18 พ.ย. 2020 เวลา 10:54 • กีฬา
ท่าดีใจที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่าพี้โคเคนของร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ต้องเข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน นี่เป็นท่าดีใจคลาสสิคที่ทำให้ฟาวเลอร์โดนด่าและโดนแบน อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีเหตุจะมีผลได้อย่างไร จริงไหม?
คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฟาวเลอร์ต้องดูดยาบนพื้นหญ้า เขาต้องการจะบอกอะไรถึงใครกันแน่
ย้อนกลับไปในปี 1999 เกมเมอร์ซีไซด์ดาร์บี้ ลิเวอร์พูลเชือดเอฟเวอร์ตันไป 3-2 เกมแลกกันสุดมันส์ แต่ไฮไลท์ที่คนพูดถึงหลังจบเกมไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ประเด็นที่คนพูดถึงมากกว่า คือท่าดีใจหลังยิงลูกแรกของร็อบบี้ ฟาวเลอร์
1
นั่นเพราะเขาก้มลงไปทำท่าซี้ดผงชอล์กที่เส้นหลังประตู ซึ่งใครดูก็รู้ ว่าฟาวเลอร์จงใจทำท่าพี้โคเคน ต่อหน้าแฟนๆเอฟเวอร์ตัน
1
ก่อนจะอธิบายถึงเหตุการณ์ในแมตช์นั้น เราต้องเล่าไปที่พื้นเพของร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ก่อนเล็กน้อย
ฟาวเลอร์ เกิดและเติบโตมาที่ย่านท็อกซ์เท็ธ ในเมืองลิเวอร์พูล
ท็อกซ์เท็ธ เป็นเขตคนใช้แรงงาน มันไม่ใช่ย่านที่สวยหรูนัก ในอดีต จลาจลที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษก็เคยเกิดขึ้นที่นี่ เมื่อปี 1981
5
ในยุค 90 ที่ท็อกซ์เท็ธ มีข่าวอาชญากรรม และข่าวเรื่องยาเสพติด เกิดขึ้นมากมายในชุมชน ในช่วงนั้นนี่คือย่านที่ไม่ปลอดภัยมากที่สุดในเมอร์ซีย์ไซด์
การที่ฟาวเลอร์ โตมาในท็อกซ์เท็ธ มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะโดนตราหน้าว่าเป็นไอ้พวกขี้ยา ซึ่งแม้ว่าตัวจริงเขาจะเป็นนักฟุตบอลที่แข็งแรงมากๆ และห่างไกลกับยาเสพติดแบบไกลลิบก็ตาม
1
เหมือนเป็น Stereotype อย่างคนภาคใต้ในไทยก็มักจะโดนเหมารวมว่าเป็นคนตรง หรือคนญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นคนมีระเบียบวินัย ซึ่งในหลักคิดเดียวกัน คนในย่านท็อกซ์เท็ธ ก็จะถูกมองว่าเป็นพวกเสเพล ขี้เหล้า ขี้ยา
ความเป็นเด็กท้องถิ่น ที่เลือกเล่นให้ลิเวอร์พูล ทำให้ฟาวเลอร์เป็นเป้าหมายเบอร์ 1 ให้แฟนเอฟเวอร์ตันเล่นงาน
เริ่มต้น ตอนค้าแข้งใหม่ๆ ฟาวเลอร์โดนแซวว่า "Druggie" (ไอ้ขี้ยาเอ๊ย) และเวลาผ่านไป มันไม่ใช่แค่แซวขำๆอีกแล้ว แต่มันด่าแรงขึ้น มีการปั้นเรื่องปั้นราว ที่เหลือเชื่อมากมาย จนสื่อมวลชนต้องไปขุดคุ้ย เป็นเรื่องเป็นราว ว่าเฮ้ย ด่ากันขนาดนี้ หรือว่าฟาวเลอร์จะเล่นยาจริงๆ
1
คนพูดกันไป พูดกันมา จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเรื่องแซว มันถูกย้ำไปเรื่อยๆ จนคนทั่วไป ก็เชื่อไปด้วยแล้วว่าฟาวเลอร์ เล่นยาเสพติดในชีวิตประจำวัน
1
