17 พ.ย. 2020 เวลา 06:24 • ไอที & แก็ดเจ็ต
HUAWEI สุดต้าน ประกาศขายธุรกิจสมาร์ทโฟนแบรนด์ HONOR แล้ว
17 พฤศจิกายน 2563
มูลค่าซื้อขายประมาณ 4.5 แสนล้านบาท
Huawei ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้ทำการขายธุรกิจแบรนด์สมาร์ทโฟนในเครือของตนเองอย่าง Honor เป็นที่เรียบร้อย หลังตกอยู่ภายใต้สภาวะกดดันอย่างหนักจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ
สำหรับผู้ที่เข้ามาซื้อกิจการไปได้แก่ Shenzhen Zhixin New Information Technology Co. , Ltd. ซึ่งได้มีการลงนามกับ Huawei Investment Holdings Co. , Ltd.เพื่อเข้าซื้อธุรกิจสมาร์ทโฟน Honor โดยที่ข้อตกลงระบุว่าการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะยังปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค รวมถึงช่องทางการจำหน่าย, ซัพพลายเออร์, พาร์ทเนอร์ และพนักงาน ซึ่งการเปลี่ยนมือเจ้าของจะไม่ส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาของ Honor และผู้บริหารจะยังเป็นชุดเดิม
สำหรับ Shenzhen Zhixin New Information Technology Co. , Ltd เป็นกลุ่มพันธมิตรเพื่อการลงทุนและธุรกิจโดยมีตัวแทนและผู้จัดจำหน่ายมากกว่า 30 ราย ที่จะเข้ามาดูแลทรัพยากร, การสร้างแบรนด์, การผลิต, การจัดจำหน่าย, การบริการ, การดำเนินงาน และการตัดสินใจต่างๆ โดยที่ Huawei จะไม่มีการถือหุ้นในแบรนด์ Honor อีกต่อไป และจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารของบริษัท
ภายใต้การบริหารประเทศของ Trump Administration ทางการสหรัฐฯ ก็ได้มีการประกาศห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันทำธุรกิจกับ Huawei และ Honor ด้วยเหตุผลด้านภัยความมั่นคงต่อชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็น Qualcomm ที่โดนสั่งห้ามจัดส่งชิปให้กับ Huawei แม้ว่าจะเพิ่งได้ไฟเขียวให้กับมาขายได้เมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่ Google เองก็มีการเพิกถอนใบอนุญาตของ Huawei และ Honor ในการเข้าถึงเซอร์วิสต่างๆ ซึ่งมีผลต่อการทำตลาดในฝั่งตะวันตกของแบรนด์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
Huawei มีแผนขายกิจการ Honor เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร
Honor คือหนึ่งในแบรนด์โทรศัพท์มือถือที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตอนนี้ เพราะเน้นทำตลาดรุ่นกลาง และเจาะคนรุ่นใหม่ แต่ด้วยตัวแบรนด์อยู่ใต้กลุ่ม Huawei การเติบโตจึงทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้ Huawei ติดสินใจขายกิจการนี้
ขายเพื่อสร้างโอกาสการเติบโต
Huawei จะขายกิจการ Honor ให้กับ Shenzhen Zhixin New Information Technology บริษัทใหม่ที่ร่วมกันจัดตั้งโดยพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของ Honor และธุรกิจอื่นๆ ที่มีรัฐบาลจีนคอยสนับสนุน โดยหลังจากนี้ Huawei จะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งฝั่งผู้ถือหุ้น และการบริหารงาน
เหตุผลหลักที่ทำให้ Huawei ต้องขายกิจการ Honor ออกไปทั้งๆ ที่แบรนด์ดังกล่าวกำลังเติบโต เพราะการถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกาทำให้ Honor ที่ใช้ชิ้นส่วน และเทคโนโลยีต่างๆ ของ Huawei ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นหากตัวแบรนด์ไม่มี Huawei อยู่เบื้องหลัง น่าจะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคตได้ดีกว่า
ขณะเดียวกันแบรนด์ Honor เริ่มอยู่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ความเป็นที่รู้จัก และการดึงดูดคนรุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยี เช่น Smartphone รุ่น V30 ของแบรนด์มีการใช้ชิปเซ็ต Kirin 990 เหมือนกับที่ใช้ใน Smartphone รุ่นท็อปอย่าง P40 ของ Huawei ด้วย
อย่างไรก็ตามรายละเอียดเรื่องการขายกิจการ Honor ออกไปนั้นไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่ทาง Reuters ได้เคยรายงานว่า การขายกิจการ Honor ของ Huawei จะมีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านหยวน และช่วยสร้างการเติบโตให้กับ Honor ผ่านการเลือกใช้ชิปเซ็ต และซอฟต์แวร์ของผู้ผลิตรายอื่นได้
สรุป
ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งของ Huawei เพราะแบรนด์ Honor ค่อนข้างไปได้ดีในแง่การทำตลาด แต่ภาพรวมมันน่าจะดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องผูกติดกับ Huawei ดังนั้นต้องคอยติดตามกันว่า Honor จะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มี Huawei อยู่เบื้องหลัง
ที่ผ่านมา แบรนด์ Honor ถือว่ามีความสำคัญกับหัวเว่ยอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่หัวเว่ยใช้ในการทำตลาดธุรกิจสมาร์ทโฟนในระดับกลาง (mid-range) และกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น แต่ในท้ายที่สุดหัวเว่ย ก็ต้องขายแบรนด์ย่อยแบรนด์นี้ของตัวเองออกไป เพราะเจอแรงกดดันมหาศาล
ทั้งนี้ แรงกดดันมหาศาลที่ว่า มาจากการที่หัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้การเข้าไปเจาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาของหัวเว่ยไม่สามารถทำได้ รวมถึงการทำธุรกิจกับบริษัทอเมริกันก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว หัวเว่ย จึงตัดสินใจขายแบรนด์ Honor ให้กับ Shenzhen Zhixin New Information Technology โดยหัวเว่ย ยืนยันว่า หลังจากนี้ หัวเว่ยจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ หรือการวางกลยุทธ์ใดๆ ในแบรนด์ Honor อีกต่อไปแล้ว
ส่วนเจ้าของใหม่อย่าง Shenzhen Zhixin New Information Technology เป็นบริษัทสัญชาติจีน ที่มีรัฐบาลจีนให้การสนับสนุน
ทางด้านมูลค่าการซื้อขายระหว่างหัวเว่ยและ Shenzhen Zhixin New Information Technology ไม่มีการเปิดเผย แต่เชื่อว่า ราคาที่ทำให้หัวเว่ยยอมปล่อยมือออกจาก Honor น่าจะไม่ต่ำกว่า 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยราว 4.5 แสนล้านบาท
โฆษณา