คำพยากรณ์ 7 จุดเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองของเรา โดย ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
.
.
การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวไกล คณะราษฎร และเยาวชนปลดแอกไปในทางเดียวกัน ในทางที่เป็นปฏิปักษ์และเป็นศัตรูกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องและรุนแรงมาโดยตลอด ดังที่เคยเขียนเล่าให้ฟังมาแล้วว่าไม่เคยมีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยความถ่อยหยาบช้าเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ https://mgronline.com/daily/detail/9630000107437 .
ผมต้องอธิบายว่าความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีต่อเนื่องมายาวนานหลายร้อยปี เฉพาะพระบรมมหาจักรีราชวงศ์นั้นก็ยาวนานมากว่า 250 ปี พระราชบารมีในสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่พระราชบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในฐานะตัวบุคคล แต่ในฐานะสถาบันที่สืบทอดพระราชภารกิจต่อเนื่องจากสมเด็จพระบรมราชบุรพการีและสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์สืบเนื่องมา ซึ่งได้ทรงนำบ้านเมืองรอดพ้นหายนะภัยและวิกฤติมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยพระราชปรีชาญาณและความเสียสละ การที่ได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีมาจึงนำมาเป็นทั้งความผูกพันและความศรัทธาที่หยั่งรากลึกในจิตใจของคนไทย
.
การลบหลู่ ล้มล้าง ดูหมิ่นในสิ่งที่ศรัทธาหยั่งรากลึก ไม่ได้แตกต่างไปจากการดูหมิ่นดูแคลนศรัทธาในศาสนา ในอดีตประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีสงครามศาสนา และมีผู้ที่ยอมพลีชีพเพื่อสิ่งที่ตนศรัทธา (Crusader) มามากมายโดยตลอดมา จะยอมตายหมายให้ไฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย คนเราสามารถตายถวายเป็นราชพลีเพื่อที่สิ่งเคารพและศรัทธาได้ นี่คือจิตวิทยาและธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้น
.
การหมิ่นศาสนาแบบที่สำนักข่าวของฝรั่งเศสชื่อชาลี เอ็บโดทำนั้น ท้ายที่สุดจะนำมาซึ่งการสังหารหมู่ โดยผู้ที่ไม่อาจจะทนต่อการลบหลู่ในสิ่งที่เขาศรัทธาได้ โปรดอ่านบทความ Je ne suis pas Charlie! ที่ผมเขียนไว้ https://mgronline.com/daily/detail/9580000004879 สิ่งที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้นคือ จะมีคนที่อดทนไม่ไหวฆ่าสังหารหมู่ด้วยความบ้าคลั่ง เพราะไม่อาจจะทนต่อการลบหลู่ศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นางสาวพรรณิการ์ วานิช ตลอดจนแกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร 2563 ได้อีกต่อไป ซึ่งผมเองก็ไม่ปรารถนาที่จะเห็นเช่นนั้น .
ผมได้เฝ้าสังเกตอารมณ์ทางการเมืองของมวลชน (Political sentiment) ของมวลชนทั้งสองฝ่ายคือมวลชนกษัตริย์นิยมและมวลชนปฏิกษัตริย์นิยมมาโดยตลอดทั้งบนโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์บนท้องถนน และมีคำพยากรณ์ว่าบ้านเมืองของเราจะต้องผ่านจุดเปลี่ยนเจ็ดประการอันน่ากลัวและรุนแรงดังนี้
.
หนึ่ง เกิดการด่าทอฝั่งล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ในพื้นที่ของตนด้วยความอดทนไม่ไหวอย่างรุนแรง
.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่รถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ถูกมวลชนปลดแอก ตะโกนด่าทอหยาบคายมาก ขว้างปาแก้วน้ำและรองเท้าใส่รถพระที่นั่ง กักขังหน่วงเหนี่ยว ขวางรถพระที่นั่ง แล้ววันนั้นคนไทยที่จงรักภักดีก็หมดความอดทน เหมือนเส้นด้ายแห่งความอดทนที่ขาดผึง จากที่เคยกลัวทัวร์ลิเบอร่านลง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์บนโลกออนไลน์ เพราะแม้แต่ดาราที่อยู่เฉยๆ ไม่ชูสามนิ้วก็ถูกคุกคามบนโลกไซเบอร์ (Cyberbully) ทุกคนก่อนหน้านี้ก็เลยกลัว แต่เหตุการณ์วันนั้นประชาชนผู้จงรักภักดีไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป มีการแสดงความเห็นคัดค้าน ตำหนิ ด่าทอ พฤติกรรมและการกระจำจาบจ้วงหยาบช้า อย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ในพื้นที่ของตนด้วยความอดทนไม่ไหวอีกแล้วอย่างรุนแรงบนทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram และ Line แต่ยังอยู่ในบ้านของตัวเองไม่ได้ไปทัวร์ลงหน้าบ้านมวลชนอีกฝั่ง
.