ในอดีต มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฟาวเลอร์ กำลังจะลงแข่งให้ทีมชาติอังกฤษ เพื่อนสนิทของฟาวเลอร์ ชื่อ สตีเฟ่น คัลวีย์ นั่งรถแท็กซี่ ในช่วงที่บอลกำลังจะเตะ และสตีเฟ่นก็ไม่รู้ว่าร็อบบี้ จะได้ลงตัวจริงมั้ย จึงขอให้คนขับแท็กซี่ เปิดวิทยุเพื่อตามข่าวสาร
ทันใดนั้นคนขับตอบกลับมา "ฟาวเลอร์หรอ หมอนั่นไม่ได้เล่นหรอก ก็มันขี้ยาขนาดนั้น ไม่มีใครเลือกไอ้นี่ลงสนามแน่นอน เรื่องมันเล่นยา ใครๆในเมืองนี้รู้ทุกคน เชื่อไหม ฉันเคยเห็นไอ้นี่ ซื้อขายยากับดีลเลอร์ ที่ถนนแกรนบี้ด้วยนะ"
ซึ่งความจริงก็คือ ฟาวเลอร์ไม่เคยไปซื้อขายอะไรกับใครที่ถนนนั้นเลย มันเป็นแค่เรื่องจินตนาการล้วนๆ ที่คนฟังต่อๆกันมา แล้วก็เล่าไปเรื่อยเปื่อย
ข่าวลือแบบนี้มีมาตลอด ครั้งหนึ่งฟาวเลอร์เดินที่ถนนในตัวเมืองลิเวอร์พูล ก็มีคนซุบซิบนินทา และหันมาแซวด้วยว่า "สนใจจะเอา ชาร์ลีมั้ย?" โดยชาร์ลี เป็นชื่อเล่นของโคเคน ที่เรียกกันในท็อกซ์เท็ธนั่นเอง
ซึ่งแน่นอน ตัวฟาวเลอร์ก็หงุดหงิด แต่ก็ไม่อยากจะไปแก้ข่าวอะไร คิดว่ามันเป็นธรรมดาของคนพื้นที่ ที่ชอบนินทาชาวบ้านอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องแคร์นี่นา ความจริงก็คือความจริง ย่อมต้องชนะวันยันค่ำ
แต่การที่ไม่แก้ข่าว ไม่ตอบโต้ กลายเป็นว่าผู้คนยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าเขาพัวพันกับยาเสพติดด้วย
ครั้งหนึ่งฟาวเลอร์ เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นขี้เมาในเมือง ปรากฎว่า พอตำรวจมาตรวจสอบ ขี้เมาคนดังกล่าวดันเป็นพวกติดยาด้วย ทำให้มีข่าวลือว่า ฟาวเลอร์ มีเรื่องชกต่อยเพราะยาเสพติดหรือเปล่า มีการเชื่อมโยงไปแบบนั้น
ข่าวลือที่ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ในเรื่องเท็จมานานหลายปี มันส่งผลกระทบต่อคนรอบตัวเขาด้วย ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ มีอาการไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด จากข่าวลือเหล่านี้ ไปไหนมาไหนใครก็กรอกหูว่าลูกชาย เอาแต่เล่นยา ซึ่งแม้ฟาวเลอร์ จะยืนยันว่าเขาไม่เสพยา แต่พ่อแม่ ก็ยังกังวลอยู่ดี
"ผมถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ขี้ยาตลอดอาชีพ คุณคงเดาได้ว่ามันลำบากใจแค่ไหน กับการที่พ่อแม่ของคุณจะถูกใครก็ไม่รู้ เป่าหูตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนเอาสเปรย์มาพ่นสีที่บ้านแม่ของผม พ่นเสียใหญ่โตประมาณ 10 ฟุต เขียนว่า ผมเป็นไอ้ขี้ยา ซึ่งการลบสเปรย์น่ะมันง่าย แต่มันทำให้แม่ผมเสียใจมาก เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริงเลย" ฟาวเลอร์เล่า
"และที่เมืองลิเวอร์พูล ข่าวลือทั้งหลายจะถูกพูดซ้ำไปเรื่อยๆ จนไปๆมาๆ คนก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง"
ฟาวเลอร์ กับครอบครัว พยายามไปสืบสาวมาว่า ต้นกำเนิดของการโจมตีเรื่องเล่นยา มาจากไหนกันแน่
