13 พ.ย. 2020 เวลา 14:18 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] ผู้เดียว - Tilly Birds
ผู้เดียวคือใคร
[รีวิวอัลบั้ม] ผู้เดียว - Tilly Birds
-ผมขอสารภาพว่า ผมห่างเหินกับวงการคัฟเวอร์เพลงในเมืองไทยมากพอสมควร แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามฝีมือทางดนตรีของ บิลลี่ (a.k.a. BILLbilly01) ผู้โด่งดังในยูทูปพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ติดตามเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก เพิ่งมารู้ทีหลังว่าศิลปินที่คัฟเวอร์เพลงสากลมาแล้วนัดต่อนัดคือหัวหอกคนสำคัญของ Tilly Birds ที่มีเพลงฮิตมากในช่วงโควิด-19 อย่าง “คิด (แต่ไม่) ถึง” ที่ผมเคยฟังอยู่บ่อยครั้งตอนปล่อยแรกๆ จนกระทั่งเพลงมันฮิตมาก คงจะเป็นเพราะปล่อยออกมาได้ถูกเวลาช่วงกักตัวเหงาๆอยู่ที่บ้านด้วย พอแมสคนเปิดทั่วบ้านทั่วเมืองปุ๊บ โรคกั๊กศิลปินกำเริบเลยเลิกฟัง แปลกจริงๆ อย่างงี้ไม่ดี จนกระทั่งความหายแปลกของผมก็เริ่มจากการเปิดใจรับฟังไปด้วยความไม่มีอะไรจะฟังด้วยแหละ ไหนๆเค้าปล่อยอัลบั้มเต็มออกมา=ชัดเจนขนาดนี้ก็ต้องไปสำรวจเสียหน่อย ผลปรากฏว่า เห้ย! วงนี้ไม่ธรรมดาจริงๆฮะ ไม่แปลกใจว่าทำไมวงนี้ถึงได้ดิบได้ดี ทำไมถึงได้รับการจับตามองจากหลายสื่อ ณ ขณะนี้ ผมอาจจะฟังช้ากว่าใครหลายคน อย่างน้อยผมก็ขอพูดถึงพวกเขาหน่อยล่ะกันครับ
-Tilly Birds เกิดจากความเข้าใจคิดในการผวนชื่อเล่นของสองเพื่อนสนิทร่วมวง เติร์ด-บิลลี่ และยังได้ความหมายที่เข้าท่าว่า “นกที่แข็งแรง” การเติม s เข้าไปก็เปรียบเสมือนวงไม่ได้มีแค่เขาทั้งสองคน รวมสมาชิกคนอื่นๆด้วย ณ ตอนนี้สมาชิกคนปัจจุบันอีกหนึ่งคนก็คือ “ไมโล” ที่เป็นมือกลองมาเป็นส่วนร่วมในการโบยบินสู่ท้องนภา ความพยายามของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการได้ออกอีพีตั้งแต่ปี 2017 การออกรายการในทีวีให้คนได้เล็งเห็นความสามารถ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ร่วมงานกับค่าย Gene Lab ค่ายเพลงสายสะดือของ GMM Grammy และมีพี่โอม Cocktail เป็นประธานประจำค่าย จะบอกว่าค่ายเพลงนี้น่าจับตามองขึ้นทุกๆวัน ศิลปินประจำค่ายล้วนเด็ดดวงมากๆ ไม่ใช่แค่ Cocktail ที่ดังอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ไททศมิตร, The Darkest Romance, Three Man Down การที่ Tilly Birds ได้ไปอยู่ในค่ายเพลงแบบนี้ เรื่องของการตลาดและคุณภาพย่อมถูกอัพเกรดมากกว่าตอนเป็นศิลปินอิสระอยู่แล้ว หลายคนคงมีความกังวลไม่ต่างจากผมเหมือนกันว่า พวกเขาจะเหมือนศิลปินคนอื่นๆของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ย่านอโศกหรือไม่ อยู่ภายใต้ค่ายสายสะดือย่อมไม่ต่างกันใช่มั้ยล่ะ จากการฟังผลงานในเวลาสมควร อันนี้ผมตัดสินได้ว่า พวกเขาแตกต่างจากวงอื่นๆอย่างแน่นอน
