เป็นคำเปรียเปรยที่เราได้ยินกันมาช้านาน โดยมีความนัยว่า เราจะเลือกที่จะเป็นผู้นำหรือมีความโดดเด่นกับคนกลุ่มน้อยหรือมีอิทธิพลทางสังคมไม่มาก หรือเราลือกที่จะไปอยู่ในกลุ่มทางสังคมที่มีอธิพลมากแต่เราก็จะไม่โดดเด่นอะไรในกลุ่มนั้นมากนัก หรือคุณอาจโดเด่นมากในที่ๆนึงแต่กลับไม่เป็นที่สนใจเลยในอีกที่นึง ในชีวิตการทำงานนั้น เราอาจได้ประสบกับทางสองแพร่งที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต ไปเป็นผู้บริหารหรือย้ายงานที่ได้ตำแหน่งสูงกว่า รายได้ดีกว่า แต่ขนาดขององค์กรนั้นเล็กกว่า กับเลือกจะได้ทำงานบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคง แต่โอกาสที่จะเติบก้าวหน้ามีน้อย
ตัวผมเองนั้นผ่านเรื่องราวประมานนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ได้รับคำเชื้อเชิญให้ไปทำงานที่ตำแหน่งดีกว่า แต่ต้องทิ้งความมั่นคงไป ผมเคยคิดและลองไปมาทั้งสองแบบแล้ว บอกเลยว่ามีข้อดีข้อเสีย ที่ขึ้นอยู่กับบริบทและช่วงเวลาชีวิตในขณะนั้น มาวันนี้ด้วยเหตุการณ์นี้กลับมาให้ผมต้องตัดสินใจอีกครั้งในวัย 42 ปี ผมคิดอยู่นาน และก็ไม่อยากคิดมากให้เสียเวลาและไม่อยากคิดแบบไม่มีหลักการ จนผมได้บังเอิญเห็น เรื่องเล่าเรื่องนึงในเฟสบุ๊คพอดี อ่านเรื่องนี้จบทำให้ผมได้หลักการที่จะใช้ตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวนี้ไปได้และคิดว่าจะใช้ในเรื่องอื่นๆในชีวิตหากต้องเลือกอะไรสักอย่าง ดังเช่นเรื่องปลามังกรสีน้ำเงิน
เรื่องมีอยู่ว่า คุณพ่อคนนึงเห็นลูกกำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องที่ทำงานที่เค้ารู้สึก ว่าไม่มีใครเห็นคุณค่าของงานที่เค้าทุ่มเท แม้จะพยามจนสุดความสามารถแล้วก็ตาม พ่อของเค้าคิดหาทางช่วย จึงได้บอกให้ลูกชายนำปลามังกรสีน้ำเงินที่ตนเลี้ยงไว้ ให้ลูกชายนำไปให้คน 3 คนตีราคา คนที่หนึ่งคือคุณลุงข้างบ้าน คนที่สองคือคนขายอาหารตรงร้านหน้าปากซอย คนสุดท้ายคือร้านขายปลาสวยงามในตลาด เมื่อกลับมาถึงบ้านลูกชายจึงเริ่มเล่าด้วยความตื่นเต้น
ลูกชาย : พ่อครับๆ ชายทั้งสามคนตีราคาปลาไม่เท่ากันเลย!
พ่อ : ไหนใครตีราคาเท่าไหรและให้เหตุผลว่าอะไรกันบ้าง
ลูกชาย : คุณลุงข้างบ้านบอกว่าไม่ให้ราคาเลยให้ฟรียังไม่เอาเพราะเค้าไม่ชอบเลี้ยงปลารู้สึกว่าเป็นภาระ
พ่อ : อืมมม แล้วที่สองล่ะเค้าว่ายังไง
ลูกชาย : คนที่ร้านขายอาหาร เค้าบอกว่าปลาตัวนี้น่าจะนำไปทอดขายได้เค้ากะดูแล้วน่าจะน้ำหนักเกือบกิโลเค้าตีราคาให้ 110 บาทครับ
พ่อ : หัวเราะด้วยความความชอบใจ ฮ่าๆๆๆ ตั้งร้อยกว่าบาทเลยเหรอ
ลูกชาย : แต่พ่อต้องไม่เชื่อแน่ๆเลยครับว่าที่ร้านที่สามร้านขายปลาสวยงามเค้าตีราคาเท่าไหร่
พ่อ : ไหนลองเล่ามาสิ พ่อก็อยากรู้เหมือนกัน
ลูกชาย : แสนห้าครับ! หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้าขายให้เค้า เค้ารับซื้อทันที
พ่อ : แล้วเค้าให้เหตุผลว่าอะไรล่ะถึงได้ให้ราคาสูงขนาดนั้น
ลูกชาย : ร้านขายปลาบอกว่า ปลามังกรสีน้ำเงินเป็นของหายาก และเป็นที่ต้องการของเหล่าคนเลี้ยงและนักสะสม
พ่อยิ้มและถามกับลูกชายว่า “เห็นมั้ยล่ะลูกของสิ่งเดียวกันแต่เมื่อนำไปให้คนอีกคนนึงสถานที่อีกสถานที่นึงของสิ่งนั้นกลับมีคุณค่าไม่เท่ากัน ก็เหมือนกับงานของลูก แม้ว่าลูกจะทุ่มเทและทำได้ดีสักแค่ไหนหากคนๆนั้นสถานที่นั้นๆ ไม่ได้ให้คุณค่ากับมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับลุงข้างบ้านที่ไม่ให้ราคากับปลาของพ่อ ลูกพอจะเข้าใจที่พ่อพูดนะ”
ลูกชายได้แต่ยิ้มและกล่าวขอบคุณไป
จบแล้วครับ ประเด็นที่ผมจะบอกก็คือว่าผมใช้ตัวชี้วัดเรื่องการให้คุณค่ากับความสามารถและผลงานที่ผ่านมาของผมเป็นตัวตัดสินใจในการเลือกงานใหม่ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นหัวหมาหรือจะเป็นหางมังกร ตราบใดที่เค้าเห็นคุณค่าในตัวเราแม้จะอยู่ในที่อับแสงเพียงใดเราก็จะสว่างเสมอ จงอย่าเสียเวลาไปกับคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวคุณอีกเลยครับ ให้ผิดของผมเป็นครูของทุกคนนะครับ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ จนกว่าจะพบกันใหม่ ใน ผิดเป็นครู