ซึ่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า พวกที่ปล่อยข่าวว่าเขาพี้ยา จำนวนมากคือแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่โกรธแค้นเขาเป็นการส่วนตัว เพราะในอดีต ฟาวเลอร์เป็นแฟนทอฟฟี่มาก่อน แต่พอเล่นอาชีพ มาอยู่หงส์แดง นั่นทำให้กลายเป็นความเกลียดชัง
เรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้นอีก เพราะแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ในเกมดาร์บี้ทุกแมตช์ จะตะโกนว่า "Smackhead" หรือไอ้ขี้ยา ใส่ฟาวเลอร์ เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายปี
ความเป็นจริง พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ มีการสุ่มตรวจสารต้องห้าม ในร่างกายนักกีฬาอยู่ทุกแมตช์อยู่แล้ว ซึ่งฟาวเลอร์ ก็เคยโดนสุ่มหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสักครั้ง ที่เขาจะโดนตรวจพบสารเสพติด เจ้าตัวก็เลยคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ที่โดนเล่นงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ
จุดที่ทำให้ฟาวเลอร์ฟิวส์ขาดที่สุด เกิดขึ้นช่วงต้นปี 1999 เมื่อฟาวเลอร์ ไปมีเรื่องชกต่อยกับแฟนบอลเอฟเวอร์ตันที่โรงแรมในเมืองลิเวอร์พูล คดีนี้เกิดขึ้นเพราะแฟนทอฟฟี่ 2 คน เข้ามาหาฟาวเลอร์ด้วยความก้าวร้าว เถียงกันไปเถียงกันมา เลยบานปลายเป็นการชกต่อย คดีนี้ขึ้นศาลเรียบร้อย จบลงที่คนหาเรื่องฟาวเลอร์ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
อย่างไรก็ตาม อุตส่าห์มีข่าวลือออกมาจนได้ว่า จุดเริ่มต้นของการวิวาท เกิดขึ้นจากการที่ฟาวเลอร์เล่นยา ซึ่งแม้ศาลจะมีบทสรุปออกมาแล้ว ว่าไม่มีความเชื่อมโยงกับยาเสพติดเลย ฟาวเลอร์ก็ยังโดนแฟนทอฟฟี่แซวแบบนั้นอยู่ดี
เมื่อความอดทน ถึงจุดที่ทนไม่ไหว ฟาวเลอร์ก็เลยตัดสินใจว่า ไหนๆก็จะโดนด่าแล้ว ขอเอาคืนมันซะเลย
ในเกมกับเอฟเวอร์ตัน วันที่ 3 เมษายน ปี 1999 เป็นเกมนัดที่ 31 ของฤดูกาล อันดับในตารางคะแนนลิเวอร์พูลอยู่ที่ 8 ส่วนเอฟเวอร์ตันอยู่ที่ 17 เกมนี้ฝั่งทอฟฟี่เน้นมากกว่า เพราะยังต้องลุ้นหนีตาย ส่วนลิเวอร์พูลของเชราร์ อุลลิเยร์ ก็ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว แต่ลงเล่นด้วยศักดิ์ศรีเท่านั้น
ลิเวอร์พูลส่ง ฟาวเลอร์ ลงเป็นตัวจริง คู่กับไมเคิล โอเว่น โดยก่อนเกมจะเริ่ม ฟาวเลอร์มีสถิติยิง 12 ลูกในพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 1998-99 ส่วนโอเว่นยิงไปแล้ว 17 ลูก
1
ฝั่งเอฟเวอร์ตัน ผู้จัดการทีมคือวอลเตอร์ สมิธ พวกเขาใช้ระบบ 5-3-2 เข้าสู้กับหงส์แดง โดยมีตัวทีเด็ดคือ นิค บาร์มบี้ และ โอลิวิเยร์ ดากูร์
2
เอฟเวอร์ตันใช้เวลาแค่ 40 วินาทีเท่านั้น ขึ้นนำ 1-0 จากลูกยิงไกล 30 หลาของดากูร์ ผ่านมือเดวิด เจมส์เข้าไป ซึ่งทำให้หงส์แดงระส่ำทีเดียว อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 15 ลิเวอร์พูลมาได้จุดโทษ เมื่อมาร์โก มาเตรัซซี่ไปเสียเหลี่ยม ทำฟาวล์พอล อินซ์ ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเดวิด อัลเลอเรย์ เป่าเป็นจุดโทษทันที