-สไตล์เพลงของ เติร์ด-บิลลี่-ไมโล มีความอินเตอร์เลยล่ะ เหมือนมีจุดร่วมทางรสนิยมเดียวกันนั่นก็คือ กลิ่นอายของเพลงสากล เมโลดี้ฝรั่ง ชนิดที่สามารถส่งออกให้ชาวต่างชาติได้ เพราะอะไรคนต่างชาติเคยชินกับเมโลดี้ของเขา มันจะมีซักกี่วงล่ะที่สามารถเอาคำร้องภาษาไทยไปสอดใส่ในเมโลดี้เหล่านั้นได้ ผมว่าทั้งสามหนุ่มบิดพริ้วสิ่งนี้ได้เก่งมากๆ มันเข้ากันได้เสียจนไม่ผิดเพี้ยนทางวรรณยุกต์แต่อย่างใด แบบนี้คนไทยที่ติดเพลงสากลสามารถฟังได้ลื่นไหลโดยไม่เขอะเขิน ในตัวเนื้อหาก็เข้าใจง่าย เพราะมันคือประสบการณ์ความรักที่ใครหลายคนต่างก็เจอ พวกเขานำเสนอวัฏจักรเหล่านั้นได้ครบลูป ถึงประเด็นจำพวกนี้แทบจะไม่แปลกใหม่เลย ในบ้านเรามีเต็มไปหมด เบื่อกับเพลงรักอกหักเหล่านี้หรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง
ซ้ายไปขวา บิลลี่-ณัฐดนัย ชูชาติ (กีตาร์) , เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) และ ไมโล-ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) ตามล
-หากโฟกัสไปกับการร้อยเรียงเรื่องราวที่ครอบด้วยการค้นหาคำตอบของคำถาม ใครคือผู้เดียวที่เขาหมายถึงในตอนจบ? อย่างน้อยพวกเขาสามารถทิ้งให้คนฟังได้ขบคิดกันต่อได้หลังจากฟังจบ แถมพวกเขาแอบซ่อนกิมมิคที่ศิลปินไทยน้อยรายทำก็คือ การใส่ชื่อเพลงอื่นๆในอัลบั้มมาเป็นส่วนนึงในเนื้อเพลง ให้คนฟังได้ทำข้อสอบเชื่อมโยงกันเล่นๆ สิ่งละอันพันละน้อยที่คนฟังเพลงไทยมาโดยตลอดคาดไม่ถึง มันกลายเป็นกิมมิคที่เชื่อมแต่ละเพลงเข้าด้วยกัน ฟังแยกอีกเพลงก็จะได้อีกอารมณ์นึง แต่ไม่ครบลูปเท่ากับฟังอัลบั้มเต็ม ทั้งสามหนุ่มวางแผนออกแบบอัลบั้มนี้ออกมาอย่างดีจนน่าชื่นชม
-สิ่งที่คนฟังเพลงไทยอย่างเราๆกลัวมากจนเบือนหน้าหนีคือ ความเฮิร์ทจนเลี่ยน ชนิดที่โศกก็โศกให้สุด มันเป็นความซาดิสม์ที่น่ารำคาญ แถมเหมือนกันไปหมดด้วยเนี่ยดิที่ทำให้ผมถึงขั้นไม่ฟังเพลงภาษาแม่อยู่พักนึง สำหรับทรีโอแบนด์วงนี้ เขาตัดความน่ารำคาญนี้ด้วยการทำให้เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาเหล่านั้นเป็นเรื่องพอสนุกพอคึกคักไปโดยปริยาย มีหลายคนแอบเปรียบเปรยว่าวงนี้คือ Tattoo Colour ในเวอร์ชั่นอินเตอร์ก็ว่าไป ในความเห็นผมก็จริงอยู่ แต่ผมขอเสริมนิดนึงว่า พวกเขาแม่งคือ อะตอม-ชนกันต์ ในเวอร์ชั่น Tattoo Colour อ่ะครับ ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนกันมั้ย เสียงร้องของเติร์ดที่หนักไปทางโซลคีย์สูงๆแนวเดียวกับพี่อะตอม บวกกับ จังหวะวาไรตี้ป็อปแบบวงสักสี เพิ่มเติมคือแนวทางการหัดอินเตอร์ที่มีมากกว่าสองศิลปิน ผมว่าแบบนั้นก็น่าจะเห็นภาพจำของวงนี้อยู่นะ ถึงจะใกล้เคียงกับศิลปินรุ่นพี่ก็ไม่จักสำคัญเท่าพวกเขาได้กลืนดีเอ็นเอเหล่านั้นได้อย่างสะดวกคอ เหมือนกระดกมิกเซอร์เหล้าผสมน้ำอัดลมสีๆไปเสียแล้ว