ผมเฝ้าเห็นเหตุการณ์นี้บนโลกออนไลน์ แล้วผมก็คิดในใจและทำนายว่าต่อไปนี้หากมวลชนล้มเจ้ายังคงทำพฤติกรรมจ้วงจาบหยาบช้าลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยศรัทธา จะถูกทัวร์ลงกลับอย่างหนัก และสิ่งที่ผมทำนายก็แม่นยำจริงดังนี้
.
สอง เกิดทัวร์ลงฝั่งล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกลบหลู่ศรัทธา
.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อม็อบปลดแอกไปเคลื่อนไหวที่สีลม มีคนเพศที่สามแต่งตัวเลียนแบบเจ้านายและมีการกางกลดผ้าให้คนกราบด้วยท่าที่ราวกับสัตว์เลื้อยคลาน มีการแต่งตัวสวมหมวกเบเร่ต์ เลียนแบบสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วถ่ายวีดีโอคลิปแสดงการจ้วงจาบหยาบช้าล้อเลียนพระบรมวงศานุวงศ์อย่างรุนแรงและแพร่หลาย
ผมติดตามกระแสอารมณ์มวลชนบนโลกออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม คืนนั้นมวลชนที่จงรักภักดี เกิดความโกรธแค้นและอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ก้าวข้ามไปเปิดศึกทัวร์ลงบนหน้าบ้านของมวลชนปลดแอกที่โพสต์เนื้อหาจาบจ้วงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธแค้นหนักมาก และทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Tiktok, Facebook หรือ Twitter ทำให้ผมทำนายได้ว่า ต่อไปนี้ มวลชนที่จงรักภักดีและถูกลบหลู่ศรัทธาจะไม่แค่ทนไม่ไหวบนโลกออนไลน์แล้ว แต่จะแสดงความคิดเห็นบนโลกออฟไลน์และบนท้องถนนอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป
.
ในโลกออนไลน์นั้น ตามหลักวิชาการคนเราจะแสดงพฤติกรรมและความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากกว่า เพราะเราไม่กลัวการปะทะซึ่งหน้า หรืออาจจะหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงได้ เช่น การใช้อวตาร หรือ Virtual Private Network ทำให้ต่อไปหากไม่พอใจหรือมีอารมณ์โกรธจากในโลกออนไลน์ ต่อไปก็จะแสดงความไม่พอใจหรือด่าทอในโลกออฟไลน์ต่อไปได้ง่ายดาย
.
แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้หรือพยากรณ์ไว้ก็กลายเป็นจริงในวันนี้
.
สาม ด่าทอแกนนำมวลชน บนโลกออฟไลน์ในที่สาธารณะเพราะถูกลบหลู่ศรัทธา
.
วันนี้ผมเห็นเหตุการณ์ที่คุณธนาธรและคุณช่อ ช่อ เดินทางไปที่ไหนเพื่อช่วยหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี สิงห์บุรี บางพลี ฉะเชิงเทรา นครศรีธรรมราชพยายามจะออกไปหาเสียง แล้วถูกล้อม ถูกตะโกนด่าทอโดยประชาชนอย่างรุนแรง ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงมาก ผมกลัวจะมีคนทนไม่ไหวขาดสติ แล้วจะยิงหรือทำร้ายคุณธนาธร หรือ คุณช่อ ทำให้ผมห่วงมากจริงๆ
.
ผมนี่ต้องกลับมาเปิดตำราเจตคติที่เคยเรียนกับ รศ. ดร. ธีระพร อุวรรณโณ ครูสอนจิตวิทยาสังคมของผม ว่ามีทฤษฎีด้าน attitude อะไรที่อธิบายได้บ้าง
.
การได้รับสารซ้ำๆ (Message repetition) นั้น คุณธนาธรและคุณช่อคงคิดว่าดี เพราะจะทำให้คนชอบมากขึ้น แต่ Elaboration likelihood model of persuasion ของ Petty กับ Cacioppo ได้ทดลองแล้วพบว่า
.
การได้รับสารซ้ำๆ ไม่ได้เกิดผลดีเสมอไป คือ ถ้าสารนั้นดีและตรงกับใจผู้รับสารหรือสารนั้นหนักแน่นมีเหตุมีผล การได้รับสารซ้ำๆ จะทำให้ยิ่งชื่นชอบ
.