ในซีซั่นนั้น คนสังหารจุดโทษเบอร์ 1 ของทีมคือฟาวเลอร์ ส่วนมือ 2 คือโอเว่น เมื่อได้จุดโทษ โอเว่นเข้ามาสอบถามฟาวเลอร์ว่าจะเอายังไง ฟาวเลอร์ยืนยันว่าจะเป็นคนยิงเอง
ก่อนเกมจะเริ่ม ฟาวเลอร์ กับเพื่อนซี้สตีเฟ่น คัลวีย์ คุยกันไว้ว่า ถ้ายิงเข้า จะเอาคืนแฟนบอลทอฟฟี่อย่างเจ็บแสบแน่ๆ ซึ่งจากสถิติแล้ว เขาเชื่อว่าทำได้แน่ เพราะก่อนหน้านี้ 4 เกมหลังสุดที่เจอเอฟเวอร์ตัน เขาซัดได้ถึง 4 ประตู ดังนั้นจุดโทษลูกนี้ ฟาวเลอร์มั่นใจมาก
2
ฟาวเลอร์ตั้งบอลตรงจุด จากนั้น วิ่งตั้งหลักจากนอกเขตโทษ เข้ามาซัดด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งเรียดเสียบมุมขวาของตัวเอง ตีเสมอเป็น 1-1 นายทวารโทมัส ไมร์ พุ่งไปถูกทางแต่ไปไม่ถึง บอลเข้าประตูอย่างเฉียบขาดมาก
1
ทันทีที่ยิงได้ ฟาวเลอร์ วิ่งไปที่เส้นหลังประตู ในบริเวณหน้ากองเชียร์เอฟเวอร์ตัน แล้วทำท่าพี้โคเคน คือ เส้นในสนามถูกตีด้วยชอล์กสีขาว มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผงยาเสพติดพอดี
แน่นอน แฟนเอฟเวอร์ตันโกรธแค้นมาก ส่วนผู้ตัดสินไม่เห็นชัดเจนว่าฟาวเลอร์ทำอะไร ก็เลยไม่ได้แจกใบเหลือง คือถ้าในยุคนี้เขาโดนแน่ จากข้อหาแสดงกริยาท่าดีใจไม่เหมาะสม
พอตีเสมอ 1-1 ฟาวเลอร์ยิ่งมั่นใจ ขณะที่ทั้งนักเตะ และแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน เล่นด้วยความโมโหโกรธเกรี้ยว ยิ่งเปิดช่องให้หงส์เล่นง่ายขึ้น และนาที 21 ฟาวเลอร์โหม่งประตูให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 2-1
เกมแลกกันสนุกมาก มาเตรัซซี่ซัดชนเสาไปหนึ่งครั้ง ก่อนจบครึ่งแรกลิเวอร์พูลนำ 2-1
เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลนำ 3-1 จากลูกวอลเลย์นอกเขตโทษของแพทริก แบร์เกอร์ ซึ่งท้ายเกม เอฟเวอร์ตันไล่มาเป็น 3-2 จากฟรานซิส เจฟเฟอร์ส แต่ก็ไม่ทันแล้ว จบเกมลิเวอร์พูลชนะไป 3-2
จริงๆนัดนี้มีไฮไลท์น่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะการลงเล่นเกมเมอร์ซีไซด์ดาร์บี้นัดแรกของสตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย เจอร์ราร์ดมาช่วยสกัดจากเส้น ให้ลิเวอร์พูลเก็บสามแต้มสำคัญได้สำเร็จด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจบเกมสิ่งเดียวที่คนพูดถึงคือ ท่าซี้ดโคเคน (Snorting) ของฟาวเลอร์
1
นักข่าวไปถามเชราร์ อุลลิเยร์ หลังเกมว่าคิดอย่างไรกับท่าดีใจของฟาวเลอร์ ซึ่งอุลลิเยร์ตอบเป็นการปกป้องลูกทีมว่า "สงสัยฟาวเลอร์จะทำท่าวัวกินหญ้าล่ะมั้ง บางทีริโกแบร์ ซง อาจนำสไตล์ท่าดีใจนี้มาจากฝรั่งเศส ผมว่าเคยเห็นอยู่นะ ที่นักเตะของทีมเม็ตซ์แกล้งทำว่ากินหญ้า เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับยาเสพติดหรอก"
2
แต่สุดท้าย อุลลิเยร์ต้องหน้าแหก เมื่อฟาวเลอร์ ออกมายืนยันว่า มันไม่ใช่ท่ากินหญ้าอะไรหรอก แต่เขาจงใจทำท่าซี้ดโคเคนนั่นแหละ!