-พวกเขาเปิดเรื่องราวด้วยบทเพลงแอบรักสไตล์คนยุคดิจิตอลด้วยโทนเงียบๆนิ่งๆอย่าง #ปลายนิ้ว (My Black Mirror) ที่ความคิดถึงของพวกเขาอย่างมากสุด ทำได้เพียงจิ้มหน้าจอดูรูปเธอและข้อความที่เคยคุยกันไปเรื่อย #ฤดูหนาว (Bangkok Winter) เป็นคำเสี่ยวที่น่าซื้อ ด้วยการเปรียบเปรยความรู้สึกดีๆจากคนที่เราแอบชอบมีได้ไม่บ่อย เหมือนลมหนาวในประเทศไทยที่มาได้แค่ไม่กี่วัน ชอบการใส่แซ้ในบีทตอนขึ้นอินโทรเพลงมากๆ มันดูลึกลับเสียจนอยากฟังต่อ #แค่เธอเข้ามา (Worth The Wait) ซินธ์ป็อปเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักล่นเอ่อที่ลึกๆก็แอบตะหงิดใจหน่อยๆที่ว่า เค้าคือคนที่เรารอคอยมาทั้งชีวิตหรอวะ มันเต็มไปด้วยความคาดเดาไม่ได้จนต้องขอร้องให้เธอไม่ไปไหนคงจะดีที่สุด
#เลิก! (Cut To The Chase!) เป็นการขอความชัดเจนว่า มึงจะเอายังไงอีห่า ขอให้ชัดเจนหน่อยว่าคิดกับกูแบบไหน #ให้กอดของฉันบอกทุกอย่าง (Just So You Know) โคตรชอบแทร็คนี้ มันคือ emotional track ที่โคตรหนักแน่นจริงจัง ในที่สุดเราก็ค้นพบสูตรเพลงดีโว่ชายดีๆเพลงนึงเลยเว้ย ได้ทั้งบัลลาดโซลและร็อคฟีลดนตรีสดในเวลาเดียวกัน เติร์ดถ่ายทอดอารมณ์โคตรสุด ถ้าใครเป็นดีโว่สายประกวดร้องเพลง แล้วคิดจะทำเพลง ควรศึกษาเพลงนี้ไว้เลยนะครับ #ผู้เดียว (The One) เป็นไตเติ้ลแทร็คที่โคตรชอบเลยจริงๆ ปกติผมจะเลี่ยนกับเพลงงานแต่งมาก แต่ไม่เลยกับเพลงนี้ ผมฟังซ้ำหลายรอบด้วยซ้ำ เรียงมิติเพลงหลายเลเยอร์ได้ดีมากๆ ได้หลากอารมณ์เลย Road music ก็ใช่ เพลงงานแต่งก็ใช่ ฟีล Safeplanet คลีนๆเหาะๆนิดนึง (อันนี้ขอแซว) เพลงบอกรักตัวเองก็ใช่อีก เค้าทำให้เราพลิกบริบทเองได้ตามใจชอบเลย ต้องมาดูกันครับว่า ฟังจบแล้วจะมองเพลงนี้เปลี่ยนไปมั้ย
#อยู่ได้ได้อยู่ (ineednoone) มันเป็นเพลงคนโสดที่มีทั้งดีด๊าและกวนส้นตีนในที ลวดลายจังหวะที่ช่างยียวน โดดเด่นการประสานเสียงแบบ gospel นานๆจะเห็นทีในเพลงไทย ชอบท่อน Outro ที่แม่งแอบสบถด้วย อี_อก ถึงจะเซ็นเซอร์ก็ยังสะใจอยู่ #แค่พี่น้อง (Status) เป็นแจ๊สที่แอบแฝงความตลกร้ายในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดจนนึกว่าจะได้เป็นแฟน แต่แม่งเอ๊ยย ทำไมผมนึกถึงพี่อะตอมอีกแล้ว คือเนเจอร์ของเพลงมันเหมาะกับแกมากเลยนะ ไม่เป็นไรพวกเขาทำออกมาได้สนุกครื้นเครงมากกว่าต้องมาซึมในความแห้ว #คิด(แต่ไม่)ถึง (Same Page?) เพลงฮิตที่หลายคนต่างได้ยินมาแล้ว ไม่แปลกใจที่เพลงมันดัง ตั้งแต่ชื่อเพลงที่มีการเล่นคำในแบบที่ทุกคนเข้าใจได้ไม่ยาก การเว้นวรรคของคำก็ช่วยเพิ่มอรรถรสของความคิดถึงที่ไม่เคยส่งไปให้กับคนที่ใจให้ซักนิด #ยังคงสวยงาม (When The Film’s Over) เปรียบเปรยความรักที่มีวันจบ เหมือนม้วนฟิล์มที่มีแค่ม้วนเดียวจบแล้วจบเลย ท่วงทำนองเพลงงดงามตามชื่อเพลง ติดหูมากๆกับคำว่า “อย่าให้หาย” ในท่อนฮุก และบีทมีลูกเล่นแอบ reverse เล็กๆน้อยๆ สื่อภาพม้วนฟิล์มลอยขึ้นมาจนเห็นภาพ
