแผนสุขภาพเพื่อรับไว้ดีก่อนสายได้ที่ https://bit.ly/2IwZzgX
แต่หากคุณรู้ว่ามีอาการเสี่ยงและกังวลว่าตัวเองอาจจะมีอากาศดังกล่าวรีบพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยให้เรื้อรัง เพราะเมื่อคุณเริ่มมีอาการเรื้อรังแล้ว จะทำให้รักษายาก หรือแม้แต่อยากจะทำประกันสุขภาพเพื่อเตรียมรับมือก็อาจสายเกินไป
ดูรายละเอียดการวางแผนสุขภาพเพื่อรับไว้ดีก่อนสายได้ที่ https://bit.ly/2IwZzgX
การทำกายภาพบำบัด
เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการรักษาออฟฟิศซินโดรมที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก โดยการรักษานอกเหนือจากการทำกายภาพบำบัดแล้ว ยังรวมถึงการประเมินโครงสร้างร่างกายและการปรับร่างกายให้เกิดความสมดุล
การสร้างความรู้ความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนท่าทางการทำงานตามความเหมาะสมในแต่ละบุคคล
การให้ความรู้และส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและถูกวิธีเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ป้องกันภาวะบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเนื้อเยื่อที่อาจเกิดตามมาจากการออกกำลังแบบผิดวิธี รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่นๆที่อาจเกิดตามมาได้ในระยะยาว
ดูรายละเอียดการวางแผนสุขภาพเพื่อรับไว้ดีก่อนสายได้ที่ https://bit.ly/2IwZzgX
และเมื่อมีอาการเกิดขึ้นและไม่สามารถทุเลาได้ด้วยการดูแลตัวเอง เช่น การพักผ่อน นอนหลับการนวด หรือการยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลาย ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา และตรวจหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นจากโรคทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก หรือมีภาวะซ่อนเร้นอื่นๆ เพื่อจะได้วิเคราะห์ต้นเหตุและให้การรักษาปวดหลังได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป
วางแผนสุขภาพไว้ดีก่อนสายเกินได้ที่ https://bit.ly/2IwZzgX
- 4
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