1
ฟาวเลอร์ อธิบายตัวเองว่า "ผมโดนบีบคั้นจนรู้สึกเจ็บปวดมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา กับข้อหาการใช้ยาที่ไม่มีมูลความจริงเลย ซึ่งมันไม่ใช่แค่กระทบกับตัวผม แต่มันกระทบกับครอบครัวของผมด้วย"
1
การที่เขาทำท่าเสพยาในจังหวะดีใจ ก็เพื่อบอก แฟนทอฟฟี่นั่นแหละ ว่ามึงอยากเห็นกูเสพโคเคนใช่ไหม ได้เลยกูเสพให้ดูเอง แบบนี้พวกมึงพอใจหรือยังล่ะ
ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่ภาพที่สวยงามเลย สมาคมฟุตบอลอังกฤษต้องรีบเทกแอ็กชั่นทันที ด้วยการสั่งแบน ฟาวเลอร์ 4 เกม และปรับเงินอีก 32,000 ปอนด์ เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่โอเค การเอายาเสพติดมาข้องเกี่ยวกับเกมในสนาม ไม่ว่าในกรณีใด ต้องถูกลงโทษ
2
สื่อมวลชนด่าเขายับเยินว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับเยาวชน ไม่เคยมีประวัติศาสตร์นักกีฬาคนไหน ทำท่าเล่นยาออกทีวีแบบนี้ให้คนทั่วประเทศได้เห็น
"ใช่ ผมรู้ว่าท่าดีใจของผมมันงี่เง่ามาก" ฟาวเลอร์ยอมรับ "หลังยิงได้ สตีฟ แม็คมานามานรีบวิ่งมาดีใจกับผม ซึ่งคุณน่าจะได้เห็นสีหน้าของแม็คก้านะ เขารีบลากตัวผมให้ยืนขึ้นทันที เพราะเขาได้ยินเสียงแฟนบอลเอฟเวอร์ตันที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ด้านหลัง"
"แน่นอน มันไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด แต่ผมก็คิดได้แค่นี้ เพราะผมไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี่หว่า"
1
หลังจากฟาวเลอร์ทำท่าพี้ยา ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ คือการด่าทอที่แฟนเอฟเวอร์ตันมี เกี่ยวกับเรื่อง Smackhead มันน้อยลงกว่าเดิม เหมือนกับว่าพอสังคมได้รับรู้ความเก็บกดของฟาวเลอร์ ก็มีการเพ่งเล็งแฟนบอลฮาร์ดคอร์ของเอฟเวอร์ตันมากขึ้น เรื่องฟาวเลอร์โดนด่าว่าเป็นขี้ยา ก็ซาลงไปนับจากนั้น
1
ในเรื่องนี้ ฟาวเลอร์ก็ค้นพบสัจธรรมเช่นกัน ว่าถ้าโดนใส่ร้ายป้ายสี การที่คุณสู้อยู่เงียบๆ โดยไม่แสดงออกอะไรเลย ว่าไม่พอใจ มันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
1
"ก่อนที่ผมจะทำท่าดีใจท่านั้น ผมกับจอร์จ ที่ปรึกษาทางการเงินเราปรึกษากันแล้ว เราคิดว่าถ้าคุณไม่พูดอะไร คนอื่นๆก็จะคิดว่าเรื่องนั้นมันเป็นความจริง พวกเขาจะคิดโดยอัตโนมัติว่า ถ้าไม่มีไฟ แล้วจะมีควันออกมาได้อย่างไร ถ้าคุณเงียบ คุณไม่มีวันชนะหรอก" ฟาวเลอร์กล่าว
"ผมตรวจสารเสพติดทุกๆปีที่อยู่ในวงการ และผมยินดีจะตรวจสารเสพติดทุกสัปดาห์เลยก็ได้ ถ้าทุกคนต้องการแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีประโยชน์ถ้าจะสู้เงียบๆ โดยไม่แสดงออก คุณต้องตอบโต้บ้างนะ"
"ผมไม่ได้เสพยา ไม่ได้พี้เฮโรอีน แต่ผมเบื่อเต็มทนกับการโดนแฟนเอฟเวอร์ตันตราหน้าแบบนั้น ผมจะเป็นนักกีฬาและยิงประตูสำคัญได้อย่างไร ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องชั่วๆแบบนั้น ดังนั้นการทำท่าดีใจแบบนั้น เป็นการบอกแฟนเอฟเวอร์ตันว่าถ้าพวกเขาด่าผมอีก ผมก็จะหาทางแก้เผ็ดมากขึ้นยิ่งไปกว่านี้อีก"