-มาถึง #ผู้เดียวPt.2 (What’s Left) พลิกบริบทพาร์ทแรกให้กลายเป็นเพลงดาร์กขึ้นมาทันที สังเกตที่ชื่อเพลงมันจะไม่ใช่ the one อีกต่อไป มันคือเพลงจมดิ่งกับตัวเองที่ยังทำใจกับการสูญเสียแล้วต้องอยู่ตามลำพัง วกวนอยู่กับคำถามว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในเมื่อไม่หลงเหลือใครอยู่แล้ว ถ้ายอมรับได้ว่าสุดท้ายคนรอบข้างต้องจาก มันก็คงไม่เจ็บปวดมากกว่านี้ #ฉันมันเป็นใคร (Who I AM) ใส่ความคิดสับสนในตัวเอง แล้วระเบิดมันออกมาได้อย่างเดือดดาลมากๆ ถือเป็นไฮไลต์ประจำอัลบั้มนี้เลย เป็นการปล่อยของที่นอกจากประชดประชันคนๆนั้นแล้ว มันเป็นการลดคำสบประมาทที่ว่า พวกเขาเก่งแต่เพลงป็อปร็อคเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็สามารถใส่ร็อคไต่ระดับความเดือดลุกเป็นไฟได้เช่นกัน ไม่อยากให้พลาด ปิดท้ายด้วยบัลลาดเปียโนสงบนิ่งอีกบริบทนึงในเพลง #ไม่รู้สึก (Unspoken) เป็นการยอมรับความรู้สึกปกติมนุษย์อย่างตรงไปตรงมาว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะลืมเธอได้เร็ววันหรือไม่มีความรู้สึกใดๆหลงเหลืออยู่ เติร์ดยังคงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของคนลืมไม่ลงออกมาได้อย่างน่าสงสาร เป็นความโดดเดี่ยวที่ต้องยอมรับและปล่อยวางให้ได้ในที่สุด
-ดีนะครับที่ผมเปิดใจกับ “ผู้เดียว” ของพวกเขาทั้งสามคน เพราะนี่คืออัลบั้มที่สมควรแมสด้วยประการใดทั้งปวง ถึงชื่ออัลบั้มมันจะออก cliche ก็เหอะ แต่ผมก็ยังหาคำเท่ห์ๆมาแทนไม่ได้อยู่ดีว่ะ ผมเลยมองข้ามเรื่องนั้นไปได้ พวกเขาไม่ได้มีดีแค่การเป็น one hit wonder อย่างแน่นอน พวกเขาสามารถย่อยเพลงเฮิร์ทที่มีเนื้อหาสุดจำเจให้กลายเป็นเพลงท่วงทำนองที่ร่วมสมัยและเป็นสากลได้อย่างเก่งกาจ สมกับการเป็นคนที่ซึมซับเพลงสากลมาโดยตลอด แล้วเอามาปรับใช้กับบริบทคนไทยได้อย่างแนบเนียน ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะรักษาคอนเซปต์เส้นเรื่องให้แข็งแรงจนไม่สามารถแยกจากกันได้ แค่นี้ก็สามารถสร้างมาตรฐานไว้สูงอยู่แล้ว อัลบั้มหน้าคือสิ่งที่ท้าทายสำหรับวงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
-ความเข้าใจคิดอีกอย่างที่อยากจะบอกเป็นการปิดท้ายคือ การออกแบบ booklet ของพวกเขาที่ใช้กระดาษกระจกมาเป็นปกเคลือบเล่ม อันนี้โคตรครีเอทมากๆ ปกนอกคือผู้หญิงปริศนา แต่ตัวเล่มใช้กระดาษกระจกที่คนซื้ออาจงงว่า โดนแกงเรื่องปกลอกสีอีกรึเปล่า แต่หลังจากฟังจบไม่ต้องแปลกใจ มันจะสะท้อนถึงผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ
ผู้เดียวในที่นี้คือตัวคุณนั่นเอง
Top Tracks: ฤดูหนาว (Bangkok Winter), แค่เธอเข้ามา (Worth The Wait), ให้กอดของฉันบอกทุกอย่าง (Just So You Know), ผู้เดียว (The One), อยู่ได้ได้อยู่ (ineednoone), แค่พี่น้อง (Status), คิด(แต่ไม่)ถึง (Same Page?), ยังคงสวยงาม (When The Film’s Over), ฉันมันเป็นใคร (Who I AM)
Give 8/10
Thanks For Reading
See Y’all
โฆษณา