แต่ในทางตรงกันข้าม การได้รับสารซ้ำๆ ที่เป็นสารที่ไม่ชอบ ไม่ตรงใจ ไม่หนักแน่น ไม่มีเหตุผล จะยิ่งทำให้ผู้รับสาร เกลียดชัง ไม่ชอบหนักมากยิ่งขึ้น
ระยะนี้ คุณธนาธร คุณช่อ คุณปิยบุตร ควรรู้ตัวว่า ผู้รับสารส่วนใหญ่ คือประชาชน ไม่ชอบ เกลียดชัง ทั้งสามคน การปรากฎกายในที่สาธารณะซ้ำๆ จะยิ่งทำให้คนเกลียดชังหนักขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนำไปสู่ความรุนแรงในท้ายที่สุด
.
ที่ผมเขียนเตือนนี้ ผมก็ห่วงสวัสดิภาพของทั้งสามคน แต่ที่ผมห่วงกว่าคือความรุนแรงจะนำไปสู่การนองเลือดได้ และผมไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น
.
ถ้าไม่โง่และไม่ดื้อจนเกินไป สามคนนี้ตลอดจนม็อบปลดแอก อย่าปรากฎตัวในที่สาธารณะเถิด จะเป็นผลดีกับตัวเอง และเป็นผลดีกับประเทศชาติ
ถ้าหากไม่เชื่อผม ยังปรากฏกายหรือยังไปทำม็อบจ้วงจาบหยาบช้า ลบหลู่สถาบันที่คนไทยศรัทธา สิ่งที่ผมพยากรณ์ต่อไปก็จะเกิดขึ้น
.
สี่ มวลชนทั้งสองฝั่งต่างไม่พอใจรัฐบาล เกิดความรุนแรง การปะทะ หรือการลอบฆ่า ท้ายที่สุดก็นองเลือด
.
แน่นอนว่ามวลชนล้มเจ้า ไม่พอใจรัฐบาลและกองทัพอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่มวลชนจงรักภักดีเมื่อเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกลบหลู่ จ้วงจาบหยาบช้า แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร ก็จะโกรธรัฐบาล ที่ไม่มีน้ำยาออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ตนเองเคารพศรัทธา คนไทยที่รักและศรัทธาสถาบันพระมหากษัตริย์ มิอาจจะปล่อยและทนเห็นพระเจ้าแผ่นดินถูกรังแกคุกคาม จะลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันด้วยตนเอง ดังคำ hashtag ที่ว่า "ยิ่งหมิ่นก็ยิ่งรัก ยิ่งหาญหักยิ่งปกป้อง"
.
ทำไมจึงเกิดความรุนแรงได้ง่าย คำตอบคือสมมุติฐานความคับแค้นนำไปสู่ความก้าวร้าว (Frustration-aggression hypothesis) เพราะมวลชนฝ่ายหนึ่งถูกใส่ชุดความคิดผ่านสงครามไซเบอร์ล้มเจ้ามาอย่างยาวนาน อันเป็นการเล็งเห็นผลที่จะปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวาย เป็นภัยความมั่นคงของชาติบ้านเมือง วิธีการแบบนี้เรียกว่าการตลาดเพาะเมล็ดพันธุ์ความคิด (Seeding marketing) อันเป็นกลยุทธ์ของการตลาดดิจิทัล (Digital marketing) ที่ท้ายที่สุดจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังคับแค้นใจและนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าววุ่นวายในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดสติและขาดการควบคุมที่ดีพอ โปรดอ่านได้จากบทความขบวนการล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9630000064482 .
ในขณะที่มวลชนอีกฝั่งก็โกรธคับแค้นใจที่ถูกลบหลู่ศรัทธาและอาจจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้ง่ายพอๆ กัน อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
.
ปัจจัยหนึ่งที่เร่งเร้าให้เกิดการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและความรุนแรงได้ง่ายมากคือ การหลงหายในฝูงชน (Lost in crowd) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีคนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ธนาธร ไปปรากฏตัวในฝูงชนจำนวนมาก ทั้งมวลชนของตนเองหรือมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม เมื่อมีจำนวนคนมากๆ ในเหตุการณ์ การก่อเหตุร้าย ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย การฆ่า จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะจับมือใครดมไม่ได้ และเกิดการกระจายความรับผิดชอบทางสังคมไปสู้คนจำนวนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ (Diffusion of social responsibility)
.
ความเป็นไปได้ในการก่อความรุนแรงกับแกนนำล้มเจ้า/แกนนำสนับสนุนสถาบันมีได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่น
.