"ผมแค่คิดว่า อยากให้บางคนเข้าใจผมมากขึ้นสักนิดก็ยังดี ผมเองก็เป็นคนเหมือนกัน มีความรู้สึก เจ็บปวดเสียใจเป็น ไม่ต่างจากคนอื่นในสังคมเลย"
สำหรับเรื่องท่าดีใจนี้ ทางลิเวอร์พูล รวมถึงพรีเมียร์ลีก ก็พยายามจะลบเลือนประวัติศาสตร์ไป เพราะท่าดีใจเสพยา มองมุมไหน ก็ส่งผลเสียมากกว่า
ไฮไลท์ของสโมสร ในเกมลิเวอร์พูลชนะเอฟเวอร์ตันในปี 1999 ถ้าไปดูคลิป จะเห็นว่าสโมสรจงใจ "ตัด" จังหวะดีใจช็อตเสพยาของฟาวเลอร์ออกไปเลย ให้เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่แน่นอน สิ่งที่มันเกิดแล้ว ก็คือเกิดแล้ว ถ้าไปเสิร์ชใน google ก็ยังพอเห็นภาพนี้อยู่ แม้คลิปจะหายากมากแล้วก็เถอะ
1
บทสรุปของเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตของคนเรา การโดนกลั่นแกล้ง โดนนินทา หรือโดนทำชั่วใส่ มันเกิดขึ้นได้
ซึ่งการก้มหน้ารับสภาพ แล้วหวังว่าอีกฝ่ายจะเลิกไปเอง ใช่ มันก็เป็นการแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงๆ ก็อาจเป็นความคิดที่มองโลกแง่ดีเกินไปหน่อย
1
เพราะในโลกนี้ คนมันจะชั่ว มันชั่วได้ไม่มีขีดจำกัดหรอก แล้วเราต้องยอมรับชะตากรรมที่ถูกก่อขึ้นโดยคนพรรค์นี้ อย่างนั้นหรือ?
1
คนเราต้องต่อสู้ เพื่อสิทธิ์ของตัวเอง หากเห็นว่าอะไรมันแย่ ก็อย่ายอมง่ายๆ ต้องลุกมาทำอะไรสักอย่าง หากไม่ชอบอะไร พูดออกไป บอกให้ชัด อย่าเก็บเอาไว้และรับกรรม
ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ อาจทำไม่ถูกที่ซี้ดโคเคนในสนาม แต่มันก็แสดงจุดยืนว่าเขาไม่แฮปปี้กับข่าวลือพรรค์นี้ มันเป็นการเทกแอ็กชั่นอะไรสักอย่าง ดีกว่าเงียบๆไปเฉยๆ
เช่นกัน ไม่ต่างกับเคสของฟาวเลอร์ ในชีวิตของเราจริงๆ ถ้าคุณไม่พูดความรู้สึกจากใจออกไป คนก็จะเหมารวม ว่าคุณโอเค รับได้กับสภาพแบบนี้ หรือไม่ก็อาจคิดไปว่า อ๋อ ที่ไม่แก้ข่าวเพราะยอมรับว่ามันจริงล่ะสิ
1
ถ้ามีข่าวลือแย่ๆ เกี่ยวกับคุณ แล้วไม่ทำอะไรเลย ข่าวมันก็จะอยู่ตลอดไป และอาจเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆด้วย เพราะใครจะไปปั้นแต่งอะไรก็ได้นี่ จริงไหม
ในวงการบันเทิง เราเห็นกรณีศึกษาของ ทราย เจริญปุระ หรือ แมท ภีรณีย์ ที่โดนว่าเสียๆหายๆ ในโลกออนไลน์ ปรากฎว่าทั้งสองคนแจ้งความ จนศาลมีบทลงโทษชาวเน็ตที่ด่าทอแบบไร้สติ ซึ่งก็ถึงขั้นปรับเงินปรับทองกันหลักแสนมาแล้ว ก็เป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า การ "อยู่เฉยๆ" หลายๆครั้งก็ไม่แก้ปัญหาให้ดีขึ้นเลย
แน่นอนล่ะ เราไม่อาจรู้ได้ว่า เมื่อพยายามตอบโต้แล้วมันจะดีขึ้นไหม แต่ที่แน่ๆ มันก็คงไม่เลวร้ายเท่าที่เป็นอยู่หรอก จริงไหม
เพราะโลกนี้มันโหดร้ายกว่าที่คิด และไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ในชีวิตจริง
1
อยากเป็นคนดีน่ะได้ แต่อย่าเป็นควาย ทนให้เขาทำร้ายข้างเดียว
#Fowler
โฆษณา