1.ต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังม็อบ โดยการสนับสนุนเงินทุน ให้มายกธงอุยกูร์ ซินเจียง ให้ตะโกนว่าฮ่องกง ไต้หวัน และทิเบต เป็นประเทศเอกราช อาจจะลงมือฆ่าแกนนำม็อบล้มเจ้า บางคน โดยเฉพาะแกนนำที่ไม่มีค่าราคาถูก ไร้การศึกษา ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง ที่จะมาโวยวายทีหลัง มีโอกาสถูกฆ่าตายมากที่สุด การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวาย เอาศพมาแห่ และวิธีการเช่นนี้ เคยทำมาแล้วในหลายประเทศ
.
2. แกนนำหรือพรรคการเมืองบางพรรค อาจจะตัดสินใจหักหลังฆ่ากันเอง เพราะการทำม็อบต้องมีผลงานและมีการยกระดับ เมื่อโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไปจนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่อาจจะเรียกมวลชนได้มากพอ การฆ่ากันเองเอาศพมาแห่จะช่วยยกระดับการชุมนุมให้ใหญ่โตขึ้น
.
3. ม็อบชนม็อบ ขาดสติทั้งสองฝ่าย มีการประชาทัณฑ์ จนมีคนตาย มีการฆ่ากันตาย รุมกระทืบ เพราะอารมณ์อันเกลียดชัง ฮึกเหิมและลงหายในฝูงชน
.
4. นายทหารเกษียณนอกราชการ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงยิ่ง เกิดความบ้าคลั่ง สละชีพเป็นราชพลี เดินเข้าไปในการชุมนุมของกลุ่มปลดแอก ซ่อมปืนหรือระเบิด อาจจะกราดยิงใส่มวลชน หรืออาจจะฆ่าแกนนำมวลชนจำนวนมาก แล้วฆ่าตัวตาย กรณีนี้อาจจะเป็นอดีตมือปืนหรืออดีตนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นคนลงมือก็ได้
.
5. แกนนำมวลชนล้มเจ้า ก็อาจจะสั่งยิงหรือถือโอกาสยิงแกนนำมวลชนอีกฝั่งเมื่อเกิดการตะลุมบอน ม็อบชนม็อบเพื่อให้เป็นผลงานของตนเองก็ได้
.
และอาจจะมีสถานการณ์ความรุนแรงอื่นๆ เกิดขึ้นได้อีกมาก ท้ายที่สุดจะเกิดการนองเลือด ซึ่งผมก็ไม่อาจจะทำนายได้ว่าการนองเลือดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
.
ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดความรุนแรงและการนองเลือด ผมไม่อยากเห็นการนองเลือดบนแผ่นดินไทยเลย เพราะท้ายที่สุด เราทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ต้องนึกถึงกลอนอมตะของรองศาสตราจารย์นภาลัย สุวรรณธาดา ที่เขียนเอาไว้ว่า
.
ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
.
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
.
แต่สถานการณ์จะไหลไปเช่นนั้น เพราะความโกรธแค้นในใจของแต่ละฝ่าย หรือมือที่สามจะลงมือก็ไม่อาจจะทราบได้ ขอให้ทุกฝ่ายตั้งสติให้ดี และได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีมือที่สาม
.
ห้า เมื่อเกิดการนองเลือด จะเกิดภาวะรัฐล้มเหลว (Failed state) และการปกครองแบบอนาธิปไตย (Anarchy)
.
เมื่อเกิดการนองเลือด มีแนวโน้มที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองได้ง่าย ไม่มีใครปกครองใครได้ รัฐบาลก็เสียฐานะและสภาพการนำการปกครอง หากมาถึงขึ้นนี้ การยุบสภา หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะไม่ช่วยอะไร การออกมาปราบม็อบโดยใช้กำลังทหารหรือตำรวจของรัฐบาลก็อาจจะไม่ช่วยอะไร เพราะมวลชนทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ฟังและไม่ยอมรับรัฐบาลแล้วทั้งสิ้น
.
หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองหลังการนองเลือดอาจจะเกิดการปกครองแบบอนาธิปไตย อันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน อาจจะเกิดการเผาบ้านเผาเมือง อาจจะเกิดการจี้ปล้นร้านค้า ห้างสรรพสินค้า เกิดมิคสัญญีและเหตุการณ์รุนแรงได้อย่างง่ายดาย
.
จุดเปลี่ยนผ่านในขั้นตอนที่หกนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ หากกองทัพเร่งทำรัฐประหารก่อนที่จะเกิดภาวะรัฐล้มเหลวและอนาธิปไตย คำทำนายถัดไปคือ
.
หก รัฐประหาร เพราะอำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน
.
คำพูดนี้เป็นคำพูดของ เหมา เจ๋อตุง และก็เป็นความจริงเสมอในสังคมไทยและการเมืองไทย เพราะเมื่อสองฝ่ายทะเลาะทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งมีการตะลุมบอนหรือการลงมือทำร้ายกัน โดยใช้ความรุนแรงหรือเกิดการนองเลือดแล้ว จะไม่มีใครยอมฟังใคร แต่ทั้งสองฝ่ายจะหยุดการทะเลาะกันในทันทีเมื่อมีคนถือปืนเข้ามาจี้ศีรษะและสั่งให้ทุกคนจงหยุด ทั้งสองฝ่ายจะฟังกระบอกปืน แม้ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องหยุดและยอมเพื่อเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยเสียก่อน
.
หลายคนอาจจะเห็นว่านี่คือวงจรอุบาทว์ทางการเมืองของประเทศไทย จบแบบเดิมๆ เจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมเองก็ไม่ได้อยากเห็นรัฐประหาร แต่ผมทำนายว่าเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง และมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงมาก เพราะประเทศไทยในทุกวันนี้ แทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทั้งยังมีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง แม้กระทั่งการประท้วงก็เลยธงการเมืองไปมากเหลือเกิน ไปแตะต้องคุกคามหยามเหยียดสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เหนือการเมืองมาโดยตลอด
.
น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือการเมืองมาโดยตลอด ทรงเป็นหลักชัยและศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นความแน่นอนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีการแย่งชิง การโกง การทำร้ายทำลายกันตลอดเวลา สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงทำหน้าที่เครื่องตัดไฟหรือทรงมีพระราชอำนาจพิเศษ (Royal prerogative) มาอย่างต่อเนื่อง และทรงใช้พระราชอำนาจก็ต่อเมื่อเกิดความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น
.
แต่วันนี้มีนักการเมืองและพรรคการเมือง ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้ง ทั้งๆ ที่สถาบันไม่เคยและไม่เคยคิดที่จะลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองของพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม ทำให้หากเกิดการนองเลือดในคราวนี้สถาบันพระมหากษัตริย์อาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ในการเป็นเครื่องตัดไฟสถานการณ์อันร้อนแรงทางการเมืองได้อย่างสะดวกนักตามพระราชประสงค์อีกต่อไป ทำให้บ้านเมืองมีโอกาสเกิดวิกฤติได้ง่ายมาก
.
เจ็ด เกิดการกวาดล้างดำเนินคดี Reset และ Reform ประเทศไทย (?)
ผมมั่นใจว่าการกวาดกวาดล้างดำเนินคดี จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหลังรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมาตลอด แต่จะสะเด็ดน้ำหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ทำรัฐประหาร
.
ที่ผ่านมาก็มีรัฐประหารหน่อมแน้ม ไม่จัดการให้เด็ดขาด ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปหรือแก้ปัญหาใดๆ ให้ประเทศไทยแต่อย่างใด
.
การ Reset ก็อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้
.
แต่การกวาดล้างดำเนินคดีในเที่ยวนี้ น่าจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นักศึกษาจะไม่มีป่าให้เข้า และแกนนำจะต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ พร้อมคดียาวเป็นหางว่าว ไม่ได้กลับมาแผ่นดินไทยได้ง่ายๆ
.
ส่วนการปฏิรูปหรือ Reform ประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศไทยที่รากฐานให้สำเร็จได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องของอนาคตที่อาจจะหวังได้น้อย แต่ก็ต้องพยายาม
.
ผมได้แต่ภาวนาว่าตัวเองจะพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตข้างหน้าของบ้านเมืองของเราไม่แม่นยำ ไม่อยากให้สถานการณ์ไหลมาทางนี้ดังที่พยากรณ์
.
ขอวิงวอนให้ทุกท่านมีสติและปัญญาอันเฉียบแหลมในการประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้พ้นจากการนองเลือดให้สำเร็จให้จงได้
.
ขอฝากประเทศไทย บ้านเกิดเมืองนอนที่รักยิ่ง ไว้ในมือของทุกคน
.
วันนี้บ้านเราเข้าสู่ขั้นที่ 4 เรียบร้อยแล้วครับ
.
หวังว่า พระสยามเทวาธิราช และบรรดาสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิในทุกศาสนาและความเชื่อ ที่ได้ปกปักษ์รักษาราชอาณาจักรไทยตลอดมา พร้อมที่จะปกปักษ์รักษาบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราตลอดไปครับ
.